อาถรรพ์ 'ดาบเพชรฆาต'

เรื่องที่จะเล่าให้ฟังในวันนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ค่อนข้าง ‘เชื่อได้ยาก’ หากไม่ได้ประสบพบเจอกับเหตุการณ์นั้นๆด้วยตัวเอง หลายต่อหลายครั้งที่เรามักถามตัวเองว่า มันจริงหรือ ใช่หรือ เราบ้าไปเองหรือเปล่า
           บางครั้งเรื่องที่มันดูบังเอิญจนน่าประหลาดใจก็กลายเป็นว่ามันลงตัวเสียจนอยากจะพูดว่า ใครจัดฉาก
          เรื่องนี้เป็นเรื่องที่หลายๆคนอาจจะเคยได้ยินกันจนชินหู เรื่องของการ ‘สร้างบ้านทับที่’ เรื่องเล่าแนวๆนี้มีอยู่เยอะมากหากจะลองหาอ่านหรือหาฟังดูตามอินเตอร์เน็ต
          บางคนอาจจะคิดว่ามันเป็นเรื่อง ยอดฮิต แต่งได้ง่ายหรือใครๆก็เจอ แต่ถ้าเรามองอีกมุมหนึ่งนั่นอาจจะหมายความว่า พื้นดินแทบทุกที่มันมีเรื่องราวของมัน เพราะ ‘ทุกที่มีคนตาย’
          วันหนึ่งผมได้มีโอกาสรู้จักกับกลุ่มเพื่อนกลุ่มหนึ่งโดยบังเอิญจากการไปเที่ยวตามๆกันไปนั่นแหละครับ เราเจอกันในสถานที่ท่องเที่ยวนั้นที่พักก็ใกล้ๆกัน เลยทำให้ได้พูดคุยกันบ้างตามมารยาท
          ในตอนกลางคืนเรามีปาร์ตี้เล็กๆเหมือนที่ใครๆก็ทำกันเช่นเดียวกับบ้านพักหลังข้างๆ
          ที่ที่เราไปนั้นเราพักในบ้านพักที่ถูกสร้างให้อยู่ติดๆกันเป็นโซนๆ จากสายตาที่มองผ่านๆก็ค่อนข้างแน่ใจว่า เพื่อนบ้าน น่าจะมีอายุมากกว่าพวกผมพอสมควร คงจะราวๆ30ต้นๆเห็นจะได้
          หลังจากปาร์ตี้กันไปได้พักใหญ่เครื่องดื่มที่มีก็เริ่มจะไม่เพียงพอสำหรับการอยู่รอชมพระอาทิตย์ขึ้น ผมที่กำลังจะออกไปหาอะไรมาทำกับข้าวกินพอดีจึงอาสาออกไปหาซื้อพร้อมกับเพื่อนอีกคนหนึ่งที่จะหลบออกมาโทรศัพท์พอดี
          ด้วยความที่บ้านพักติดกันมากเราจึงจำเป็นต้องเดินผ่านวงสังสรรค์ของพี่บ้านข้างๆครู่หนึ่ง พวกเรายิ้มทักทายให้ตามมารยาทเพราะพวกพี่ๆเขาดูใจดีมากๆ
‘น้องจะไปไหนครับ ไปข้างนอกหรือ’ พี่คนหนึ่งในกลุ่มตะโกนมาถาม ตอนนั้นไม่รู้ว่าแค่แซวเล่นหรือเห็นเราเป็นเด็กๆกัน
‘ไปซื้อของมาเพิ่มหน่อยครับ เดี๋ยวร้านมันจะปิดเสียก่อน’ ผมเป็นคนตอบกลับไปเพราะเพื่อนคุยโทรศัพท์อยู่
‘น้องไปยังไง พี่ไปด้วยสิ เดี๋ยวเอารถพี่ไปๆ’
          ในตอนนั้นผมลังเลมากเพราะเราไม่ได้รู้จักกันมาก่อนแต่เขาก็ทักทายอย่างอัธยาศัยดีดูไม่น่ากลัว บวกกับเราปฏิเสธเขาไม่ทัน เผลอแปปเดียวก็ขับรถมาจอดรอที่ทางเดินข้างหน้าแล้ว
