ก่อนจะเริ่ม ตอนที่ 2 นั้นต้องเข้าใจสภาพของอินเดียในช่วงปลายๆศตวรรษที่ 18 ซะก่อนครับ คือ อินเดียในตอนนั้นไม่ได้รวมตัวกันเป็นประเทศ อินเดีย เช่นปัจจุบัน แต่ประกอบด้วย อาณาจักรมากมายหลาย อาณาจักร หลายวัฒนธรรม ภาษา และเชื้อชาติ ทั้ง ไมเซอร์ , มาราตะ หรือ โมกุล นั้นทำให้ อินเดียนั้นขาดเป็นเอกภาพโดยสิ้นเชิง จนเหล่าชาติตะวันตกนั้นอาศัยช่องว่างนี้เข้าแทรกแซงการเมืองภายใน ทั้งตั้ง บริษัทอินเดียตะวันตก เสี้ยมอาณาจักรนู่นตีอาณาจักรนี้ ซึ่งบางครั้งเหล่าชนชาติบนชมพูทวีปนั้นก็หันมาจับมือกับชาติตะวันตกเพื่อห่ำหั่นชาติเดียวกันเอง มันก็เป็นประการฉะนี้ล่ะครับ
ต่อจากตอนที่แล้วน่ะครับ ตอนนี้ Arthur Wellesley นั้นได้เดินมาถึงอินเดีย ในเดือน เมษายน ปี ค.ศ.1796 และได้ดำรงตำแหน่ง พันเอก เดือน มีนาคม เขาเดินทางไปยังเมืองหลวงของจักรวรรดิอังกฤษในอินเดีย นั้นคือ กัลลัตตา ในปี ค.ศ. 1797 ซึ่งที่นั้นท่าน Lord Cornwalls ได้ พรีเซ๊นต์ตัวเขาซะดิบดีต่อ ข้าหลวงอังกฤษประจำอินเดียว่า "Arthur นั้นเป็นนายทหารที่ดี"
แต่ดูเหมือนว่า พันเอกหนุ่มนั้นจะเริ่มคิดได้หรืออาจจะเป็นเพราะประสบการณ์สงครามกับฝรั่งเศส นั้นทำให้หนุ่ม Arthur นั้นเริ่มขวนขวายความรู้และตั้งใจในอาชีพทหารอย่างแท้จริง จนกระทั่งเกิดสงคราม แองโกล - ไมเซอร์ครั้งที่ 4 ขึ้น ในปี ค.ศ. 1798 พันเอก Arthur นั้นก็ได้บัญชาการเหล่าทหารใต้สังกัดอย่างยอดเยี่ยม จนเริ่มเข้าตาหลายๆคน และท้ายสุด สงครามครั้งนี้ก็จบลงด้วยชันชนะของอังกฤษ หลังจากยึดครอง ไมเซอร์ได้ Arthur ก็ทำงานบริหารราชการด้านพลเรือน โดยเขาได้ปกครองเขตๆ 1 ใน ไมเซอร์ และได้พัฒนาเขตๆนั้นอย่างเฟื่องฟู ทั้งสร้างถนนหนทาง ตึกรามบ้านช่องต่างๆ จนใน วันที่ 29 เมษายน ค.ศ.1802 เขาได้เลื่อนยศเป็นพลตรี และแล้วดูเหมือนชะตาแห่งความรุ่งโรจน์นั้นกำลังเข้าข้างเขาเมิอพี่ชายของเขาท่าน Lord Mornington ได้มาเป็นข้าหลวงแห่งอินเดีย!! และดูเหมือนว่าสถานการณ์นั้นประจวบเหมาะพอดี นั้นคือการเกิดปัญหาสงครามกลางเมืองใน มหาอาณาจักรมารตะ อันเป็นอาณาจักรขนาดใหญ่ในใจกลางชมพูทวีปนั้นเอง
ท่าน Lord Mornington "Richard Wellesley" พี่ชายของ Arthur Wellesley และ ข้าหลวงของอังกฤษประจำอินเดีย
