บทที่ 9
เอื้องคำคือ…Mistake…คือความผิดพลาด!
นั่นคือสิ่งที่เขาบอกเพื่อนๆ
ไม่ได้บอกชื่อหรอกหรือว่าใคร อะไร อย่างไร
ไม่ได้บอกด้วยซ้ำว่าเอื้องคำทำงานที่ร้านนิมมาน
แค่บอกว่าเขาได้ทำสิ่งที่ไม่น่าให้อภัยภายใต้ความเมาที่แทบไม่ได้สติ ทั้งเมาเหล้า และเมาใจเพราะความคิดถึงมัทนา
เหตุการณ์คืนนั้นมันลางเลือนหน้าของเอื้องคำเขาก็ยังจำไม่ได้ แม้แต่เสียงของเธอ เขาก็จำไม่ได้เช่นกัน และพยายามที่จะไม่จำไม่คิด ไม่นึกถึงเหตุการณ์นั้นมาเป็นแรมเดือน
ทว่ารสสุขสมจากความผิดพลาดที่เกิดเพราะความมัวเมามันเป็นความแปลก แปลกตั้งแต่แรกเริ่ม เพราะเขาไม่เคยคิดสนใจเอื้องคำ
แปลกเมื่อความอิ่มเอมระอุไปทั่วร่างกายและหัวใจ
แปลกเมื่อ…พอรู้ตัวเขาถอยห่าง ลุกเดิน…คิด
ทว่ามันแปลก…เพราะในที่สุดเขาก็เลือกที่จะกลับไปนอนบนพื้นแข็ง แล้วรวบร่างหอมละมุนไว้ในอ้อมแขนจนรุ่งสางเมื่อสติสัมปชัญญะกลับมาเขาจึงรีบลุกหนีสิ่งที่เกิดขึ้นและความรับผิดชอบทั้งหมด
It was a mistake. One night stand.
เท่านั้น…ตุลย์เตือนตัวเองเสมอ
…ลืมๆไปเสีย
ไม่ต้องไปเจอไม่ต้องอะไร เดี๋ยวก็ผ่านไปเอง นอกจากว่าเธอไม่ยอมให้ผ่าน ถ้าเป็นเช่นนั้น เตชน์ณัฐมน หรือธัญญา ก็ต้องมาเอาเรื่องกับเขา ทว่าทุกอย่างเงียบและตุลย์ก็ปล่อยให้มันเงียบนานนับเดือน พยายามไม่คิด พยายามลืม จนในที่สุด เขายังคงคิดยังลืมไม่ได้ เพราะความรู้สึกผิดที่เกาะแน่นในหัวใจ และแล้วเขาจึงตัดสินใจกลับมา
อย่างน้อยก็กลับมาดูว่าเธอคิดอย่างไร
ถ้าไม่มีอะไรก็แล้วกันไปจะได้เลิกรู้สึกผิด แล้วจบๆ กันเสียที
โตๆกันแล้วและเอื้องคำก็เคยผ่านการแต่งงาน มีลูกตั้งสามคน ดังนั้นเรื่องความสัมพันธ์แค่คืนเดียวมันก็น่าจะแค่นั้น…ผ่านมาก็ควรผ่านๆ ไป
แต่ถ้า…เธออยากสานต่อ
ลองคุยลองให้โอกาสก็ไม่เสียหาย
“ไม่โทรฯตามคุณคิม” หญิงสาวมองเขาอย่างงุนงง เมื่อกินข้าวเสร็จ ก็ปรกติคิมหันต์นั้นแทบจะมาอุ้มองค์ชายน้อยขึ้นรถ
“ให้กลับไปแล้วแถวนี้เรียกรถไม่ยากนี่” ทุกคำพูดปรกตินัก “มอไซค์ก็ได้ ตุ๊กๆ ก็ได้ ตุ๊กๆ ดีกว่า”
ใช่…มอเตอร์ไซค์รับจ้างมีตลอดแต่ตุ๊กๆ ไปทีเดียวพร้อมกัน นั่งเคียงคู่กัน กุมมือกันตลอดทางเหมือนเช่นเคย
เพียงแต่ว่าพี่ผู้หญิงคนขับรถตุ๊กๆคันนี้ดุ…มาก
แม้แต่เสน่ห์ใสแต่ไม่ซื่อของตุลย์ยังเอาไม่อยู่ ทำเอาองค์ชายน้อย…หงอ
