ความเดิมจากตอนที่แล้วน่ะครับ เนื่องด้วยข่าวกรองที่ผิดพลาดทำให้กองทัพของ Arthur นั้นต้องมาเจอะกับ กองทัพมารตะที่มีจำนวนมากกว่าถึง 1 : 5!! มิหนำซ้ำทางฝั่งมารตะนั้นก็ตั้งอยู่ในชัยภูมิที่ได้เปรียบกว่าด้วย โดยมีแม่น้ำ Kailna คุ้มกันปีกทั้ง 2 ข้าง ทำให้กองทัพของ Arthur นั้นบุกเข้าไปหาได้ทางเดียวเท่านั้น!!..นั้นคือตรงหน้า ซึ่งเรียงรายไปด้วยปืนใหญ่นับร้อยกระบอก และทหารราบ ทหารม้ามารตะ หลายหมื่นอยู่เบื้องหลัง มิหนำซ้ำทางฝั่งมารตะก็ได้จัดกำลังไปเฝ้าจุดตื้นเขินที่สามารถข้ามแม่น้ำได้ เรียกได้ว่าดัก Arthur ไว้ทุกทางเลยทีเดียว!!
การจัดวางกำลังรบในสมรภูมิ
แต่ด้วยความไฟแรงของพลตรีพนุ่ม Arthur ที่ต้องการจะสร้างผลงานให้ประจักษ์ต่อพี่ชาย และเขามั่นใจว่าฝั่งมารตะก็คงคิดว่าเขาจะไม่บุกไปหาเช่นกัน เขาจึงเป็นฝ่ายเริ่มบุกซะเอง เพื่อทำให้พวก มารตะ นั้นประหลาดใจ ดังนั้นเขาจึงทำในสิ่งที่บ้าที่สุดในชีวิตนั้นคือ การบุกเข้าโจมตีข้าศึกด้วยกำลังทหารที่น้อยกว่ามากครับ!!. แต่ Arthur นั้นไม่ได้บ้าเขารู้ดีว่าการบุกเข้าโจมตีซึ่งๆหน้า เดินเขาไปในตำบลสังหารที่ มารตะตั้งไว้นั้นมันฆ่าตัวตายชัดๆ เขาจึงสั่งให้ทหารม้านั้นลาดตระเวณไปรอบๆบริเวณเพื่อหาจุดที่จะข้ามแม่น้ำไปได้ ซึ่งก็เป็นผลครับเมื่อพบว่า บริเวณ หมู่บ้าน Peepulgaon และ Waroor นั้นมีจุดตื้นเขินพอที่จะข้ามไปได้พอดี กอปรกับบริเวณนั้นไม่มีการป้องกันของฝั่งมารตะและห่างจากระยะของปืนใหญ่ ทำให้ Arthur ตัดสินใจพาทหารทั้งหมดข้ามแม่น้ำ Kailna อย่างรวดเร็ว!!
ด้วยกองทัพของอังกฤษนั้นมีขนาดเล็กและถูกฝึกมาอย่างดี ทำให้พวกเขาข้ามแม่น้ำมาได้โดยใช้เวลาอันสั้น.... และมาอยู่ในตำแหน่งปีกขวาของ กองทัพ มารตะ!! Arthur นั้นสั่ง ทหารราบทั้งหมด 6 กองพัน จัดแถวเป็นหน้ากระดานอย่างรวดเร็วสำหรับการบุกเข้าตี ส่วนทหารม้าชนพื้นเมืองและอังกฤษนั้นเป็นกองหนุนด้านหลัง ทางฝั่ง พันเอก Anthony แม่ทัพรับจ้างชาวอังกฤษ เห็นดังนั้นก็รู้ทันทีว่า Arthur นั้นจะเข้าโจมตีปีกขวาของเขาเป็นแน่.. (ความจริงเห็นตั้งแต่ตอนจะข้ามแม่น้ำแล้ว) เขาจึงพยายามหันกองทัพตัวเอง 90 องศา.... เพื่อจะได้ตั้งประจัญหน้ากับกองทัพของ Arthur แต่ด้วยจำนวนอันมากมายมหาศาลของกองทัพ มารตะ และความคับแคบของพื้นที่นั้น ทำให้กองทัพของเขาจัดรูปขบวนอย่างอยากลำบากและเกิดความสับสนวุ่นวาย!! เป็นโอกาสให้ Arthur สั่งกองทหารเข้าโจมตีทันที!!