          ผมกับเพื่อนขึ้นไปบนรถครอบครัวคันใหญ่ที่สภาพใหม่เอี่ยมแต่ออกจะรกไปหน่อย พี่เขาชวนคุยไปตลอดทางโดยแนะนำตัวว่าชื่อ ‘พี่ทิว’
‘พี่เห็นพวกน้องแล้วนึกถึงเพื่อนๆสมัยเรียน นี่ก็ทำงานกันหมดแล้วรวมกันยาก’
          คงจริงอย่างเขาว่าเพราะพวกพี่เขามากันแค่ 5 คน จากการพูดคุยก็รู้ว่าพวกพี่เขามักจะนัดมาเที่ยวเจอกันทุกปี แล้วแต่สถานที่ที่อยากไป
          แต่ด้วยอายุและภาระทำให้รวมตัวกันได้น้อยลงทุกครั้ง แต่งงานบ้าง ติดงานบ้าง เหตุผลที่ใครๆก็คงยากจะปฏิเสธ
          เราออกไปซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อถัดออกไปหลายซอยเพราะร้านค้าในละแวกนั้นปิดหมดแล้ว
          ไม่นานเราก็กลับมาถึงที่บ้านพักผมกับเพื่อนไหว้ขอบคุณพี่เขาหลายครั้งเพราะได้ของมามากกว่าที่คาด แถมพี่เขายังซื้อเบียร์เพิ่มให้ออก บอกว่าอยากให้สนุกกันไว้ วัยเรียนมันผ่านไปไวยิ่งกว่าเงินเดินออก
          ผมที่มักจะมีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องอาหารในทุกๆงานจึงอยากจะขอบคุณพี่เขาสักหน่อยแบ่งอาหารที่ทำกินกันอย่างง่ายๆใส่จานยกไปให้พวกพี่ทิวที่ตอนนี้ยังนั่งสนุกกันไม่เลิก
          ผมไปยืนเกาะรั้วเรียกพี่เขาแล้วส่งจานให้ พี่เขารับไปอยากดีใจแต่ดูแล้วคงเริ่มได้ที่ไม่เบา พอผมกลับมากินกับเพื่อนๆต่อได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงเรียก
‘เฮ้ย น้องๆ น้องงงง’
          เสียงเรียกของพี่ผู้ชายอีกคนมาเกาะรั้วตะโกนเรียกด้วยใบหน้าที่มึนได้ที่ และข้างหลังพี่คนนั้นก็มีเพื่อนๆอีก4คนรวมพี่ทิวอยู่ในนั้นด้วย ทุกคนมีข้าวของเต็มมือพร้อมจะ ย้ายถิ่นฐาน
‘พวกพี่ขอร่วมวงด้วยสิ คนน้อยไม่สนุก’
          ท้ายที่สุดพวกเราก็มานั่งกินรวมกันกลายเป็นวงใหญ่ งานดูสนุกมากขึ้นเพราะพวกพี่เขาเป็นเด็กสถาปัตถ์ทั้งหมด มีเรื่องเล่าเยอะแยะ แถมแนวการใช้ชีวิตยังหลุดโลกไม่เบา
          หลังจากเวลาผ่านไปค่อนคืนด้วยความสนุกที่มากเกินไปแผนที่วางไว้ว่าจะดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกันจึงล่มไม่เป็นท่า แต่ละคนเมาหลับหมดสภาพไปอย่างเละเทะ
          ผมที่ไม่ได้กินบ่อยนักก็ได้แต่ดื่มพอประมาณด้วยการอ้างว่าจะทำกับข้าว แต่มันก็มากพอที่จะทำให้หนักหัวเหลือเกิน ผมเดินไปนอนลงบนเตียงในห้องพักโดยปล่อยให้คนอื่นๆนั่งหลับนอนหลับคาวงไปทั้งอย่างนั้น
          เพื่อนอีกคนที่นอนอยู่ก่อนนั้นเงยหน้ามามองผมเพราะรู้สึกถึงแรงทิ้งตัวลงบนเตียงจากผม น่าจะเป็นอย่างนั้นผมคิดเอา
