Review: The Florida Project (Sean Baker, 2017) เขียนโดย Form Corleone

The Florida Project (Sean Baker, 2017)
คะแนน A++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


By Form Corleone

"ความงดงามที่สุดคือการเลือกยอมรับความเลวร้ายที่สุด" ถ้าจะหาภาพยนตร์ที่สามารถทำให้เราอมยิ้ม หัวเราะ อบอุ่น หม่นเศร้า สะเทือนใจ แสนงดงาม 'The Florida Project' คือภาพยนตร์ที่มีห้วงอารมณ์เหล่านี้อยู่เต็มไปหมด ผู้กำกับ 'ฌอน เบเคอร์' ได้สร้างภาพยนตร์ที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งเท่าที่เราเคยดูมา เราแทบที่จะยอมความกล้าในการไม่พยายามหลีกหนีความหยาบกระด้างหรือบิดเบี้ยวความเลวร้ายในสังคมชั้นล่างที่เกิดขึ้นแทบที่จะทุกมุมในโลกใบนี้ บุคคลแบบตัวละครในเรื่องคือคนในซอกหลืบ คือผู้คนที่โลกอยากจะลืม ตัวภาพยนตร์อาศัยเรื่องราวของเด็กน้อยหน้าตาน่ารัก 'มูนี่ สกู๊ตตี้ แจนซีย์' ใช้เวลาในช่วงปิดเทอมซัมเมอร์ด้วยกันในโมเต็ลแห่งหนึ่ง หัวหน้าแก๊งคือเด็กน้อยมูนี่ ที่แสบสุดขั้ว เรียกว่าเป็นเด็กนรกชวนปวดหัวเลยก็ได้ อาศัยอยู่กับแม่วัยสาวที่มีบุคลิกแบบสก๊อยแรงๆ(แรดๆ) แม่ลูกคู่นี้อาศัยในโมเต็ลที่มีผู้จัดการปากร้ายใจดี บ๊อบบี้ (วิลเลม เดโฟ) โดยทั้งแม่และลูกหรือคนทั้งหมดในโมเต็ลแทบที่จะยึดห้องเป็นที่อยู่ถาวร โมเต็ลสภาพภายในราวกับรังหนู แต่สีสันภายนอกดูสดใสตั้งอยู่ไม่ไกลจาก 'ดิสนีแลนด์' เมืองแห่งความฝัน ดินแดงแห่งนี้จึงดูเสมือนเป็นเงาสะท้อนของอาณาจักรแห่งจินตนาการ ที่เป็นเงาของความผุพังจากวัฒนธรรมการตัดสินแบ่งแยกคน ผู้คนในละแวกนี้จึงใช้ชีวิตกันไปอย่างเช้าชามเย็นชาม พอให้มีชีวิตอยู่รอดไปได้ในหนึ่งวัน หรืออย่างดีที่สุดคือหนึ่งอาทิตย์ แน่นอนว่า เราแทบมองไม่เห็นชีวิตในอนาคตของเหล่าผู้คนที่นี้เลย


ด้วยสภาพแวดล้อมต่างๆนานาๆที่ไม่พึงประสงค์ในความคิดแบบฉบับคนทั่วไป ทำให้ช่วงเวลาเริ่มแรกของหนังนั้นเราได้ตัดสินว่าสถานที่แห่งนี้ไม่เหมาะสมกับเด็กน้อย แต่เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ มูนี่และผองเพื่อน กับใช้สถานที่แห่งนี้ทำกิจกรรมพิเรนทร์ๆ เล่นสนุก วิ่งไล่จับ เล่นในลานกว้างผ่านลำธาร ทั้งหมดกลับทำให้เราคิดว่าสถานที่แห่งนี้แท้จริงอาจจะสร้างความสุขได้เท่าๆกับสถานที่ใน 'ดิสนีแลนด์' และเนื้อแท้ของความสุขอาจไม่ได้แตกต่างกันมากนัก ซึ่งบางครั้งเราชอบตัดสินความสุขของเด็กหนึ่งคนจากสภาพแวดล้อมที่ดูดี ทั้งที่จริงแล้วสภาพแวดล้อมที่ดูดีอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เด็กต้องการจริงๆ หรือแม้จะมีแม่ที่เข้าขั้นเลวร้ายสุดๆ แต่ความผูกพันระหว่างแม่กับลูกนั้นมันสำคัญต่อช่วงชีวิตวัยเด็กได้เหมือนกัน แม้ว่าเราจะยังคงมีความคิดที่ว่าถ้ามีเด็กแบบ 'มูนี่' ที่เติบโตมากับความแตกสลายที่แสนโหดร้ายจากการเลี้ยงดูของคนเป็นแม่และอาจกลายเป็นวนลูปไม่ต่างอะไรจากแม่ของเขาเสียเอง แต่กระนั้น เรากลับรู้สึกเอาใจช่วยและอยากมองดูเด็กๆแบบมูนี่ เติบโตต่อไปอย่างเข้มแข็ง มันจึงเป็นความย้อนแย้งในความคิดที่ผสมและปนกันไปในช่วงเวลาที่ดู อย่างไรก็ตาม ตัวภาพยนตร์ได้ทำหน้าที่เปลี่ยนความคิดของเราต่อการตัดสินเหล่าเด็กน้อยไปได้อย่างไม่ต้องสงสัย เราจึงมองเห็นอีกมิติหนึ่งซึ่งมันอาจจะดูโหดร้ายแต่มันกลับชวนงดงามไปพร้อมกัน น้ำตาไหลตอนหนังจบ...