ทหารราบอังกฤษเข้าโจมตีเหล่ามารตะด้วย ดาบปลายปืน
ทหารราบของอังกฤษนั้นเดินหน้าเขาหาขบวนกองทัพของมารตะที่มีมากกว่าอย่างห้าวหาญ!! แต่ปืนใหญ่ของมารตะหลายกระบอกที่หันมาทางทิศของ Arthur นั้นเริมเปิดฉากยิงทันที!! ปืนใหญ่ของอังกฤษพยายามยิงตอบโต้แต่ด้วยจำนวนเพียง 17 กระบอกเท่านั้นเลยไม่เป็นผลเท่าไหร่นัก ทหารอังกฤษนั้นเริ่มบาดเจ็บล้มตาย จากกระสุนลูกเหล็กและลูกปราย จนแถวทหารเริ่มเว้าๆแหว่งๆ แต่ด้วยวินัยอันยอดเยี่ยมของเหล่าทหารอังกฤษ ทำให้พวกเขามิยอมถอยแต่กลับปิดช่องว่างในแถวให้เต็มดังเดิม!! ซึ่งสิ่งๆนี้ก็เริ่มส่งผลต่อขวัญกำลังใจต่อฝ่ายมารตะมิใช่น้อย จนมาถึงระยะ 50 หลา กองพันทหาร Highland ที่ 74 ที่อยู่แนวหน้าก็เปิดฉากระดมยิงใส่ ทหารเฝ้าปืนใหญ่มารตะและทหารราบของมารตะจนล้มตายด้าวดิ้น จากนั้นไม่นานทหารราบอังกฤษ กว่า 4 กองพันก็บุกตะลุยใส่ ทหารมารตะที่เสียขวัญด้วยดาบปลายปืนจนพวกมารตะแตกกระเจิง!! ปืนใหญ่มาระตะส่วนใหญ่นั้นถูกทิ้ง และ ปีกขวาของมารตะกำลังระส่ำระสาย
แต่ดูเหมือนกรมทหารราบที่ 78 ของอังกฤษนั้นจะรุกเข้าไกลเกินจนขาดการติดต่อกับกำลังหลัก ทำให้ พันเอก Anthony นั้นเห็นช่องโหว่จึงรีบสั่งทั้งทหารราบและทหารม้าที่มีนั้นชาร์จเข้าใส่กรมทหารราบที่ 78 ทันที!!! แต่พวกเขานั้นก็จัดรูปขบวนสี่เหลี่ยมจัตุรัส เพื่อตั้งรับได้ทัน และตั้งรับอย่างเหนียวแน่นจน พันเอกอังกฤษ Patrick Maxwell นำกองทหารม้า Light Dragoon ที่ 19 และทหารม้าพื้นเมืองเข้าชาร์จใส่ทหารมารตะที่กำลังล้อม กรมทหารราบที่ 78 จน พวกมารตะนั้นสลายตัวถอยกลับไป
แต่ก็ที่แนวปืนใหญ่ของ มารตะที่ถูกทหารอังกฤษเข้าโจมตีในช่วงต้นนั้น กลับปรากฎว่ามีทหารมารตะหลายนายแกล้งตายตอนฝั่งอังกฤษบุกและเมื่ออังกฤษรุดหน้าเข้าไป พวกเขาก็กลับมาประจำปืนใหญ่และยิงใส่แนวหลังของ อังกฤษทำให้ กองทัพอังกฤษนั้นเกิดความสับสนจน Arthur นั้นต้องเสียเวลามาจัดการกับพวกมารตะที่เหลือให้ราบคาบ แต่เวลาที่เสียไปนั้นก็นานพอที่จะทำให้ Anthony นั้นจัดแนวกองทัพมารตะใหม่!! เขาสั่งให้จัดแนวเป็นรูปครึ่งวงกลมหันหลังให้กลับแม่น้ำเพื่อตั้งรับการบุกของอังกฤษ Arthur นั้นสั่งให้ Maxwell เข้าโจมตีปีกซ้ายของมารตะอย่างฉับพลัน ส่วนทหารราบที่เหลือเข้าตีตรงกลางและปีกขวา แต่ทหารม้าอังกฤษนั้นบอบช้ำจากการเข้าโจมตีในระลอกก่อนและเมื่อเข้าปะทะได้ไม่นาน พันเอก Maxwell ก็ถูกยิงตายกลางสนามรบ ส่วนทหารม้าอังกฤษนั้นก็เสียหายหนักจนต้องถอยกลับ แต่ทหารราบอังกฤษยังเข้าโจมตีอยู่ ทาง Anthony นั้นเห็นว่าทหารมารตะนั้นเริ่มหมดขวัญกำลังใจพวกเขาจึงถอยทัพกลับ แต่ในบางที่กับบอกว่า