สงสัยมากครับ ถ้ามันดีและ จริงดังในบทความ ทำไมเรื่องนี้ถึงไม่ถูก ใช้อย่างแพร่หลายและจริงจังมากกว่านี้
(หรือว่า ทำกันแล้ว แต่ผมแค่ไม่ทราบ?)
ผมอ่านจากใน ลิงค์นี้ครับ
https://www.centerthai.com/313/
--------------------------------------------------------------------------------------
หลายๆ คนอาจจะยังไม่รู้ว่า การที่เราไม่ทานข้าวเย็นนั้นมัน มันคือเรื่องดีนะจ๊ะ ฮั่นแน่ งง งงกันอยู่เเน่ๆ มันดียังไงต้องไปดูกันเลย…
ทำอย่างไรจึงจะ “ไม่แก่ ไม่อ้วนและอายุยืน”
คำตอบก็คือ “กินสายกลาง ”
กินสายกลาง คือ กินมื้อเช้าและมื้อเที่ยง งดมื้อเย็น เปรียบตัวเราเป็นรถยนต์ ตื่นเช้ามาต้องเติมน้ำมันก่อน หรือกินมื้อเช้า รถจึงจะวิ่งได้ ถึงเที่ยงน้ำมันยังไม่หมด เติมอีกครั้ง ถึงเย็นก่อนนอนก็ยังไม่หมดพิสูจน์ได้ดังนี้
สมมุติกินไข่ลวก 1 ฟองโตๆ มีไข่แดงหนัก 50 กรัม ในไข่แดงมีคลอเลสเตอรอล 1 กรัม ให้พลังงาน 9 แคลอรี่ ฉะนั้น 50 กรัม ให้พลังงาน 450 แคลอรี่ จะต้องออกกำลังกายเพื่อใช้พลังงานนี้ โดยขี่จักรยานตั้งแรงต้านไว้ 1.3 ก. ก. ความเร็วที่ปั่นบันไดจักรยาน 60 รอบต่อนาที ขี่อยู่นาน 60 นาที จะเหนื่อยหอบ เหงื่อไหลท่วมตัว แต่ใช้พลังงานไปเพียง 300 แคลอรี่ ไข่ใบเดียว
ยังใช้ไม่หมด ฉะนั้น
ถ้า กินมื้อเช้า มื้อเที่ยง จนถึงเย็น พลังงานยังเหลือแน่นอน ไม่จำเป็นต้องไปเติมอีก
เพราะเวลานอนร่างกายจะนำพลังงานที่เหลือใช้ไปเก็บในที่ต่างๆ โดยตับเป็นผู้ทำงานนี้ ถ้าพลังงานเหลือมาก การเอาไปเก็บในที่ต่างๆก็มาก ทำให้อ้วน และแน่นอนถ้าเก็บไม่หมดโดยเฉพาะพวกไขมันตัวโตๆ จะต้องค้างอยู่ในหลอดเลือด ถ้าค้างสะสมมากเท่าใด รูหลอดเลือดก็จะเล็กลงทุกวัน เลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆได้น้อยลง อวัยวะทั้งหลายก็จะเสื่อมสภาพเร็วขึ้นหรือแก่เร็วขึ้น ถ้าวันไหนอุดตัน เช่นถ้าตันที่สมอง จะกลายเป็นคนพิการอัมพาตครึ่งซีก ถ้าอุดตันที่ไต ต้องล้างไต เปลี่ยนไต ถ้าตันที่ขา อาจต้องตัดขาทิ้ง ถ้าตันที่กล้ามเนื้อหัวใจ ก็จะไม่มีโอกาสได้สั่งลาใคร
การกินมื้อเย็นจึงเป็นมื้อที่เร่งกระบวนการ”เสื่อมของอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย “ร่ายกายต้องใช้พลังงานอย่างหนักในการเผาผลาญอาหาร”ยิ่งกินมื้อเย็นในปริมาณที่เยอะ ก็ยิ่งเร่งการเสียชีวิตให้เร็วขึ้นไปอีก “มื้อเย็น”จึงเป็นมื้ออันตราย เป็นมื้อตายผ่อนส่ง