ในช่วงนั้นเกิดการแย่งชิงอำนาจกันระหว่างในการผกครองเมือง Poona ราชา Yashwant Rao Holkar และ ราชา Daulat Rao Scindia ซึ่งปรากฎว่าฝ่าย Holkar นั้นพ่ายแพ้และหนีเข้ามาในเขตของ บริษัท British East India Company โดยทาง Holkar นั้นก็ได้มาร้องขอความช่วยเหลือจากอังกฤษว่าหากให้ตนนั้นได้กลับไปมีอำนาจอีกครั้ง จะยอมให้ อังกฤษเข้าไปมีอิทธิพลการค้าขายและเศรษฐกิจในเขตของ มารตะ งานนี้ก็ลาภปากสิครับ Lord Mornington ตอบตกลงทันที กอปรกับน้องชายของเขานั้น Arthur ดิ้นเร้าๆร้องขอพี่ชายว่า อยากจะเป็นคนบัญชการทหารด้วยตัวเองในครั้งนี้ ซึ่งพี่ชายเขาก็จัดให้ตามขอ โดยการส่งกองกำลังบริษัทกว่า 15,000 นาย พร้อม ทหารพันธมิตรชนพื้นเมืองอีก 9,000 นายเข้าไปสมทบ ปรากฎว่า ฝ่ายมารตะนั้นยอมโดยแทบไม่สู้รบ ส่งผลให้ ทาง Holkar นั้นเได้เข้าไปมีอำนาจในเขต Poona ของ มารตะอีกครั้ง แต่ไอ้เจ้า Holkar ตัวแสบนั้นก็ดูเหมือนจะไม่ทำตามสัญญา โดยรุกรานเข้าไปในเขต Nizam อ้างว่า พวก Nizam นั้นติดหนี้ Holkar ผลปรากฎว่า อังกฤษโกธรมากพยายามจะส่งทูตไปเจรจากับเหล่าราชาใน มหาอาณาจักรามารตะ แต่ก็ไร้ซึ่งการตอบรับ แถมเหล่า ราชาในมารตะนั้น ทั้ง ราชาแห่ง Berar , Scindia และ Holkar นั้นรวมตัวกันเป็น Coalition ต่อต้านอิทธิพลของอังกฤษ ทำให้อังกฤษนั้นเปิดการรุกราน มารตะอย่างเต็มรูปแบบ สงครามครั้งใหม่นั้นได้ระเบิดขึ้นใน ปี ค.ศ. 1803 ทั้งด้านเหนือและด้านใต้ โดยด้านเหนือนั้น เป็นกำลังของ พลโท Gerard Lake ส่วนใต้นั้นเป็นของ พลตรี Arthur Wellesley นั้นเอง แต่เมื่อถึงเวลารบจริง Holkar นั้นเกิดกลัวในแสงยานุภาพของอังกฤษจึง ถอนตัวออกจากพันธมิตรปล่อยให้ Berar และ Scindia สู้กับอังกฤษกันตามยถากรรม (แสบไหมล่ะคุณ)
มหาราชา Yashwant Rao Holkar แห่ง มหาอาณาจักรมารตะ ต้นเหตุแห่งปัญหาทั้งปวง
Arthur นั้นวางแผนโดยให้ พันเอก James Stevenson เคลื่อนกำลังโอบด้านหลังเมือง Ahmednuggur ที่เป็นเป้าหมาย เพื่อดักทหารมารตะนับหมื่นไม่ให้ถอยกลับไปได้ ส่วนตัวเขา นั้นเข้าโจมตีและยึดครองเมือง Ahmednuggur อันเป็นเมืองป้อมปราการของ มารตะอย่างรวดเร็วและสูญเสียทหารเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนกองทัพของมารตะนั้นโดนล้อมจับเกือบทั้งหมดมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่หนีรอดไปได้ ทางราชา Scindia นั้นเริ่มรับรู้ถึงความร้ายกาจของอังกฤษโดยเขานั้น ได้ว่าจ้าง พันเอก Anthony Pohlmann ชาวอังกฤษ - ฮันโนเวอร์ และอดีตคนของบริษัท ให้มาบัญชาการรบนอกจากนี้ยังมี ทหารฝึกอย่างยุโรปราวๆ 10,800 นาย และทหารมารตะอีก 10,000 นาย รวมถึงทหารม้าเบาที่ได้รับการสนับสนุนจากราชา Berar อีก 30,000 นาย และปืนใหญ่กว่า 100 กระบอก รวมแล้วเป็นกองทัพที่ใหญ่โตกว่า 50,000 นายเลยทีเดียว!! ในขณะที่ฝั่งของ Arthur นั้นมีกำลังเพียงราวๆ 13,500 นายเท่านั้น!!