หากมือของเขาประสานกุมแน่นกับเธอใบหน้าที่หันมามีรอยยิ้มสนุก กึ่งราวเด็กโดนครูใจร้ายทำโทษ
บอกที่ไม่ตรง
ไกลไป ใกล้ไป
แล้วอีกหลายเรื่องที่พี่ช่อทิพย์บ่น
ตุลย์ได้แต่…ครับๆๆๆตาปริบๆ
ทำให้เอื้องคำได้แต่หัวเราะเพราะองค์ชายน้อยโดนของแรง ทว่ามือของเขายังกุมมือเธอไว้แน่น บางคราวยกขึ้นมาประทับจูบเบาๆบนหลังมือ รอยยิ้มคงประกายวาววับ สนุก…สุขนัก
“ไม่ให้คุณช่อทิพย์ไปส่งล่ะ”หญิงสาวกระซิบริมฝีปากแตะแก้มเขา
“ไม่อ่ะ…กลัว”เขาลงรถตามหลังเธอเมื่อมาถึงตึกที่พัก แล้วชำระเงินค่าโดยสาร
“นี่จะกลับยังไง”
“โอย…กลับอยู่แล้วไม่ขึ้นไปหรอก” คำบอกรู้ทัน หางเสียงพลันทอดต่ำ อาทรนัก “เรากลับเองได้เอื้องเหนื่อยมาทั้งวัน เราไม่อยากกวน” เขานั่งลงยังม้าหินอ่อน ใกล้โถงลิฟต์ทางขึ้นทำให้เธอต้องทิ้งตัวนั่งข้างๆ “แค่อยากอยู่ด้วยกันอย่างนี้ให้นานที่สุด”อุ้งมือกุมมืออีกฝ่าย รับรู้ถึงสัมผัสตอบรับอย่างละมุมละไม “คิดยังไง”
“คิดอะไร”
“ก็เรื่องของเรา”
“จะให้คิดยังไงพี่ต้องบอกเอื้องมากกว่า ว่าพี่คิดยังไง”
“ก็ที่ผ่านมาแล้ววันนี้ เอื้อง..” คำเรียกชื่ออ่อนหวานนัก “เราคิดว่า บางอย่างมันก็น่าที่จะลองดูแต่เราก็คงไม่กล้าลอง ถ้าเอื้องมีพันธะอะไร กับใครเราไม่อยากทำลายความสัมพันธ์คนอื่น ไม่อยากเป็นมือที่สาม”
“เอื้องก็ไม่มีใครกับพ่อของลูก เอื้องก็เลิกกับเขามาเกือบสองปี ทุกวันนี้คุยกันเพราะลูกลูกอยู่กับพ่อแม่เขา”
“แล้วคนอื่น”
“ไม่มีคนอื่น”เอื้องคำรับรู้ว่ามือของเขาบีบแน่นขึ้น
“ไอ้หนุ่มที่บาร์นั่น…”
“ไม่มีอะไร”หญิงสาวขึ้นเสียงสูง ส่งยิ้ม วางอีกมือทาบบนมือเขา
อยากสารภาพนักว่าสมหวังก็แค่ความสุขทางกายในเวลาที่ตุลย์ห่างหายแต่ตอนนี้…ตุลย์อยู่ตรงนี้ กุมมือเธอไว้อย่างนี้
“แต่เขามีและเขาก็คงพูดอะไรทำให้เอื้องรับฟัง และเชื่อ” เสียงหนัก แววตาจริงจัง เอาเรื่อง“เรื่องคืนนั้นเขาว่าอย่างไร บอกอะไรกับเอื้อง ว่าเราไล่เอื้องกับเขาลงจากรถว่าเราโมโหร้าย เป็นคุณหนูเอาแต่ใจ”
“จะยังไง ก็อย่างที่เล่า”หญิงสาวพยายามยืนยัน หลังจากคว้าบุหรี่มาสูบ มือสั่นเล็กน้อย “เขาไม่ได้บอกอะไรไม่ได้ว่าอะไร”
“ไม่ใช่ เขาต้องโกหกต้องกล่าวหาอะไรเรา เพราะเอื้องเปลี่ยนไป เปลี่ยนตลอดเวลา” ตุลย์จับความรู้สึกได้“เรารู้หรอก ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้ แต่รู้ เอาเถอะ ไม่ว่าเขาจะบอกยังไงแต่เราขอบอกในส่วนที่เป็นความจริงจากเรา และหวังว่าเองจะรับฟังและเชื่อเหมือนที่เอื้องเชื่อเขา”