ความเท่ากันของผู้คนหรือความสำเร็จของคนๆหนึ่ง สำหรับเรานั้นไม่เคยเท่ากันได้จริงๆในสังคมโลก เพราะเรามีต้นทุนในชีวิตที่แตกต่างกัน ความสำเร็จหรือความล้มเหลวจึงแลกมาด้วยราคาที่ต่างกันเสมอ ชีวิตที่ดีกว่าวันนี้ ไม่ว่าใครก็อยากได้มันมาทั้งนั้น แต่ทุนในการพาชีวิตไปข้างหน้าให้ดีกว่านี้มันมีไม่เท่ากัน แต่สิ่งที่อาจไม่ต่างกัน คือความเป็นมนุษย์ที่เท่าๆกัน ที่มีหัวใจไม่ต่างกัน มีความปรารถนาต้องการ มีความห่วงใย มีความรักที่อยากจะมอบให้ต่อกัน สิ่งเหล่านี้ทำให้ความเป็นมนุษย์ดูจะไม่ต่างกันมากนัก ตัวละครในเรื่องจึงไม่ต่างอะไรกับคนทั่วไปในชีวิตจริงที่เราพบเจอ เจ้าเด็กมูนี่ จึงอาจไม่ต่างอะไรกับลูกมหาเศรษฐี เมื่อหนึ่งหน่วยความสุขคือ ปริมาณอย่างหนึ่ง เราจึงวัดค่าเป็นเลขนัยสำคัญไม่ได้ ความสุขก็คือความสุข ความทุกข์ก็คือความทุกข์ ถ้าเราเพียงมองที่ความเป็นมนุษย์ที่เท่ากัน สังคมของเราคงไม่มีการแบ่งแยกกันอย่างชัดเจนขนาดนี้ แน่นอนว่า สถานที่ในเรื่องคืออีกด้านหนึ่งที่ตรงข้ามกับความเจริญและช่องว่างขนาดกว้างมากๆ และไม่มีทางเลยที่เราจะลดช่องว่างเหล่านี้ได้ เราจึงเศร้าใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้น (เสมือนช่องว่างในเมืองหลวงทั่วๆไป)


สถานที่ในเรื่องที่หนังใช้รวมถึงชื่อเรื่องถือเป็นการจิกกัดระบบแบ่งแยกที่ชวนตลกร้ายอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ ความโดดเด่นสะดุดตาของโลเคชั่น และสีสันจนไปถึงโทนสีของหนัง ยังดึงดูดและมีมนต์เสน่ห์แบบไม่ต้องแต่งเติม ขณะที่เรามองสถานที่อาศัยในระยะไกลจากสายตา เรากลับรู้สึกอบอุ่นและต้องมนต์ชวนหลงใหล แต่เมื่อมองด้วยสายตาในความใกล้เรากลับเศร้าหมองในเรื่องราวของผู้คน ณ ที่นี้ เรื่องราวของเหล่าเด็กน้อยในเรื่องจึงเป็นเหมือนการพาเราไปผจญภัยในดินแดนสักแห่งหนึ่งที่ไม่ค่อยมีใครหยิบมานำเสนอ เพราะมันเน่า+เละเทะ+ผุพังเมื่อเราต้องโฟกัสไปที่รายละเอียดอย่างใกล้ชิด และหนังเองทำหน้าที่ส่งมอบข้อความเหล่านั้นผ่านเด็กน้อย 'ดินแดนมหัศจรรย์' แท้จริงแล้วอาจไม่ได้เกิดขึ้นมาด้วยการก่อสร้างหรือลงทุนอย่างยิ่งใหญ่ แต่ทั้งหมดอาจจะเป็นเพียงพื้นที่เล็กๆในซอกความทรุดโทรม ในสนามหญ้ารกๆ บนโต๊ะตัวหนึ่งซอกเล็กๆสกปรกใต้บันได แต่ดินแดนเล็กๆเหล่านี้ที่ยังพอมีหัวใจหลงเหลืออยู่หรือเปล่า? ที่จะเรียกตัวเองได้ว่าดินแดนมหัศจรรย์จริงๆ


ท้ายสุด 'The Florida Project' คือภาพยนตร์ที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งในชีวิตเรา ความเป็นธรรมชาติของเรื่องราวทั้งหมด และการแสดงที่ดีงามของทุกคน โดยเฉพาะเหล่าเด็กๆที่ถือเป็นแกนหลักขับเคลื่อนเรื่องราวทั้งหมด หลายสิ่งหลายอย่างที่ก่อร่างสร้างให้เกิดเรื่องราวแบบในเรื่องอาจดูเศร้าใจ+สลดใจ แต่หนังกลับสะท้อนออกมาได้ชวนขบขันในช่วงนาทีเหล่านั้นได้ถูกจังหวะ งานนี้จึงมีคุณค่ามากๆด้วยตัวของมันเอง และเป็นเรื่องราวที่ครั้งหนึ่งในชีวิตเราควรที่จะได้เรียนรู้ผู้คนเหล่านี้บ้างสักครั้งในชีวิตหนึ่ง แน่นอนว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้พาเราไปเรียนรู้และทำหน้าที่ได้สำเร็จต่อความรู้สึกได้ดีมาก...ซีนสุดท้ายของหนังเรื่องนี้คือพลังมหาศาลที่ส่งมาถึงเราอย่างคาดไม่ถึง...สักครั้งในชีวิตควรที่จะได้ดู...


ขอให้มีความสุขกับการรับชมภาพยนตร์ครับ ยิ้ม

ตัวอย่างหนัง
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
เช็ครอบหนังได้ที่ Documentary Club

ติดตามรีวิวภาพยนตร์ได้ที่
Page: https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog: http://moviesdelightclub.blogspot.com/
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่