โดยแผนของ Arthur นั้นคือการแยกกันโจมตีเช่นเดิม โดยเขาจะให้พันเอก Steveson นำกำลังอ้อมไปทางตะวันตกส่วน Arthur นั้นแยกไปทางตะวันออก โดยมีเขากั้นกลางและจะมาบรรจบกันที่เมือง Borkardan ซึ่งเป็นที่ตั้งของกองทัพมารตะ แต่ในช่วงบ่าย วันที่ 23 พฤศจิกายน ค.ศ. 1803 พวกเขาก็พบว่ากองทัพมารตะนั้นไม่ได้อยู่ที่ Borkardan ตามค่ดแต่ดันอยู่ห่างพวกเขาไปเพียง 5 ไมล์เท่านั้น!! ในตอนนี้เขามีเพียงกำลังทหารราบอังกฤษ 4,500 ทหารม้าพื้นเมืองและอังกฤษ 5,000 ส่วนปืนใหญ่นั้นมีเพียง 17 กระบอกเท่านั้น กองทัพของ มารตะนั้นมีมากมายมหาศาลกว่ากองทัพเขายิ่งนัก โดยฝั่งมารตะนั้น ตั้งทัพบริเวณหมู่บ้าน Assaye ซึ่งตั้งคร่อมระหว่างแม่น้ำ Kailna River ที่แยกเป็น 2 สาย เพื่อป้องกันการโอบปีกและยังตั้งหันปืนใหญ่เรียงรายและมาทางกองทัพของ Arthur เพื่อกันการบุก รวมถึงส่งกำลังบล๊อคตามจุดตื้นต่างๆเพื่อป้องกันไม่ให้ฝั่งอังกฤษบุกข้ามมาได้!! นับว่า กองทัพอังกฤษในตอนนี้ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากสุดๆ แต่การตัดสินใจอันบ้าบิ่นของ Arthur นั้น ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่จะตัดสินและชี้ชะตาในศึกๆนี้และอนาคตของอินเดียเลยทีเดียว เป็นการตัดสินใจที่จะนำไปสู่การยุทธแห่ง Assaye!!!!!
ปล. แปลผิดพลาดประการใดขออภัยน่ะครับ หวังว่าทุกท่านจะ Enjoy กับบทความ Iron Duke Part 2 น่ะครับ
"The Iron Duke" Part 1 : กำเนิด Arthur Wellesley
https://ppantip.com/topic/37296746
จากเพจ
https://web.facebook.com/AdminSantipap/
"The Iron Duke" Part 2 : การบัญชาการรบครั้งแรกของเขา
ต่อจากตอนที่แล้วน่ะครับ ตอนนี้ Arthur Wellesley นั้นได้เดินมาถึงอินเดีย ในเดือน เมษายน ปี ค.ศ.1796 และได้ดำรงตำแหน่ง พันเอก เดือน มีนาคม เขาเดินทางไปยังเมืองหลวงของจักรวรรดิอังกฤษในอินเดีย นั้นคือ กัลลัตตา ในปี ค.ศ. 1797 ซึ่งที่นั้นท่าน Lord Cornwalls ได้ พรีเซ๊นต์ตัวเขาซะดิบดีต่อ ข้าหลวงอังกฤษประจำอินเดียว่า "Arthur นั้นเป็นนายทหารที่ดี"
แต่ดูเหมือนว่า พันเอกหนุ่มนั้นจะเริ่มคิดได้หรืออาจจะเป็นเพราะประสบการณ์สงครามกับฝรั่งเศส นั้นทำให้หนุ่ม Arthur นั้นเริ่มขวนขวายความรู้และตั้งใจในอาชีพทหารอย่างแท้จริง จนกระทั่งเกิดสงคราม แองโกล - ไมเซอร์ครั้งที่ 4 ขึ้น ในปี ค.