ฉะนั้น จึงหมายความว่าการกินมื้อเย็นมาก ยิ่งผ่อนส่งมาก ตายเร็ว ถ้าไม่กินมื้อเย็น ก็จะแก่ช้า เสื่อมช้า อายุยืนการไม่กินอาหารมื้อเย็นเป็นเรื่องที่ต้องเอาชนะใจตัวเองอย่างมาก
ถ้าใครทำได้จะตัดทั้งกิเลส สุขภาพดี อายุยืน และมีสมาธิดี ความมุ่งมั่นสูง ได้ประโยชน์ทั้งกายและใจ
แต่ท่าน ต้องฝึกกระเพาะให้เกิดความเคยชิน
วิธีฝึกมีด้วยกัน 4 วิธี ที่ได้ผลดังนี้
1. ค่อยๆลดปริมาณอาหารมื้อเย็น ทีละน้อยๆเช่นลดกินข้าวจาก 2 จาน เหลือ 1 1/2 จาน สัก 3-4 เดือน โดยมีข้อแม้ว่า หลังอาหารเย็นแล้วห้ามกินอาหารใดๆทั้งนั้นยกเว้นน้ำเปล่า พอกระเพาะชินแล้วลดเหลือ 1 จาน ต่อไปครึ่งจาน ต่อไปไม่กินข้าวเลยกินแต่กับ ต่อไปกินผักผลไม้ สุดท้ายงดอาหารเย็น
2. ร่นเวลากินอาหารเย็น เช่นจาก 2 ทุ่มมากิน 1 ทุ่ม ต่อไปเลื่อนเป็น 6 โมงเย็น 5 โมงเย็น 4 โมงเย็น 3 โมงเย็น ฯ
3. กินเม็ดแมงลักแทนมื้อเย็น ใช้เม็ดแมงลัก 2 ช้อนโต๊ะใส่ในถ้วยน้ำแกงหรือน้ำเปล่าคนแล้วดื่มทันที ดื่มน้ำตามอีก 4-5 แก้ว
4. กินมังสะวิรัตมื้อเย็น การกินผักผลไม้ถือว่าเป็นอาหารไม่มีพิษ ร่างกายจะได้พักไม่ต้องทำลายพิษของอาหารเนื้อสัตว์ พิษที่สะสมไว้ก่อนก็จะถูกตับ ไต กำจัดหมดไปเองได้ ร่างกายมีเวลาถึง 18 ช.ม. กำจัดพิษที่ติดมากับมื้อเช้า มื้อเที่ยงได้ทัน ฉะนั้นการไม่กินอาหารเย็นจึงเป็นเวลาที่ตับ ไต จะสามารถกำจัดสารพิษจากอาหารมื้อเช้าและเที่ยงได้หมด ร่างกายจึงบริสุทธิ์ทุกวัน
คุณหมอท่านนี้ กินวันละมื้อ ปัจจุบันอายุ 56 แต่หน้าเหมือน 36 เขาทำได้อย่างไร
ทานมื้อเดียวได้ประโยชน์อะไร เทคนิค กินยังไงให้อายุ ลดลง
Being Hungry Makes You Healthy
หนังสือ “ยิ่งหิวยิ่งสุขภาพดี” เขียนโดย นายแพทย์โยะชิโนะริ นะงุโม (Yoshinori Nagumo)
ในบทนำมีการเกริ่นว่า ผู้เขียนเริ่มทานอาหารเหลือวันละมื้อ เมื่ออายุ 45 ปี เพราะปัญหาเรื่องสุขภาพ
ผ่านไปสิบปี เมื่อเขาไปตรวจร่างกาย พบว่า อายุหลอดเลือดของเขา เท่ากับคนอายุ 26 ปี
เขาเล่าว่า มนุษย์ในอดีต ไม่ได้มีกินอุดมสมบูรณ์ โดยกินสามมื้อเหมือนปัจจุบันนี้
ในอดีตเรากินวันละมื้อก็บุญแล้ว ดังนั้นร่างกายเราจึงมีภูมิคุ้มกันในตัวเอง
เมื่อเราหิว ไม่มีกิน เราจะมียีนที่ชื่อ เซอร์ทูอินออกมาซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอต่างๆ ภายในร่างกาย
ในขณะเดียวกันร่างกายก็จะผลิต Growth Hormone ออกมา