“ก็รู้อยู่แล้ว”
“ไม่…เอื้องรู้จากเขาซึ่งมันไม่ใช่ความจริง”เสียงหนักคัดค้าน ไม่ยอมง่ายๆ “เราไม่เคยไล่ใครลงจากรถ ไม่ว่าจะโกรธ จะโมโหจะเกลียดแค่ไหน แต่คืนนั้น เราทนไม่ได้ คนของเอื้องกระสันอยากลงเองสั่งให้จอดรถแทบจะทุกลมหายใจ ไม่ยอมให้เราไปส่งเอื้องถึงตึก อีกทั้งยังโวยวาย ก้าวร้าวและหยาบคาย หยาบคายกับเรา เราไม่ว่า แต่กับคนอื่น กับคุณคิมหันต์ เรารับไม่ได้ เราไม่ชอบเขา เราเกลียด”
“เอื้องก็ไม่รู้”
“ไม่รู้ก็ดีแต่เราเล่ามาขนาดนี้ก็รู้ไว้เถอะว่าเขาเป็นคนยังไง”
“คืนนั้นรู้สึกตัวอีกทีเดินมาตั้งเกือบกิโล”
“ก็มันอยากเดินเองเราจะไปส่งก็หวงก้างนัก หยาบคาย กันท่าตลอดเวลา” เสียงเฉียบ นัยน์ตาคมวาววับเอาเรื่อง เอาจริง ทำให้อีกฝ่ายเงียบ “ก็ให้เดินสมใจ เอื้องเองก็เต็มใจไปกับมัน”
“ตอนนั้นไม่รู้เรื่องเลยรู้อีกทีเดินมาเกือบถึงปากซอย”
“ไม่รู้แต่ก็ไปกับมัน” ทุกถ้อยคำหนักด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จนอีกฝ่ายเสหัวเราะบีบมือของเขา ดึงมาวางไว้บนต้นขาของเธออย่างเอาใจ
“ถ้ารู้ตัวก็ไม่ไปหรอก”
“เราไม่ชอบคนอยู่สามประเภท”ดวงหน้าจริงจังนัก ยังไม่คลายอารมณ์ขุ่นเคือง “คนโกง คนที่ชอบโกหก และคนกร่างก้าวร้าวก้าวร้าวกับเราว่าหนักแล้ว แต่ก้าวร้าวกับคนที่ทำงานให้เรา เรายิ่งไม่ชอบใหญ่นี่ทั้งก้าวร้าว กร่าง เยาะเย้ย และหยาบคาย แถมจะให้ทำผิดกฎจราจรอีก คุณคิมหันต์เขาทำตามหน้าที่เด็กของเอื้องไม่ควรที่จะหยาบคายเช่นนั้น เด็กของเอื้องหยาบคาย ก้าวร้าวมาตลอดทางเราถึงหมดความอดทน ตอนนี้ขึ้นอยู่ว่าเอื้องจะเชื่อเขา หรือว่าเชื่อเรา”
“ทำไมต้องเชื่อใคร”
“หรือว่าปักใจเชื่อเขาไปแล้ว”อีกครั้งที่ราวว่าอ่านใจเธอออก “เราไม่ชอบมีเรื่อง เพราะถ้ามีมันก็จะแรง และเราไม่เคยร้ายกับใครก่อนไม่เคยบังคับฝืนใจใคร เรื่องส่วนตัว เรื่องงานเราแยกแยะได้ ขอแต่อย่าโกหกกัน”
“ไม่ได้ชอบเขาก็จะมาขู่เข็ญให้ไปชอบ”เอื้องคำบีบมือเขาอีกครั้ง “ว่าเค้าคิดมาก ตัวเองคิดมากยิ่งกว่า”
“ต้องคิด” ดวงตาคมสีอำพันเข้มเป็นประกายจริงจังริมฝีปากเม้มสนิท “เพราะมันสำคัญกับเรา ตอนนี้เรามีหลายเรื่องที่ต้องคิดเราไม่อยากคิดมากเรื่องเอื้อง”