กองทัพมารตะนั้นหนีกลับไปอย่างกระเจิดกระเจิงและควบคุมไม่อยู่ ท้ายสุดแล้วชัยชนะก็ตกเป็นของฝั่งอังกฤษภายใต้การนำของ พลตรี Arthur Wellesley โดยฝ่ายอังกฤษนั้นสูญเสีย 428 นาบ บาดเจ็บ 1,156 นาย ส่วนฝั่งมารตะนั้น คาดว่าสูญเสียถึง 6,000 นายเลยทีเดียว และยังถูกยึดปืนใหญ่อีก 98 กระบอก นับเป็นชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่เหนือกองทัพมารตะที่มีมากมายกว่าหลายเท่าตัว!! และ พลตรี Arthur คงจะจดจำยุทธภูมินี้ไปอีกนาน
ถึงแม้กองทัพมารตะจะยังไม่ถูกทำลายอย่างเด็ดขาด แต่การรบครั้งนี้ก็ส่งผลร้ายต่อฝั่งมารตะอย่างยิ่ง ทั้งจำนวนปืนใหญ่ที่ลดน้อยลงมาก รวมถึงการยอมจำนนของนายทหารรับจ้างยุโรปเช่น พันเอก Anthony Pohlmann เพราะฝั่งอังกฤษนั้นใช้นโยบายนิรโทษกรรมให้แก่ชาวยุโรปทั้งหลายที่รับใช้มารตะ ทำให้ชาวยุโรปจำนวนมากเริ่มตบเท้าออกจากกองทัพมารตะ อันเป็นการทำลายเขี้ยวเล็บของมารตะลงอย่างมาก ส่วนทางฝั่ง Arthur นั้นก็ได้รวมกำลังกำลังกับพันเอก Stevenson อีกครั้ง และรุกเข้าไปในดินแดนมารตะเรื่อยๆจนสามารถยึดเมืองป้อมปราการ Gawilghur ได้อีก จากชัยชนะหลายครั้งของ Arthur นั้น ทำให้เขาได้เลื่อนยศเป็น พลโท ในที่สุด ตอนนี้ลางความพ่ายแพ้นั้นมาเยือนอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง ทั้ง 2 ราชาของมารตะอย่าง จึงร้องหาสันติ
ชัยชนะที่ Assaye นั้นถือเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่และจุดประกายความเป็นอัจฉริยะทางทหารให้เหล่า ชาวบริเตนทั้งหลายนั้นได้เห็น พี่ชายของเขาท่าน Lord Mornington ถึงกับเอ่ยปากชมว่า "เป็นชัยชนะที่ยอดเยี่ยมและสำคัญที่สุด" และเขาก็ตบรางวัลให้ Arthur และกองทัพของเขาอย่างงาม นั้นคือเหรียญตราช้างแห่ง Assaye อันเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์มาติดไว้บนชุดของพวกเขา และนอกจากนี้บริษัท British East India Company ยังได้สร้างอนุสรณ์ กองพันทหารราบที่ 74 (ซึ่งยืนหยัดรบนานที่สุดและเสียหายมากที่สุด) ไว้ที่ กัตลัตตา อีกด้วย
เหรียญช้างกิตติมศักดิ์แห่ง Assaye
จนในภายหลังท่าน Duke of Wellington ได้กล่าวออกมาว่า สมรภูมิที่ Assaye นั้นเป็นชัยชนะที่ดีที่สุดของเขา (ถึงแม้การรบที่ Waterloo จะเป็นที่รู้จักไปทั่ว แต่การรบครั้งนั้นก็ต้องแลกด้วยชีวิตทหารอังกฤษหลายหมื่นนายทีเดียว และ ถือเป็นการรบที่หืดขึ้นคอสุดๆในชีวิตของเขา)
และแล้วเส้นทางชีวิตของพลโทหนุ่มวัย 34 ผู้นี้ก็เริ่มส่องประกายไปด้วยออร่าแห่งความรุ่งโรจน์!! และเขานั้นต้องก้าวต่อไปเพื่อเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม!!
