หลายๆท่านในนี้คงจะได้ยินชื่อเสียงของ Duke of Wellington ผู้นี้มามิน้อย โดยเขาผู้นี้ก็คือผู้สยบจักรพรรดิฝรั่งเศสผู้เกรียงไกรอย่าง นโปเลียน โบนาร์บาร์ต ได้ในสมรภูมิ Waterloo นั้นเองครับ แต่น้อยคนนักจะรู้ว่าประวัติเบื้องลึกเบื้องหลังของเขานั้นเป็นอย่างไร กว่าจะมาเป็น ท่านดยุคเหล็กได้นั้น Arthur Wellesley ผู้นี้ผ่านอะไรมาบ้าง ซึ่งในวันนี้ผมจะมาบรรยายให้เหล่าผู้ติดตามเพจทั้งหลายนั้นได้ทราบเองครับ
สำหรับหนูน้อย Arthur นั้นต้นตระกูลเขานั้นไม่ใช่อังกฤษแท้ 100% แต่เป็น Anglo - Irish หรือเชื้อสาย ไอริช นั้นเองครับ เขาถือกำเนิดในวันที่ 30 ,มิถุนายน (หรือบางที่ว่า 2 - 4 พฤษภาคม) ค.ศ. 1769 ที่ กรุงดับลิน ประเทศไอร์แลนด์ นั้นเองครับ ช่างน่าบังเอิญจริงๆที่เขาอ่อนกว่า นโปเลียนเพียง 4 เดือน เท่านั้น (ทั้งคู่เกิดในปีเดียวกัน) โดยเขาเป็นบุตรคนที่ 4 ของ Garrett Wellesley ท่านเอิร์ลคนแรกแห่ง Mornington โดยในช่วงแรกนั้นเขาเรียนในโรงเรียนโบสถ์ที่ Trim ใน ดับลิน ก่อนจะย้ายไปเรียนที่ เชลซี ในอังกฤษ จนกระทั่งอายุ 12 ปี เข้าก็เขาเรียนวิทยาลัย Eton ในกรุงลอนดอน แต่ในปีเดียวกันนั้น พ่อของเขาก็เสียชีวิตลงทำให้ ฐานะทางบ้านของเขานั้นจนลงมาก เขานั้น ขาดทั้งทุนทรัพย์ในการเรียน นอกจากนี้เขายังเหงาและปล่าวเปลี่ยวไร้เพื่อน แต่ถึงกระนั้นเขาดันมีพรสวรรค์เช่น นโปเลียนนั้นคือ ความสามารถคำนวณคณิตศาสตร์อย่างแม่นยำและฉับไว อย่างไรก็ตามเขาและแม่ของเขานั้นมักจะโต้เถียงกันเสมอ เนื่องจากแม่ของ Arthur นั้นเป็นคนค่อนข้างดุ นางมักจะด่า Arthur ว่า "ไอ้เด็กน่าเกลียด" หรือ "food for powder" (คำหลังนี้ผู้เขียนไม่ค่อยแน่ใจว่าแปลว่าอะไร แต่น่าจะเป็นสำนวนของอังกฤษ อารมณ์ประมาณว่า เหลือเดน หรือ กินของเหลือเดน)
ด้วยความที่ครอบครัวเริ่มยากจนลงเรื่อยๆเขาจึงออกจาก ลอนดอน และย้ายมายัง บรัสเซลล์ ที่นั้นเขาก็แทบไม่ได้เรียนอะไรเลยเพราะไม่มีเงิน มีแต่เพียงเรียน ดนตรีจากทนายใจดีที่บ้านอยู่ติดกับเขา ในปี ค.ศ.1786 เขานั้นได้ถูกส่งไปเรียนโรงเรียนทหารใน Angers ที่ฝรั่งเศส ซึ่งเป็นโรงเรียนรัฐบาลและราคาถูก โดยเขานั้นเป็นเด็กที่ อ่อนแอ และ ไม่ใส่ใจการเรียนเอาเสียเลย แต่การอยู่ที่นั้นก็ทำให้เขาได้สร้างสังคมและที่สำคัญคือการฝึกพูดภาษาฝรั่งเศส ซึ่งจะมีประโยชน์ในภายภาคหน้าอย่างแน่นอน
ในปี ค.ศ. 1787 พี่ชายของเขา Lord Morington ได้ให้เขาดำรงตำแหน่งผู้หมวดใน กรมทหาร Highland ที่ 73 หลังจากนั้นเขาก็ย้ายตำแหน่งไปเรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นกิจลักษณะเลยจนกระทั่งปี ค.ศ.1793 เขาก็ได้กลับ ไอร์แลน และได้ดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยนายอำเภอใน ไอร์แลนด์ แต่รายได้ของมันก็น้อยมาก ขนาดที่ว่า เขาต้องยืมเงินคนอื่นมาซ่อมรองเท้าบู๊ตของเขา จนกระทั่งปี ค.ศ. 1794 ได้เกิดสงครามปฎิวัติฝรั่งเศส ซึ่งทางอังกฤษก็เข้าร่วมสงครามโดยเป็นฝ่าย ที่ต้องการจะโค่นล้มสาธารณรัฐฝรั่งเศส หรือ Coalition นั้นเอง โดยทางฝั่งอังกฤษนั้นได้ทำสงครามในบริเวณ ฮอลแลนด์ และเบลเยี่ยามตามลำดับ ซึ่งผลก็คือ อังกฤษนั้นพ่ายแพ้ต่อฝรั่งเศสในทุกครั้ง ทั้งที่ Fleurus และ Boxtel จน Duke of York แม่ทัพอังกฤษในตอนนั้นถอยร่นไม่เป็นขบวน ส่วน Arthur นั้นก็แทบไม่ได้ทำอะไรอีกตามเคย เขานั้นพากรมทหารราบที่ 33 ของเขาไปข้างหน้า และ ถอยกลับ เมื่อเห็นว่าทหารหน่วยอื่นนั้นถอยกลับหมดแล้ว แต่หลังจากนั้นไม่นาน กองทัพอังกฤษก็ตั้งแนวป้องกันที่บริเวณแม่น้ำ Waal และฤดูหนาวอันแสนทารุณก็มาเยือน ทำให้กรมทหารราบที่ 33 ของเขานั้น สูญเสียอย่างหนักท่ามกลางความหนาวและหิวโหย ในที่สุดกองทัพอังกฤษก็ถูกขับออกจาก เนเธอแลนด์ แต่สงครามครั้งแรกของเขานั้นก็เป็นบทเรียนให้กับ ผู้หมวด Arthur อย่างมิมีวันลืม เขากลับมาที่อังกฤษอีกครั้งในช่วงเดือน มีนาคม ค.ศ. 1795 และหวังว่าจะได้เข้าร่วมพรรคไอริช ในตำแหน่ง เลขานุการ แต่ก็ถูกปฎิเสธอย่างไรก็ตาม เขาก็กลับเข้ากองทัพและออกเดินทางสูอินเดีย ซึ่งที่นั้นมีคนเสนอตำแหน่งผู้พันให้แก่เขา ดังนั้นเขาจึงดั้นด้นไปที่อินเดีย เพื่อหวังอนาคตที่ดีกว่าในตอนนี้
จะเห็นได้ว่าชีวิตในวัยหนุ่มของ Arthur Wellesley นั้นต้องล้มลุกคลุกคลานอยู่หลายครั้งกว่าจะเริ่มตั้งตัวติด ซึ่งต้องมาตามดูกันต่อครับว่าชีวิตของเขาจะเป็นอย่างไรในอินเดีย ในพาทหน้าครับ
ปล.แปลผิดพลาดอย่างไรก็ขออภัยด้วยน่ะครับ
"The Iron Duke" Part 1 : กำเนิด Arthur Wellesley
สำหรับหนูน้อย Arthur นั้นต้นตระกูลเขานั้นไม่ใช่อังกฤษแท้ 100% แต่เป็น Anglo - Irish หรือเชื้อสาย ไอริช นั้นเองครับ เขาถือกำเนิดในวันที่ 30 ,มิถุนายน (หรือบางที่ว่า 2 - 4 พฤษภาคม) ค.ศ. 1769 ที่ กรุงดับลิน ประเทศไอร์แลนด์ นั้นเองครับ ช่างน่าบังเอิญจริงๆที่เขาอ่อนกว่า นโปเลียนเพียง 4 เดือน เท่านั้น (ทั้งคู่เกิดในปีเดียวกัน) โดยเขาเป็นบุตรคนที่ 4 ของ Garrett Wellesley ท่านเอิร์ลคนแรกแห่ง Mornington โดยในช่วงแรกนั้นเขาเรียนในโรงเรียนโบสถ์ที่ Trim ใน ดับลิน ก่อนจะย้ายไปเรียนที่ เชลซี ในอังกฤษ จนกระทั่งอายุ 12 ปี เข้าก็เขาเรียนวิทยาลัย Eton ในกรุงลอนดอน แต่ในปีเดียวกันนั้น พ่อของเขาก็เสียชีวิตลงทำให้ ฐานะทางบ้านของเขานั้นจนลงมาก เขานั้น ขาดทั้งทุนทรัพย์ในการเรียน นอกจากนี้เขายังเหงาและปล่าวเปลี่ยวไร้เพื่อน แต่ถึงกระนั้นเขาดันมีพรสวรรค์เช่น นโปเลียนนั้นคือ ความสามารถคำนวณคณิตศาสตร์อย่างแม่นยำและฉับไว อย่างไรก็ตามเขาและแม่ของเขานั้นมักจะโต้เถียงกันเสมอ เนื่องจากแม่ของ Arthur นั้นเป็นคนค่อนข้างดุ นางมักจะด่า Arthur ว่า "ไอ้เด็กน่าเกลียด" หรือ "food for powder" (คำหลังนี้ผู้เขียนไม่ค่อยแน่ใจว่าแปลว่าอะไร แต่น่าจะเป็นสำนวนของอังกฤษ อารมณ์ประมาณว่า เหลือเดน หรือ กินของเหลือเดน)
ด้วยความที่ครอบครัวเริ่มยากจนลงเรื่อยๆเขาจึงออกจาก ลอนดอน และย้ายมายัง บรัสเซลล์ ที่นั้นเขาก็แทบไม่ได้เรียนอะไรเลยเพราะไม่มีเงิน มีแต่เพียงเรียน ดนตรีจากทนายใจดีที่บ้านอยู่ติดกับเขา ในปี ค.ศ.1786 เขานั้นได้ถูกส่งไปเรียนโรงเรียนทหารใน Angers ที่ฝรั่งเศส ซึ่งเป็นโรงเรียนรัฐบาลและราคาถูก โดยเขานั้นเป็นเด็กที่ อ่อนแอ และ ไม่ใส่ใจการเรียนเอาเสียเลย แต่การอยู่ที่นั้นก็ทำให้เขาได้สร้างสังคมและที่สำคัญคือการฝึกพูดภาษาฝรั่งเศส ซึ่งจะมีประโยชน์ในภายภาคหน้าอย่างแน่นอน
ในปี ค.ศ. 1787 พี่ชายของเขา Lord Morington ได้ให้เขาดำรงตำแหน่งผู้หมวดใน กรมทหาร Highland ที่ 73 หลังจากนั้นเขาก็ย้ายตำแหน่งไปเรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นกิจลักษณะเลยจนกระทั่งปี ค.ศ.1793 เขาก็ได้กลับ ไอร์แลน และได้ดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยนายอำเภอใน ไอร์แลนด์ แต่รายได้ของมันก็น้อยมาก ขนาดที่ว่า เขาต้องยืมเงินคนอื่นมาซ่อมรองเท้าบู๊ตของเขา จนกระทั่งปี ค.ศ. 1794 ได้เกิดสงครามปฎิวัติฝรั่งเศส ซึ่งทางอังกฤษก็เข้าร่วมสงครามโดยเป็นฝ่าย ที่ต้องการจะโค่นล้มสาธารณรัฐฝรั่งเศส หรือ Coalition นั้นเอง โดยทางฝั่งอังกฤษนั้นได้ทำสงครามในบริเวณ ฮอลแลนด์ และเบลเยี่ยามตามลำดับ ซึ่งผลก็คือ อังกฤษนั้นพ่ายแพ้ต่อฝรั่งเศสในทุกครั้ง ทั้งที่ Fleurus และ Boxtel จน Duke of York แม่ทัพอังกฤษในตอนนั้นถอยร่นไม่เป็นขบวน ส่วน Arthur นั้นก็แทบไม่ได้ทำอะไรอีกตามเคย เขานั้นพากรมทหารราบที่ 33 ของเขาไปข้างหน้า และ ถอยกลับ เมื่อเห็นว่าทหารหน่วยอื่นนั้นถอยกลับหมดแล้ว แต่หลังจากนั้นไม่นาน กองทัพอังกฤษก็ตั้งแนวป้องกันที่บริเวณแม่น้ำ Waal และฤดูหนาวอันแสนทารุณก็มาเยือน ทำให้กรมทหารราบที่ 33 ของเขานั้น สูญเสียอย่างหนักท่ามกลางความหนาวและหิวโหย ในที่สุดกองทัพอังกฤษก็ถูกขับออกจาก เนเธอแลนด์ แต่สงครามครั้งแรกของเขานั้นก็เป็นบทเรียนให้กับ ผู้หมวด Arthur อย่างมิมีวันลืม เขากลับมาที่อังกฤษอีกครั้งในช่วงเดือน มีนาคม ค.ศ. 1795 และหวังว่าจะได้เข้าร่วมพรรคไอริช ในตำแหน่ง เลขานุการ แต่ก็ถูกปฎิเสธอย่างไรก็ตาม เขาก็กลับเข้ากองทัพและออกเดินทางสูอินเดีย ซึ่งที่นั้นมีคนเสนอตำแหน่งผู้พันให้แก่เขา ดังนั้นเขาจึงดั้นด้นไปที่อินเดีย เพื่อหวังอนาคตที่ดีกว่าในตอนนี้
จะเห็นได้ว่าชีวิตในวัยหนุ่มของ Arthur Wellesley นั้นต้องล้มลุกคลุกคลานอยู่หลายครั้งกว่าจะเริ่มตั้งตัวติด ซึ่งต้องมาตามดูกันต่อครับว่าชีวิตของเขาจะเป็นอย่างไรในอินเดีย ในพาทหน้าครับ
ปล.แปลผิดพลาดอย่างไรก็ขออภัยด้วยน่ะครับ