“ค่ะ”อีกครั้งที่เธอรับคำสั้นๆ ดับบุหรี่ที่คืบในอีกมือ
“อยากนั่งด้วยกันอย่างนี้นานๆอยากจับมือแบบนี้” ทุกอย่างในน้ำเสียงอ่อนหวาน หากหางเสียงเคร่งขรึมเล็กน้อย “เราไม่มีเวลามาปวดหัวกับเรื่องไม่เป็นเรื่องถ้าเอื้องชอบกับไอ้หมอนั่น คบกันอยู่ก็บอก เราไม่ทำให้ลำบากใจหรอก”
“ตัวเองพูดแบบนี้ยิ่งทำให้เค้าลำบากใจ”
“ถ้าไม่มีอะไรก็ไม่ต้องลำบากใจ”
“ก็ไม่มีไม่ได้รักได้ชอบเขานี่”
“งั้นก็จบ” การตัดบทง่ายหากมือยังกุมแน่น และแน่นขึ้น เมื่ออีกฝ่ายหันมาหอมแก้วขวาของเขาฟอดใหญ่
“ไม่หาเรื่องเค้าแล้วนะ”หญิงสาวยิ้มตาหยี รับรู้ถึงมือที่แตะศีรษะเธออย่างอ่อนโยน
“ก็อย่าทำเรื่องให้เราหาได้สิ”คำตอบแสนง่าย
“บางคนก็หาเรื่องไปได้ทั่วจนชาวบ้านเขากลัวไปหมด” เอื้องคำลอบยิ้ม เมื่อแขนของเขาลดมาโอบเอวเธอรั้งเข้ามาชิด
หญิงสาวรับรู้ว่าร่างของเขาลดลงต่ำพอที่จะวางศีรษะบนไหล่เธอ
“หาเรื่องที่จะอยู่ใกล้ๆเอื้องมากกว่า” เสียงนั่นยังทอดออดอ้อนได้อีก “ไม่ชอบให้คนอื่นใกล้เอื้องเลย”
“จะขึ้นไปข้างบนไหม”หญิงสาวถาม แววตาฉ่ำมองเขา พยายามบังคับหัวใจไม่ให้สั่น รับรู้ถึงความร้อนในทุกส่วนของร่างกายที่เขาสัมผัส
หากคนที่พะหงกหัวขึ้นมองเธอด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า กลับปฎิเสธ “ไม่…เอาไว้วันหลังดีกว่า เกรงใจนี่ตี่สี่แล้ว เอื้องไปพักผ่อนเถอะ”
ตุลย์ลุกขึ้นพยายามสะกดแรงปรารถนายืดมือให้อีกฝ่ายเพื่อยึดตัวเธอขึ้นมา โอบเอวเดินไปที่โถงลิฟต์รับรู้แขนเธอที่รัดเอวเขาเช่นกัน
“กลับยังไง” หญิงสาวเป็นห่วง
“ก็เรียกคุณคิมหันต์”คำตอบของเขาง่าย ไม่ต่างจากการบอก “เราเข้าใจกันแล้วนะ และเราจะยอมเชื่อเอื้องเอื้องก็ต้องเชื่อเรา เราจะพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเพื่อเราสองคน อดทนนะเอื้อง”
“ค่ะ” เธอรับคำ
“พรุ่งนี้เราอาจไม่ได้แวะไปที่เทวนิรมิตเดี๋ยวยังไงวันจันทร์ว่ากันอีกที”
“ไปไหนเหรอ”
“มีกินข้าวกับเพื่อนไงเลี้ยงวันเกิดกันไม่จบไม่สิ้น” เสียงหัวเราะสดใส ไม่ต่างจากแววตาที่มองเธอ
“ค่ะ”
เอื้องคำรับเพียงเท่านั้นหาก…คิด
เพื่อนของเขาเยอะแยะต่างจากเธอนัก
ฐานะและการศึกษาของเขาก็แตกต่างจากเธอการใช้ชีวิตก็ต่างกัน
ความคิดความอ่านก็ห่างกันลิบลับ