ปล.แปลผิดพลาดประการใดขออภัยน่ะครับ
"The Iron Duke" Part 3 : Assaye สมรภูมิแจ้งเกิดดยุคเหล็ก
แต่ด้วยความไฟแรงของพลตรีพนุ่ม Arthur ที่ต้องการจะสร้างผลงานให้ประจักษ์ต่อพี่ชาย และเขามั่นใจว่าฝั่งมารตะก็คงคิดว่าเขาจะไม่บุกไปหาเช่นกัน เขาจึงเป็นฝ่ายเริ่มบุกซะเอง เพื่อทำให้พวก มารตะ นั้นประหลาดใจ ดังนั้นเขาจึงทำในสิ่งที่บ้าที่สุดในชีวิตนั้นคือ การบุกเข้าโจมตีข้าศึกด้วยกำลังทหารที่น้อยกว่ามากครับ!!. แต่ Arthur นั้นไม่ได้บ้าเขารู้ดีว่าการบุกเข้าโจมตีซึ่งๆหน้า เดินเขาไปในตำบลสังหารที่ มารตะตั้งไว้นั้นมันฆ่าตัวตายชัดๆ เขาจึงสั่งให้ทหารม้านั้นลาดตระเวณไปรอบๆบริเวณเพื่อหาจุดที่จะข้ามแม่น้ำไปได้ ซึ่งก็เป็นผลครับเมื่อพบว่า บริเวณ หมู่บ้าน Peepulgaon และ Waroor นั้นมีจุดตื้นเขินพอที่จะข้ามไปได้พอดี กอปรกับบริเวณนั้นไม่มีการป้องกันของฝั่งมารตะและห่างจากระยะของปืนใหญ่ ทำให้ Arthur ตัดสินใจพาทหารทั้งหมดข้ามแม่น้ำ Kailna อย่างรวดเร็ว!!
ด้วยกองทัพของอังกฤษนั้นมีขนาดเล็กและถูกฝึกมาอย่างดี ทำให้พวกเขาข้ามแม่น้ำมาได้โดยใช้เวลาอันสั้น.... และมาอยู่ในตำแหน่งปีกขวาของ กองทัพ มารตะ!! Arthur นั้นสั่ง ทหารราบทั้งหมด 6 กองพัน จัดแถวเป็นหน้ากระดานอย่างรวดเร็วสำหรับการบุกเข้าตี ส่วนทหารม้าชนพื้นเมืองและอังกฤษนั้นเป็นกองหนุนด้านหลัง ทางฝั่ง พันเอก Anthony แม่ทัพรับจ้างชาวอังกฤษ เห็นดังนั้นก็รู้ทันทีว่า Arthur นั้นจะเข้าโจมตีปีกขวาของเขาเป็นแน่.. (ความจริงเห็นตั้งแต่ตอนจะข้ามแม่น้ำแล้ว) เขาจึงพยายามหันกองทัพตัวเอง 90 องศา.... เพื่อจะได้ตั้งประจัญหน้ากับกองทัพของ Arthur แต่ด้วยจำนวนอันมากมายมหาศาลของกองทัพ มารตะ และความคับแคบของพื้นที่นั้น ทำให้กองทัพของเขาจัดรูปขบวนอย่างอยากลำบากและเกิดความสับสนวุ่นวาย!! เป็นโอกาสให้ Arthur สั่งกองทหารเข้าโจมตีทันที!!