ศ. 1798 พันเอก Arthur นั้นก็ได้บัญชาการเหล่าทหารใต้สังกัดอย่างยอดเยี่ยม จนเริ่มเข้าตาหลายๆคน และท้ายสุด สงครามครั้งนี้ก็จบลงด้วยชันชนะของอังกฤษ หลังจากยึดครอง ไมเซอร์ได้ Arthur ก็ทำงานบริหารราชการด้านพลเรือน โดยเขาได้ปกครองเขตๆ 1 ใน ไมเซอร์ และได้พัฒนาเขตๆนั้นอย่างเฟื่องฟู ทั้งสร้างถนนหนทาง ตึกรามบ้านช่องต่างๆ จนใน วันที่ 29 เมษายน ค.ศ.1802 เขาได้เลื่อนยศเป็นพลตรี และแล้วดูเหมือนชะตาแห่งความรุ่งโรจน์นั้นกำลังเข้าข้างเขาเมิอพี่ชายของเขาท่าน Lord Mornington ได้มาเป็นข้าหลวงแห่งอินเดีย!! และดูเหมือนว่าสถานการณ์นั้นประจวบเหมาะพอดี นั้นคือการเกิดปัญหาสงครามกลางเมืองใน มหาอาณาจักรมารตะ อันเป็นอาณาจักรขนาดใหญ่ในใจกลางชมพูทวีปนั้นเอง
ในช่วงนั้นเกิดการแย่งชิงอำนาจกันระหว่างในการผกครองเมือง Poona ราชา Yashwant Rao Holkar และ ราชา Daulat Rao Scindia ซึ่งปรากฎว่าฝ่าย Holkar นั้นพ่ายแพ้และหนีเข้ามาในเขตของ บริษัท British East India Company โดยทาง Holkar นั้นก็ได้มาร้องขอความช่วยเหลือจากอังกฤษว่าหากให้ตนนั้นได้กลับไปมีอำนาจอีกครั้ง จะยอมให้ อังกฤษเข้าไปมีอิทธิพลการค้าขายและเศรษฐกิจในเขตของ มารตะ งานนี้ก็ลาภปากสิครับ Lord Mornington ตอบตกลงทันที กอปรกับน้องชายของเขานั้น Arthur ดิ้นเร้าๆร้องขอพี่ชายว่า อยากจะเป็นคนบัญชการทหารด้วยตัวเองในครั้งนี้ ซึ่งพี่ชายเขาก็จัดให้ตามขอ โดยการส่งกองกำลังบริษัทกว่า 15,000 นาย พร้อม ทหารพันธมิตรชนพื้นเมืองอีก 9,000 นายเข้าไปสมทบ ปรากฎว่า ฝ่ายมารตะนั้นยอมโดยแทบไม่สู้รบ ส่งผลให้ ทาง Holkar นั้นเได้เข้าไปมีอำนาจในเขต Poona ของ มารตะอีกครั้ง แต่ไอ้เจ้า Holkar ตัวแสบนั้นก็ดูเหมือนจะไม่ทำตามสัญญา โดยรุกรานเข้าไปในเขต Nizam อ้างว่า พวก Nizam นั้นติดหนี้ Holkar ผลปรากฎว่า อังกฤษโกธรมากพยายามจะส่งทูตไปเจรจากับเหล่าราชาใน มหาอาณาจักรามารตะ แต่ก็ไร้ซึ่งการตอบรับ แถมเหล่า ราชาในมารตะนั้น ทั้ง ราชาแห่ง Berar , Scindia และ Holkar นั้นรวมตัวกันเป็น Coalition ต่อต้านอิทธิพลของอังกฤษ ทำให้อังกฤษนั้นเปิดการรุกราน มารตะอย่างเต็มรูปแบบ สงครามครั้งใหม่นั้นได้ระเบิดขึ้นใน ปี ค.ศ. 1803 ทั้งด้านเหนือและด้านใต้ โดยด้านเหนือนั้น เป็นกำลังของ พลโท Gerard Lake ส่วนใต้นั้นเป็นของ พลตรี Arthur Wellesley นั้นเอง แต่เมื่อถึงเวลารบจริง Holkar นั้นเกิดกลัวในแสงยานุภาพของอังกฤษจึง ถอนตัวออกจากพันธมิตรปล่อยให้ Berar และ Scindia สู้กับอังกฤษกันตามยถากรรม (แสบไหมล่ะคุณ)