ซึ่งเจ้า Growth Hormone นี้ทำให้เรากลับเป็นหนุ่มสาวมากขึ้น ซึ่งเป็นกระบวนการเพื่อการอยู่รอด
ปัญหาก็คือเมื่อร่างกายอิ่ม กลไกนี้ไม่เกิด เราจึงแก่ไปเรื่อยๆ สรุปง่ายๆ ก็คือ การกินมากไปคือสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคภัยต่างๆ
และที่สำคัญ ร่างกายเราไม่ได้ถูกออกแบบให้กินอิ่ม เราจึงปรับตัวให้การกินอิ่มได้ไม่ดี
ทำให้กระบวนการธรรมชาติของร่างกายเรารวนนั่นเอง
ในเรื่องการกินวันละมื้อ ผู้เขียนได้แนะนำสิ่งที่เขาทำมาแล้วได้ผล เขาบอกว่า เขาเพลิดเพลินกับการที่ได้ยินเสียงท้องร้องจ๊อกๆ
เพราะว่า เขารู้ว่าร่างกายเรากำลังซ่อมแซม และปรับตัวให้เยาว์วัย ด้วยกระบวนการที่กล่าวถึงข้างต้น
ในเชิงหลักการทางวิทยาศาสตร์ เขาอธิบายดังนี้
(1) ปากทางเข้าลำไส้เล็ก จะมีเซ็นเซอร์เตรียมรอรับของกินอยู่ ถ้าไม่มีอาหารไหลลงมาเสียที ลำไส้เล็กก็จะรีบหลั่งฮอร์โมนสำหรับย่อยอาหาร โมลิติน (Molitin) ออกมาทำให้กระเพาะอาหารบีบตัว เพื่อส่งของกินที่อาจจะตกค้างอยู่ในกระเพาะอาหารเข้าไปในลำไส้เล็กเรียกว่า “การบีบตัวเมื่อหิว” และเป็นตัวการที่แท้จริงของอาการท้องร้องจ๊อกๆ
(2) เมื่อกระเพาะรู้ตัวว่า หิวจะหลั่งฮอร์โมนเกรลิน (Ghrelin) ออกมาเกรลินจะถูกหลั่งออกมาจากเยื่อบุกระเพาะอาหารซึ่งถูกกระตุ้นเพราะความหิว โดยจะออกฤทธิ์ที่สมองส่วนไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) ทำให้เกิดความอยากอาหาร ขณะเดียวกันก็จะออกฤทธิ์ที่ต่อมใต้สมอง ทำให้หลั่ง Growth Hormone ออกมา เจ้า Growth Hormone นี้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ฮอร์โมนที่ทำให้กลับไปเป็นหนุ่มสาว” นั่นหมายความว่า ตอนที่ท้องกำลังร้องจ๊อกๆ เพราะหิว คุณจะค่อยๆ มีเสน่ห์ขึ้น จากฮอร์โมนที่ทำให้กลับเป็นหนุ่มสาว ถึงท้องจะร้อง ก็อย่าเพิ่งรีบกินอาหาร ให้มาลองเพลิดเพลินกับประสิทธิภาพของการกลับเป็นหนุ่มสาวที่ได้จาก Growth Hormone กันสักครู่หนึ่งก่อน
(3) ตอนที่ท้องกำลังร้องจ๊อกๆ นั้น ความสามารถในการอยู่รอดอันยอดเยี่ยมกำลังพลุ่งพล่านขึ้นมา นั่นก็คือ “ยีนเซอร์ทูอิน” ที่มีสมญาว่า “ยีนต่ออายุขัย” หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ยีนที่ทำให้อายุยืน” กำลังทำงาน จากการทดลองกับสัตว์หลายชนิดพบว่า เมื่อลดปริมาณอาหารลง 40% จะทำให้อายุยืนขึ้น 1.5 เท่า ทว่ายีนนี้จะมีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อ มีเงื่อนไขบางประการ นั่นคือ “ความหิว” ตราบใดที่ท้องไม่ร้องจ๊อกเพราะหิว ยีนนี้ก็จะไม่ทำงาน ดังนั้น การกินอาหารทั้งที่ยังไม่หิว จึงหมายถึง การมีของดีอยู่กับตัว แต่ไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์ มาทำให้ท้องร้องจ๊อก ด้วยการกินอาหารวันละมื้อดีกว่า แล้วยีนเซอร์ทูอินนี้จะช่วยสแกนยีนในร่างกายอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งค่อยๆ ฟื้นฟูส่วนที่เสียหาย กล่าวกันว่า ความแก่ชราและโรคมะเร็ง ก็มีสาเหตุมาจากความผิดปกติของยีน ดังนั้น เราสามารถทำให้กลับเป็นหนุ่มสาว และป้องกันโรคมะเร็งด้วยการกินอาหารวันละมื้อ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อหิวแล้วอาหารยังตกไม่ถึงท้อง ร่างกายจะนำไขมันที่สะสมไว้ในช่องท้อง มาเปลี่ยนเป็นสารอาหาร ทำให้หน้าท้องแบนราบ
นอกจากการกินวันละมื้อแล้ว ผู้เขียนมีข้อมูลใหม่เพิ่มเติมอีกว่า
การนอนที่ดีคือ นอนในช่วงร่างกายผลิต Growth Hormone ได้ดีที่สุด นั่นก็คือ ช่วงเวลาระหว่าง สี่ทุ่มถึงตีสอง หลังอ่านจบผมมีความเห็นส่วนตัวว่าสิ่งที่จะทำคือ
(1) รอให้ท้องร้องจ๊อกๆ บ่อยๆ เพื่อซ่อมแซมตัวเองและทำให้เยาว์วัยลง
(2) ทานน้อยลง 60% ของแต่ละมื้อ…….”
นอกจากที่คุณอดิศรเขียนแล้ว ผมไปค้นคว้าเพิ่มเติมและพบว่า
เมื่อตอนคุณหมอนะงุโมมีอายุ 37 ปี เขาหนัก 77 กิโลกรัม และเมื่ออายุ 57 ปี หนัก 62 กิโลกรัม ความดันโลหิตเท่ากับคนอายุ 26 ปีอายุมวลกระดูกเท่ากับคนอายุ 28 ปี และสมองมีอายุเท่ากับคนอายุ 38 ปี
จากที่ดูรูปในอินเทอร์เน็ตถึงแม้ขณะนี้คุณหมออายุ 59 ปี แต่หน้าตาเหมือนไม่ถึง 40 ปี ด้วยซ้ำ
คุณหมอพูดในโทรทัศน์ว่า แค่เริ่มต้นไม่กี่วัน ก็จะสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของสุขภาพแล้ว
กลิ่นตัวจะหายไป ผิวหนังจะเนียนขึ้น หน้าท้องจะเรียบขึ้น รูปลักษณ์ของคนผอมจะเริ่มปรากฏ และจิตใจคึกคักขึ้นกว่าเก่า
คุณหมอแนะนำให้ทำติดต่อกัน 52 วัน โดยกินอาหารวันละหนึ่งมื้อ คือมื้อกลางวัน ในมื้อนี้อยากกินอะไรก็ตามใจตัวเองได้
หากหิวมากก็อาจเสริมด้วยผลไม้และอาหารเบาๆ
---------------------------------------------------------------------------------------
รบกวนท่านที่มีความรู้ทางการแพทย์ หรือ ท่านที่มีความเห็น มาให้ข้อมูลเท็จจริง กันหน่อยครับผม
สงสัยเรื่อง การไม่กินมื้อเย็น แล้วดีกับร่างกายครับ
(หรือว่า ทำกันแล้ว แต่ผมแค่ไม่ทราบ?)