ทหารราบของอังกฤษนั้นเดินหน้าเขาหาขบวนกองทัพของมารตะที่มีมากกว่าอย่างห้าวหาญ!! แต่ปืนใหญ่ของมารตะหลายกระบอกที่หันมาทางทิศของ Arthur นั้นเริมเปิดฉากยิงทันที!! ปืนใหญ่ของอังกฤษพยายามยิงตอบโต้แต่ด้วยจำนวนเพียง 17 กระบอกเท่านั้นเลยไม่เป็นผลเท่าไหร่นัก ทหารอังกฤษนั้นเริ่มบาดเจ็บล้มตาย จากกระสุนลูกเหล็กและลูกปราย จนแถวทหารเริ่มเว้าๆแหว่งๆ แต่ด้วยวินัยอันยอดเยี่ยมของเหล่าทหารอังกฤษ ทำให้พวกเขามิยอมถอยแต่กลับปิดช่องว่างในแถวให้เต็มดังเดิม!! ซึ่งสิ่งๆนี้ก็เริ่มส่งผลต่อขวัญกำลังใจต่อฝ่ายมารตะมิใช่น้อย จนมาถึงระยะ 50 หลา กองพันทหาร Highland ที่ 74 ที่อยู่แนวหน้าก็เปิดฉากระดมยิงใส่ ทหารเฝ้าปืนใหญ่มารตะและทหารราบของมารตะจนล้มตายด้าวดิ้น จากนั้นไม่นานทหารราบอังกฤษ กว่า 4 กองพันก็บุกตะลุยใส่ ทหารมารตะที่เสียขวัญด้วยดาบปลายปืนจนพวกมารตะแตกกระเจิง!! ปืนใหญ่มาระตะส่วนใหญ่นั้นถูกทิ้ง และ ปีกขวาของมารตะกำลังระส่ำระสาย
แต่ดูเหมือนกรมทหารราบที่ 78 ของอังกฤษนั้นจะรุกเข้าไกลเกินจนขาดการติดต่อกับกำลังหลัก ทำให้ พันเอก Anthony นั้นเห็นช่องโหว่จึงรีบสั่งทั้งทหารราบและทหารม้าที่มีนั้นชาร์จเข้าใส่กรมทหารราบที่ 78 ทันที!!! แต่พวกเขานั้นก็จัดรูปขบวนสี่เหลี่ยมจัตุรัส เพื่อตั้งรับได้ทัน และตั้งรับอย่างเหนียวแน่นจน พันเอกอังกฤษ Patrick Maxwell นำกองทหารม้า Light Dragoon ที่ 19 และทหารม้าพื้นเมืองเข้าชาร์จใส่ทหารมารตะที่กำลังล้อม กรมทหารราบที่ 78 จน พวกมารตะนั้นสลายตัวถอยกลับไป
แต่ก็ที่แนวปืนใหญ่ของ มารตะที่ถูกทหารอังกฤษเข้าโจมตีในช่วงต้นนั้น กลับปรากฎว่ามีทหารมารตะหลายนายแกล้งตายตอนฝั่งอังกฤษบุกและเมื่ออังกฤษรุดหน้าเข้าไป พวกเขาก็กลับมาประจำปืนใหญ่และยิงใส่แนวหลังของ อังกฤษทำให้ กองทัพอังกฤษนั้นเกิดความสับสนจน Arthur นั้นต้องเสียเวลามาจัดการกับพวกมารตะที่เหลือให้ราบคาบ แต่เวลาที่เสียไปนั้นก็นานพอที่จะทำให้ Anthony นั้นจัดแนวกองทัพมารตะใหม่!! เขาสั่งให้จัดแนวเป็นรูปครึ่งวงกลมหันหลังให้กลับแม่น้ำเพื่อตั้งรับการบุกของอังกฤษ Arthur นั้นสั่งให้ Maxwell เข้าโจมตีปีกซ้ายของมารตะอย่างฉับพลัน ส่วนทหารราบที่เหลือเข้าตีตรงกลางและปีกขวา แต่ทหารม้าอังกฤษนั้นบอบช้ำจากการเข้าโจมตีในระลอกก่อนและเมื่อเข้าปะทะได้ไม่นาน พันเอก Maxwell ก็ถูกยิงตายกลางสนามรบ ส่วนทหารม้าอังกฤษนั้นก็เสียหายหนักจนต้องถอยกลับ แต่ทหารราบอังกฤษยังเข้าโจมตีอยู่ ทาง Anthony นั้นเห็นว่าทหารมารตะนั้นเริ่มหมดขวัญกำลังใจพวกเขาจึงถอยทัพกลับ แต่ในบางที่กับบอกว่า