‘เออมา ดีๆ นอนกันหลายๆคน อบอุ่นๆ’
          หลายคน? ผมมีสติให้ทบทวนคำพูดของเพื่อนนิดหนึ่งก่อนจะหลับไปด้วยเวลาอันรวดเร็ว สงสัยมันจะเมามากจนตาลาย ผมคิดอย่างนั้น
          ผมหลับไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่คงจะไม่นานมากเพราะฟ้ายังมืดอยู่ ผมสะดุ้งตื่นอย่างตกใจเพราะรู้สึกถึงสัมผัสอันเย็นเยียบที่ไล้ไปตามเท้า
          ผมรีบหันซ้ายหันขวามองไปรอบๆห้อง แต่ด้วยฤทธิ์แอลกอฮอลจึงทำให้การมองไปมาอย่างรวดเร็วทำให้ปวดหัว แต่หางตาก็ยังเห็นได้ชัดว่า ‘มีใครเพิ่งเดินออกจากห้องไป’
          ในตอนแรกผมไม่คิดจะตามไปเพราะคิดได้ว่าคงเป็นเพื่อน แต่สัมผัสที่รู้สึกได้ตรงเท้ามันแปลก ความเย็นนั้นยังอยู่ ยังรู้สึกได้
          ผมเดินออกมาที่หน้าบ้าน สภาพนั้นยังเหมือนเดิมทุกคนนั่งนอนหมดสภาพ ผมพยายามมองหาเงาของคนที่ผมเพิ่งจะเห็นไป
‘อ้าว ตื่นแล้วหรือ ต่อไหม เหลืออีกเยอะเลย’
          พี่ทิว ส่งเสียงทักจากด้านหลัง ผมสะดุ้งเพราะไม่ทันตั้งตัว ผมไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับพี่เขา ก็เลยได้แต่ตามน้ำไปว่าออกมาเดินเล่น พี่ทิวเลยเปิดเบียร์ให้ขวดหนึ่งนั่งกินกัน
          ผมยังไม่อยากกินเพราะยังคาใจไม่หาย พร้อมๆกับที่พี่ทิวพยายามมองไปรอบๆอย่างลนลานจนผมสังเกตได้
‘มีอะไรรึเปล่าพี่’
‘พี่หาไอ้เอ็กไม่เจอ’
          พี่ทิวพยายามมองหาเพื่อนอีกคนหนึ่งที่หายไปไหนไม่รู้ ผมบอกให้พี่แกไปหาในบ้านฝั่งพวกพี่เขาดูส่วนผมเดินเข้าไปหาในบ้านตามห้องนอนและห้องน้ำ
          ระหว่างที่หาอยู่นั้นหูผมก็แว่วได้ยินเสียงที่เคยคุ้นหู เสียงที่ไม่อยากจะได้ยินอีกในชีวิตนี้ เสียงสูงต่ำแว่วหวานแต่เย็นเยียบลอยมาตามลม เสียงนั้นแผ่วเบาหากไม่เงี่ยหูฟังอาจจะไม่ได้ยิน
          ผมเริ่มกังวลกับเสียงที่ได้ยินบวกกับพี่เอ็กที่ไม่รู้ไปอยู่ไหน ผมวิ่งไปเรียกพี่ทิวให้ออกมาจากบ้าน ทั้งที่ตอนนั้นก็ยังคิดไม่ออกเลยว่าจะบอกอะไรกับพี่เขา
          แปลก พอพี่ทิววิ่งออกมาก็หันขวับไปทางหน้าบ้านพักที่มีศาลพระภูมิอยู่ ตรงนั้นเป็นบ้านหลายๆหลังติดกันเหมือนจะให้เป็นบ้านเดียวกันหมดเลยจัดศาลไว้เพียงอันเดียวเท่านั้น
‘ตามพี่มา’
          พี่ทิวออกวิ่งไปโดยไม่รอผมและไม่ได้บอกอะไร ผมตามไปติดๆพร้อมกับจ้องไปยังเงาของผู้ชายคนหนึ่งที่เหมือนจะเดินนำหน้าพวกเราอยู่