ผมอ่านจากใน ลิงค์นี้ครับ https://www.centerthai.com/313/
--------------------------------------------------------------------------------------
หลายๆ คนอาจจะยังไม่รู้ว่า การที่เราไม่ทานข้าวเย็นนั้นมัน มันคือเรื่องดีนะจ๊ะ ฮั่นแน่ งง งงกันอยู่เเน่ๆ มันดียังไงต้องไปดูกันเลย…
ทำอย่างไรจึงจะ “ไม่แก่ ไม่อ้วนและอายุยืน”
คำตอบก็คือ “กินสายกลาง ”
กินสายกลาง คือ กินมื้อเช้าและมื้อเที่ยง งดมื้อเย็น เปรียบตัวเราเป็นรถยนต์ ตื่นเช้ามาต้องเติมน้ำมันก่อน หรือกินมื้อเช้า รถจึงจะวิ่งได้ ถึงเที่ยงน้ำมันยังไม่หมด เติมอีกครั้ง ถึงเย็นก่อนนอนก็ยังไม่หมดพิสูจน์ได้ดังนี้
สมมุติกินไข่ลวก 1 ฟองโตๆ มีไข่แดงหนัก 50 กรัม ในไข่แดงมีคลอเลสเตอรอล 1 กรัม ให้พลังงาน 9 แคลอรี่ ฉะนั้น 50 กรัม ให้พลังงาน 450 แคลอรี่ จะต้องออกกำลังกายเพื่อใช้พลังงานนี้ โดยขี่จักรยานตั้งแรงต้านไว้ 1.3 ก. ก. ความเร็วที่ปั่นบันไดจักรยาน 60 รอบต่อนาที ขี่อยู่นาน 60 นาที จะเหนื่อยหอบ เหงื่อไหลท่วมตัว แต่ใช้พลังงานไปเพียง 300 แคลอรี่ ไข่ใบเดียว
ยังใช้ไม่หมด ฉะนั้น
ถ้า กินมื้อเช้า มื้อเที่ยง จนถึงเย็น พลังงานยังเหลือแน่นอน ไม่จำเป็นต้องไปเติมอีก
เพราะเวลานอนร่างกายจะนำพลังงานที่เหลือใช้ไปเก็บในที่ต่างๆ โดยตับเป็นผู้ทำงานนี้ ถ้าพลังงานเหลือมาก การเอาไปเก็บในที่ต่างๆก็มาก ทำให้อ้วน และแน่นอนถ้าเก็บไม่หมดโดยเฉพาะพวกไขมันตัวโตๆ จะต้องค้างอยู่ในหลอดเลือด ถ้าค้างสะสมมากเท่าใด รูหลอดเลือดก็จะเล็กลงทุกวัน เลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆได้น้อยลง อวัยวะทั้งหลายก็จะเสื่อมสภาพเร็วขึ้นหรือแก่เร็วขึ้น ถ้าวันไหนอุดตัน เช่นถ้าตันที่สมอง จะกลายเป็นคนพิการอัมพาตครึ่งซีก ถ้าอุดตันที่ไต ต้องล้างไต เปลี่ยนไต ถ้าตันที่ขา อาจต้องตัดขาทิ้ง ถ้าตันที่กล้ามเนื้อหัวใจ ก็จะไม่มีโอกาสได้สั่งลาใคร
การกินมื้อเย็นจึงเป็นมื้อที่เร่งกระบวนการ”เสื่อมของอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย “ร่ายกายต้องใช้พลังงานอย่างหนักในการเผาผลาญอาหาร”ยิ่งกินมื้อเย็นในปริมาณที่เยอะ ก็ยิ่งเร่งการเสียชีวิตให้เร็วขึ้นไปอีก “มื้อเย็น”จึงเป็นมื้ออันตราย เป็นมื้อตายผ่อนส่ง
ฉะนั้น จึงหมายความว่าการกินมื้อเย็นมาก ยิ่งผ่อนส่งมาก ตายเร็ว ถ้าไม่กินมื้อเย็น ก็จะแก่ช้า เสื่อมช้า อายุยืนการไม่กินอาหารมื้อเย็นเป็นเรื่องที่ต้องเอาชนะใจตัวเองอย่างมาก