Arthur นั้นวางแผนโดยให้ พันเอก James Stevenson เคลื่อนกำลังโอบด้านหลังเมือง Ahmednuggur ที่เป็นเป้าหมาย เพื่อดักทหารมารตะนับหมื่นไม่ให้ถอยกลับไปได้ ส่วนตัวเขา นั้นเข้าโจมตีและยึดครองเมือง Ahmednuggur อันเป็นเมืองป้อมปราการของ มารตะอย่างรวดเร็วและสูญเสียทหารเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนกองทัพของมารตะนั้นโดนล้อมจับเกือบทั้งหมดมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่หนีรอดไปได้ ทางราชา Scindia นั้นเริ่มรับรู้ถึงความร้ายกาจของอังกฤษโดยเขานั้น ได้ว่าจ้าง พันเอก Anthony Pohlmann ชาวอังกฤษ - ฮันโนเวอร์ และอดีตคนของบริษัท ให้มาบัญชาการรบนอกจากนี้ยังมี ทหารฝึกอย่างยุโรปราวๆ 10,800 นาย และทหารมารตะอีก 10,000 นาย รวมถึงทหารม้าเบาที่ได้รับการสนับสนุนจากราชา Berar อีก 30,000 นาย และปืนใหญ่กว่า 100 กระบอก รวมแล้วเป็นกองทัพที่ใหญ่โตกว่า 50,000 นายเลยทีเดียว!! ในขณะที่ฝั่งของ Arthur นั้นมีกำลังเพียงราวๆ 13,500 นายเท่านั้น!!
โดยแผนของ Arthur นั้นคือการแยกกันโจมตีเช่นเดิม โดยเขาจะให้พันเอก Steveson นำกำลังอ้อมไปทางตะวันตกส่วน Arthur นั้นแยกไปทางตะวันออก โดยมีเขากั้นกลางและจะมาบรรจบกันที่เมือง Borkardan ซึ่งเป็นที่ตั้งของกองทัพมารตะ แต่ในช่วงบ่าย วันที่ 23 พฤศจิกายน ค.ศ. 1803 พวกเขาก็พบว่ากองทัพมารตะนั้นไม่ได้อยู่ที่ Borkardan ตามค่ดแต่ดันอยู่ห่างพวกเขาไปเพียง 5 ไมล์เท่านั้น!! ในตอนนี้เขามีเพียงกำลังทหารราบอังกฤษ 4,500 ทหารม้าพื้นเมืองและอังกฤษ 5,000 ส่วนปืนใหญ่นั้นมีเพียง 17 กระบอกเท่านั้น กองทัพของ มารตะนั้นมีมากมายมหาศาลกว่ากองทัพเขายิ่งนัก โดยฝั่งมารตะนั้น ตั้งทัพบริเวณหมู่บ้าน Assaye ซึ่งตั้งคร่อมระหว่างแม่น้ำ Kailna River ที่แยกเป็น 2 สาย เพื่อป้องกันการโอบปีกและยังตั้งหันปืนใหญ่เรียงรายและมาทางกองทัพของ Arthur เพื่อกันการบุก รวมถึงส่งกำลังบล๊อคตามจุดตื้นต่างๆเพื่อป้องกันไม่ให้ฝั่งอังกฤษบุกข้ามมาได้!! นับว่า กองทัพอังกฤษในตอนนี้ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากสุดๆ แต่การตัดสินใจอันบ้าบิ่นของ Arthur นั้น ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่จะตัดสินและชี้ชะตาในศึกๆนี้และอนาคตของอินเดียเลยทีเดียว เป็นการตัดสินใจที่จะนำไปสู่การยุทธแห่ง Assaye!!!!!
ปล. แปลผิดพลาดประการใดขออภัยน่ะครับ หวังว่าทุกท่านจะ Enjoy กับบทความ Iron Duke Part 2 น่ะครับ
"The Iron Duke" Part 1 : กำเนิด Arthur Wellesley https://ppantip.com/topic/37296746
จากเพจ https://web.facebook.com/AdminSantipap/