คุณสมบัติอย่างองค์ชายน้อยสามารถเลือกผู้หญิงคนไหนก็ได้ที่เหมาะสมคู่ควรไม่ใช่แม่หม้ายลูกสามจนๆ มีแต่หนี้สิน ที่เป็นเพียงพนักงานเสิร์ฟต่ำต้อย
‘เราอยากได้อะไรก็ต้องได้’
นั่นสิถ้าเขาอยากได้มัทนา หรือใครคนอื่นเขาก็เลือกที่จะคว้ามาได้
“มันใช่หรือ”หญิงสาวรำพึงในใจ “มันจะเป็นไปได้เหรอ”
นั่นคือสิ่งที่เธอคิด…คิดเมื่อตอนเข้ามาอยู่ในห้องพักอันมืดสนิทเพียงลำพัง
คิดแทบตลอดทั้งคืนทั้งวัน
คิด…และคิดตลอดเวลาในทุกวัน
“อิสสโรเทวราชหลงผู้หญิงคนนั้นมาก”
เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องออกจากปากของคิมหันต์เพราะอรดีรู้…เห็นโดยไม่ต้องมอง ได้ยินโดยไม่ต้องฟัง รับรู้ได้ ถึงแม้ไม่อยากรู้
“คงอีกไม่นานที่เขาจะเข้าใจอีกครั้งว่าความสุขที่ได้จากตัณหา และความลุ่มหลง มีค่าเท่ากับความทุกข์ตอนนี้เป็นเวลาของการชดใช้กรรมที่ผูกแน่น กรรมที่ทั้งคู่ต้องต้องชดใช้ให้แก่กันช่วงนี้ดวงของอิสสโรไม่ใคร่ดี ทั้งพื้นดวง อีกทั้งวัฏจักรของดวงดาว และที่สำคัญ…จักรเทวราช”เรื่องหลัง…นี่สำคัญนัก
บารมีของอิสสโรเทวราชมักจะอยู่เหนือดวงไม่ว่ากี่ภพกี่ชาติและควรอยู่เหนือดวง เพียงแต่…ไม่อาจอยู่เหนือจักรเทวราช
ผู้ซึ่งไม่ยอม…ปล่อย
หากเป็นแบบนี้สักวัน อิสสโรต้องตกลงรับปาก ถ้าเป็นเช่นนั้น หนทางของ…กรรมจะซัดเขาไปจากเธอตลอดกาลนาน
อรดียอมไม่ได้!
“ฤๅท่านจะฝืนดวงชะตา”เสียงกังวานก้องได้ยินเพียงเธอคนเดียว “วาจาที่อิสสโรเคยลั่นไว้ เขาต้องทำตามวาจาที่ให้ไม่ว่าหนทางชีวิตในร่างมนุษย์จะดำเนินอย่างไร ไม่ว่าชาติหรือหรือชาติไหน พวกท่านจะต้องพรากจากกันตลอดนิรันดร์กาล”
“ไม่!”
“แค่จะจำท่านเขาก็ไม่อยากจำ แค่ให้เข้าใกล้ เขาก็ไม่อยากใกล้ เขาลืมไปเสียแล้วว่าท่านเคยรักเขาปานไหนแต่เขาไม่เคยลืมว่า…หลง นางอัปสรตนนั้นขนาดไหน”
“วลุมลุลิกา”อรดีแค้นใจนัก รู้ว่าอีกฝ่ายรับรู้ความนึกคิดของเธอทั้งหมด
“แม้แต่โสเภณีสวรรค์ยังมีค่าทางใจทางจิต ทางกาย กับอิสสโรมากกว่าท่าน” เสียงเย้ยหยันไม่ต่างจากการหัวเราะในลำคอ “หลงโสเภณีสวรรค์มากกว่าเกระนันทาบุตรีของสหัสนัย์หรือแม้แต่ท่าน…” อีกครั้งที่เสียงในความมืดของจักรเทวราชบาดลึกเข้าไปในความรู้สึกอีกฝ่าย
“ถึงจะเป็นเช่นนั้นแต่อิสสโรก็มีค่าทางใจสำหรับเรา” อรดีตวาดลั่น นัยน์วาววับตาแดงจัดด้วยความรู้สึก“มิใช่ท่าน!”