ถ้าใครทำได้จะตัดทั้งกิเลส สุขภาพดี อายุยืน และมีสมาธิดี ความมุ่งมั่นสูง ได้ประโยชน์ทั้งกายและใจ
แต่ท่าน ต้องฝึกกระเพาะให้เกิดความเคยชิน
วิธีฝึกมีด้วยกัน 4 วิธี ที่ได้ผลดังนี้
1. ค่อยๆลดปริมาณอาหารมื้อเย็น ทีละน้อยๆเช่นลดกินข้าวจาก 2 จาน เหลือ 1 1/2 จาน สัก 3-4 เดือน โดยมีข้อแม้ว่า หลังอาหารเย็นแล้วห้ามกินอาหารใดๆทั้งนั้นยกเว้นน้ำเปล่า พอกระเพาะชินแล้วลดเหลือ 1 จาน ต่อไปครึ่งจาน ต่อไปไม่กินข้าวเลยกินแต่กับ ต่อไปกินผักผลไม้ สุดท้ายงดอาหารเย็น
2. ร่นเวลากินอาหารเย็น เช่นจาก 2 ทุ่มมากิน 1 ทุ่ม ต่อไปเลื่อนเป็น 6 โมงเย็น 5 โมงเย็น 4 โมงเย็น 3 โมงเย็น ฯ
3. กินเม็ดแมงลักแทนมื้อเย็น ใช้เม็ดแมงลัก 2 ช้อนโต๊ะใส่ในถ้วยน้ำแกงหรือน้ำเปล่าคนแล้วดื่มทันที ดื่มน้ำตามอีก 4-5 แก้ว
4. กินมังสะวิรัตมื้อเย็น การกินผักผลไม้ถือว่าเป็นอาหารไม่มีพิษ ร่างกายจะได้พักไม่ต้องทำลายพิษของอาหารเนื้อสัตว์ พิษที่สะสมไว้ก่อนก็จะถูกตับ ไต กำจัดหมดไปเองได้ ร่างกายมีเวลาถึง 18 ช.ม. กำจัดพิษที่ติดมากับมื้อเช้า มื้อเที่ยงได้ทัน ฉะนั้นการไม่กินอาหารเย็นจึงเป็นเวลาที่ตับ ไต จะสามารถกำจัดสารพิษจากอาหารมื้อเช้าและเที่ยงได้หมด ร่างกายจึงบริสุทธิ์ทุกวัน
คุณหมอท่านนี้ กินวันละมื้อ ปัจจุบันอายุ 56 แต่หน้าเหมือน 36 เขาทำได้อย่างไร
ทานมื้อเดียวได้ประโยชน์อะไร เทคนิค กินยังไงให้อายุ ลดลง
Being Hungry Makes You Healthy
หนังสือ “ยิ่งหิวยิ่งสุขภาพดี” เขียนโดย นายแพทย์โยะชิโนะริ นะงุโม (Yoshinori Nagumo)
ในบทนำมีการเกริ่นว่า ผู้เขียนเริ่มทานอาหารเหลือวันละมื้อ เมื่ออายุ 45 ปี เพราะปัญหาเรื่องสุขภาพ
ผ่านไปสิบปี เมื่อเขาไปตรวจร่างกาย พบว่า อายุหลอดเลือดของเขา เท่ากับคนอายุ 26 ปี
เขาเล่าว่า มนุษย์ในอดีต ไม่ได้มีกินอุดมสมบูรณ์ โดยกินสามมื้อเหมือนปัจจุบันนี้
ในอดีตเรากินวันละมื้อก็บุญแล้ว ดังนั้นร่างกายเราจึงมีภูมิคุ้มกันในตัวเอง
เมื่อเราหิว ไม่มีกิน เราจะมียีนที่ชื่อ เซอร์ทูอินออกมาซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอต่างๆ ภายในร่างกาย
ในขณะเดียวกันร่างกายก็จะผลิต Growth Hormone ออกมา
ซึ่งเจ้า Growth Hormone นี้ทำให้เรากลับเป็นหนุ่มสาวมากขึ้น ซึ่งเป็นกระบวนการเพื่อการอยู่รอด