          ท่าทางการเดินอันสบายๆนั้นผิดกับพวกเราที่วิ่งสุดกำลังแต่ไม่มีทีท่าว่าจะตามทันแม้แต่น้อย ร่างผอมแห่งไม่ใส่เสื้อมีแค่กางเกงโบราณเก่าๆตัวหนึ่ง หลังที่ค่อมนั้นน่าจะบอกอายุได้ ในมือมีไม้เท้าช่วยพยุงหากแต่ไม่มีส่วนศีรษะให้เรามองว่าเขาหน้าตาเป็นอย่างไร
          เราตามมาจนถึงชายทะเลที่ถัดไปจากบ้านพักพอสมควร ผมเริ่มหอบแล้วแต่พี่ทิวยังดูไม่เหนื่อยเลย เงาของชายชราหายไปเหลือแต่ความว่างเปล่ายามค่ำคืนเท่านั้น
          เสียงลมพัดกระทบฝั่งฟังดูน่ากลัวทั้งที่ในตอนกลางวันนมันยังน่าฟังและรู้สึกผ่อนคลาย ผมได้ยินเสียงนั้นอีกครั้งคราวนี้มันชัดกว่ามาก
          ผมบอกให้พี่ทิววิ่งไปตำแหน่งที่ผมได้ยิน แล้วก็จริง พี่เอ็กนอนลอยคออยู่บนน้ำแม้ว่าจะไม่ลึกมากแต่คลื่นก็ค่อยๆซัดพี่เขาออกไปไกลเรื่อยๆ
          พวกเราลากพี่เอ็กกลับมาที่ชายหาดพยายามปั๊มหัวใจคิดว่าพี่เขาจมน้ำ แต่ท่าทางของแกดูสบายดีแต่ปลุกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตื่น ด้วยความเคยตัวจึงเผลอ ปลุก พี่เขาเหมือนที่เคยทำกับพวกที่โดนผีเข้า
          พี่เอ็กตื่นแทบจะในทันที พี่ทิวดูประหลาดใจ แต่ก็ยังไม่ได้พูดอะไรเพราะรถพยาบาลมาพอดี ผมกลับมารอที่บ้านก่อนมีแค่พี่ทิวที่ขับรถตามไป
          พวกพี่เขากลับมาในตอนเช้าพอดีด้วยคำวินิจฉัยจากหมอว่า ‘เมา’ พี่เอ็กกลับเขาไปนอนต่ออย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไร เหลือพี่ทิวที่เดินเข้ามาหาผมที่นั่งกินข้าวอยู่หน้าบ้านพัก
          พี่ทิวเริ่มต้นประโยคอย่างตรงไปตรงมา ‘พี่เห็นผี’ ผมตกใจนิดหน่อยแต่ก็เงียบฟังต่อ ‘น้องก็เห็นใข่ไหม’
          มาถึงขนาดนี้ก็คงต้องเล่าให้ฟัง ผมไม่ได้บอกอะไรมากแค่บอกว่าเห็น เห็นมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว พี่ทิวถอนหายใจเหมือนได้เจอเพื่อน พี่เขาก็เล่าเรื่องราวที่บ้านให้ผมฟัง
‘บ้านพี่สร้างทับที่ไม่ดีเข้า มีเรื่องราวเยอะแยะเลยเชียวล่ะ’
‘สร้างทับอะไรหรอพี่ ป่าช้า?’
‘เปล่า ตะแลงแกง น่ะ’
          ผมฟังเรื่องราวโดยทั่วไปอย่างคร่าวๆ พี่ทิวเป็นคนอัธยาศัยดีมากจนทำให้เราสนิทกันไปโดยไม่รู้ตัว ผมจึงเผลอทำตัวตามสบายเหมือนเวลาที่อยู่กับเพื่อน
‘ดีนะพี่มีของกัน ไม่อย่างนั้นอยู่กันไม่ได้’
          พี่ทิวหันมามองหน้าผมอย่างตกใจ ผมที่ยังไม่รู้ตัวว่าเผลอหลุดปากอะไรออกไปก็มองพี่เขากลับอย่างสงสัย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่