กองทัพมารตะนั้นหนีกลับไปอย่างกระเจิดกระเจิงและควบคุมไม่อยู่ ท้ายสุดแล้วชัยชนะก็ตกเป็นของฝั่งอังกฤษภายใต้การนำของ พลตรี Arthur Wellesley โดยฝ่ายอังกฤษนั้นสูญเสีย 428 นาบ บาดเจ็บ 1,156 นาย ส่วนฝั่งมารตะนั้น คาดว่าสูญเสียถึง 6,000 นายเลยทีเดียว และยังถูกยึดปืนใหญ่อีก 98 กระบอก นับเป็นชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่เหนือกองทัพมารตะที่มีมากมายกว่าหลายเท่าตัว!! และ พลตรี Arthur คงจะจดจำยุทธภูมินี้ไปอีกนาน
ถึงแม้กองทัพมารตะจะยังไม่ถูกทำลายอย่างเด็ดขาด แต่การรบครั้งนี้ก็ส่งผลร้ายต่อฝั่งมารตะอย่างยิ่ง ทั้งจำนวนปืนใหญ่ที่ลดน้อยลงมาก รวมถึงการยอมจำนนของนายทหารรับจ้างยุโรปเช่น พันเอก Anthony Pohlmann เพราะฝั่งอังกฤษนั้นใช้นโยบายนิรโทษกรรมให้แก่ชาวยุโรปทั้งหลายที่รับใช้มารตะ ทำให้ชาวยุโรปจำนวนมากเริ่มตบเท้าออกจากกองทัพมารตะ อันเป็นการทำลายเขี้ยวเล็บของมารตะลงอย่างมาก ส่วนทางฝั่ง Arthur นั้นก็ได้รวมกำลังกำลังกับพันเอก Stevenson อีกครั้ง และรุกเข้าไปในดินแดนมารตะเรื่อยๆจนสามารถยึดเมืองป้อมปราการ Gawilghur ได้อีก จากชัยชนะหลายครั้งของ Arthur นั้น ทำให้เขาได้เลื่อนยศเป็น พลโท ในที่สุด ตอนนี้ลางความพ่ายแพ้นั้นมาเยือนอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง ทั้ง 2 ราชาของมารตะอย่าง จึงร้องหาสันติ
ชัยชนะที่ Assaye นั้นถือเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่และจุดประกายความเป็นอัจฉริยะทางทหารให้เหล่า ชาวบริเตนทั้งหลายนั้นได้เห็น พี่ชายของเขาท่าน Lord Mornington ถึงกับเอ่ยปากชมว่า "เป็นชัยชนะที่ยอดเยี่ยมและสำคัญที่สุด" และเขาก็ตบรางวัลให้ Arthur และกองทัพของเขาอย่างงาม นั้นคือเหรียญตราช้างแห่ง Assaye อันเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์มาติดไว้บนชุดของพวกเขา และนอกจากนี้บริษัท British East India Company ยังได้สร้างอนุสรณ์ กองพันทหารราบที่ 74 (ซึ่งยืนหยัดรบนานที่สุดและเสียหายมากที่สุด) ไว้ที่ กัตลัตตา อีกด้วย
จนในภายหลังท่าน Duke of Wellington ได้กล่าวออกมาว่า สมรภูมิที่ Assaye นั้นเป็นชัยชนะที่ดีที่สุดของเขา (ถึงแม้การรบที่ Waterloo จะเป็นที่รู้จักไปทั่ว แต่การรบครั้งนั้นก็ต้องแลกด้วยชีวิตทหารอังกฤษหลายหมื่นนายทีเดียว และ ถือเป็นการรบที่หืดขึ้นคอสุดๆในชีวิตของเขา)
และแล้วเส้นทางชีวิตของพลโทหนุ่มวัย 34 ผู้นี้ก็เริ่มส่องประกายไปด้วยออร่าแห่งความรุ่งโรจน์!! และเขานั้นต้องก้าวต่อไปเพื่อเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม!!
ปล.แปลผิดพลาดประการใดขออภัยน่ะครับ