ปัญหาก็คือเมื่อร่างกายอิ่ม กลไกนี้ไม่เกิด เราจึงแก่ไปเรื่อยๆ สรุปง่ายๆ ก็คือ การกินมากไปคือสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคภัยต่างๆ
และที่สำคัญ ร่างกายเราไม่ได้ถูกออกแบบให้กินอิ่ม เราจึงปรับตัวให้การกินอิ่มได้ไม่ดี
ทำให้กระบวนการธรรมชาติของร่างกายเรารวนนั่นเอง
ในเรื่องการกินวันละมื้อ ผู้เขียนได้แนะนำสิ่งที่เขาทำมาแล้วได้ผล เขาบอกว่า เขาเพลิดเพลินกับการที่ได้ยินเสียงท้องร้องจ๊อกๆ
เพราะว่า เขารู้ว่าร่างกายเรากำลังซ่อมแซม และปรับตัวให้เยาว์วัย ด้วยกระบวนการที่กล่าวถึงข้างต้น
ในเชิงหลักการทางวิทยาศาสตร์ เขาอธิบายดังนี้
(1) ปากทางเข้าลำไส้เล็ก จะมีเซ็นเซอร์เตรียมรอรับของกินอยู่ ถ้าไม่มีอาหารไหลลงมาเสียที ลำไส้เล็กก็จะรีบหลั่งฮอร์โมนสำหรับย่อยอาหาร โมลิติน (Molitin) ออกมาทำให้กระเพาะอาหารบีบตัว เพื่อส่งของกินที่อาจจะตกค้างอยู่ในกระเพาะอาหารเข้าไปในลำไส้เล็กเรียกว่า “การบีบตัวเมื่อหิว” และเป็นตัวการที่แท้จริงของอาการท้องร้องจ๊อกๆ
(2) เมื่อกระเพาะรู้ตัวว่า หิวจะหลั่งฮอร์โมนเกรลิน (Ghrelin) ออกมาเกรลินจะถูกหลั่งออกมาจากเยื่อบุกระเพาะอาหารซึ่งถูกกระตุ้นเพราะความหิว โดยจะออกฤทธิ์ที่สมองส่วนไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) ทำให้เกิดความอยากอาหาร ขณะเดียวกันก็จะออกฤทธิ์ที่ต่อมใต้สมอง ทำให้หลั่ง Growth Hormone ออกมา เจ้า Growth Hormone นี้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ฮอร์โมนที่ทำให้กลับไปเป็นหนุ่มสาว” นั่นหมายความว่า ตอนที่ท้องกำลังร้องจ๊อกๆ เพราะหิว คุณจะค่อยๆ มีเสน่ห์ขึ้น จากฮอร์โมนที่ทำให้กลับเป็นหนุ่มสาว ถึงท้องจะร้อง ก็อย่าเพิ่งรีบกินอาหาร ให้มาลองเพลิดเพลินกับประสิทธิภาพของการกลับเป็นหนุ่มสาวที่ได้จาก Growth Hormone กันสักครู่หนึ่งก่อน
(3) ตอนที่ท้องกำลังร้องจ๊อกๆ นั้น ความสามารถในการอยู่รอดอันยอดเยี่ยมกำลังพลุ่งพล่านขึ้นมา นั่นก็คือ “ยีนเซอร์ทูอิน” ที่มีสมญาว่า “ยีนต่ออายุขัย” หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ยีนที่ทำให้อายุยืน” กำลังทำงาน จากการทดลองกับสัตว์หลายชนิดพบว่า เมื่อลดปริมาณอาหารลง 40% จะทำให้อายุยืนขึ้น 1.5 เท่า ทว่ายีนนี้จะมีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อ มีเงื่อนไขบางประการ นั่นคือ “ความหิว” ตราบใดที่ท้องไม่ร้องจ๊อกเพราะหิว ยีนนี้ก็จะไม่ทำงาน ดังนั้น การกินอาหารทั้งที่ยังไม่หิว จึงหมายถึง การมีของดีอยู่กับตัว แต่ไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์ มาทำให้ท้องร้องจ๊อก ด้วยการกินอาหารวันละมื้อดีกว่า แล้วยีนเซอร์ทูอินนี้จะช่วยสแกนยีนในร่างกายอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งค่อยๆ ฟื้นฟูส่วนที่เสียหาย กล่าวกันว่า ความแก่ชราและโรคมะเร็ง ก็มีสาเหตุมาจากความผิดปกติของยีน ดังนั้น เราสามารถทำให้กลับเป็นหนุ่มสาว และป้องกันโรคมะเร็งด้วยการกินอาหารวันละมื้อ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อหิวแล้วอาหารยังตกไม่ถึงท้อง ร่างกายจะนำไขมันที่สะสมไว้ในช่องท้อง มาเปลี่ยนเป็นสารอาหาร ทำให้หน้าท้องแบนราบ
นอกจากการกินวันละมื้อแล้ว ผู้เขียนมีข้อมูลใหม่เพิ่มเติมอีกว่า
การนอนที่ดีคือ นอนในช่วงร่างกายผลิต Growth Hormone ได้ดีที่สุด นั่นก็คือ ช่วงเวลาระหว่าง สี่ทุ่มถึงตีสอง หลังอ่านจบผมมีความเห็นส่วนตัวว่าสิ่งที่จะทำคือ
(1) รอให้ท้องร้องจ๊อกๆ บ่อยๆ เพื่อซ่อมแซมตัวเองและทำให้เยาว์วัยลง
(2) ทานน้อยลง 60% ของแต่ละมื้อ…….”
นอกจากที่คุณอดิศรเขียนแล้ว ผมไปค้นคว้าเพิ่มเติมและพบว่า
เมื่อตอนคุณหมอนะงุโมมีอายุ 37 ปี เขาหนัก 77 กิโลกรัม และเมื่ออายุ 57 ปี หนัก 62 กิโลกรัม ความดันโลหิตเท่ากับคนอายุ 26 ปีอายุมวลกระดูกเท่ากับคนอายุ 28 ปี และสมองมีอายุเท่ากับคนอายุ 38 ปี
จากที่ดูรูปในอินเทอร์เน็ตถึงแม้ขณะนี้คุณหมออายุ 59 ปี แต่หน้าตาเหมือนไม่ถึง 40 ปี ด้วยซ้ำ
คุณหมอพูดในโทรทัศน์ว่า แค่เริ่มต้นไม่กี่วัน ก็จะสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของสุขภาพแล้ว
กลิ่นตัวจะหายไป ผิวหนังจะเนียนขึ้น หน้าท้องจะเรียบขึ้น รูปลักษณ์ของคนผอมจะเริ่มปรากฏ และจิตใจคึกคักขึ้นกว่าเก่า
คุณหมอแนะนำให้ทำติดต่อกัน 52 วัน โดยกินอาหารวันละหนึ่งมื้อ คือมื้อกลางวัน ในมื้อนี้อยากกินอะไรก็ตามใจตัวเองได้
หากหิวมากก็อาจเสริมด้วยผลไม้และอาหารเบาๆ
---------------------------------------------------------------------------------------
รบกวนท่านที่มีความรู้ทางการแพทย์ หรือ ท่านที่มีความเห็น มาให้ข้อมูลเท็จจริง กันหน่อยครับผม