(ต่อ)
เปลวพิศวาส (บทที่ 9) โดย มานัส
เอื้องคำคือ…Mistake…คือความผิดพลาด!
นั่นคือสิ่งที่เขาบอกเพื่อนๆ
ไม่ได้บอกชื่อหรอกหรือว่าใคร อะไร อย่างไร
ไม่ได้บอกด้วยซ้ำว่าเอื้องคำทำงานที่ร้านนิมมาน
แค่บอกว่าเขาได้ทำสิ่งที่ไม่น่าให้อภัยภายใต้ความเมาที่แทบไม่ได้สติ ทั้งเมาเหล้า และเมาใจเพราะความคิดถึงมัทนา
เหตุการณ์คืนนั้นมันลางเลือนหน้าของเอื้องคำเขาก็ยังจำไม่ได้ แม้แต่เสียงของเธอ เขาก็จำไม่ได้เช่นกัน และพยายามที่จะไม่จำไม่คิด ไม่นึกถึงเหตุการณ์นั้นมาเป็นแรมเดือน
ทว่ารสสุขสมจากความผิดพลาดที่เกิดเพราะความมัวเมามันเป็นความแปลก แปลกตั้งแต่แรกเริ่ม เพราะเขาไม่เคยคิดสนใจเอื้องคำ
แปลกเมื่อความอิ่มเอมระอุไปทั่วร่างกายและหัวใจ
แปลกเมื่อ…พอรู้ตัวเขาถอยห่าง ลุกเดิน…คิด
ทว่ามันแปลก…เพราะในที่สุดเขาก็เลือกที่จะกลับไปนอนบนพื้นแข็ง แล้วรวบร่างหอมละมุนไว้ในอ้อมแขนจนรุ่งสางเมื่อสติสัมปชัญญะกลับมาเขาจึงรีบลุกหนีสิ่งที่เกิดขึ้นและความรับผิดชอบทั้งหมด
It was a mistake. One night stand.
เท่านั้น…ตุลย์เตือนตัวเองเสมอ
…ลืมๆไปเสีย
ไม่ต้องไปเจอไม่ต้องอะไร เดี๋ยวก็ผ่านไปเอง นอกจากว่าเธอไม่ยอมให้ผ่าน ถ้าเป็นเช่นนั้น เตชน์ณัฐมน หรือธัญญา ก็ต้องมาเอาเรื่องกับเขา ทว่าทุกอย่างเงียบและตุลย์ก็ปล่อยให้มันเงียบนานนับเดือน พยายามไม่คิด พยายามลืม จนในที่สุด เขายังคงคิดยังลืมไม่ได้ เพราะความรู้สึกผิดที่เกาะแน่นในหัวใจ และแล้วเขาจึงตัดสินใจกลับมา
อย่างน้อยก็กลับมาดูว่าเธอคิดอย่างไร
ถ้าไม่มีอะไรก็แล้วกันไปจะได้เลิกรู้สึกผิด แล้วจบๆ กันเสียที
โตๆกันแล้วและเอื้องคำก็เคยผ่านการแต่งงาน มีลูกตั้งสามคน ดังนั้นเรื่องความสัมพันธ์แค่คืนเดียวมันก็น่าจะแค่นั้น…ผ่านมาก็ควรผ่านๆ ไป
แต่ถ้า…เธออยากสานต่อ
ลองคุยลองให้โอกาสก็ไม่เสียหาย
“ไม่โทรฯตามคุณคิม” หญิงสาวมองเขาอย่างงุนงง เมื่อกินข้าวเสร็จ ก็ปรกติคิมหันต์นั้นแทบจะมาอุ้มองค์ชายน้อยขึ้นรถ
“ให้กลับไปแล้วแถวนี้เรียกรถไม่ยากนี่” ทุกคำพูดปรกตินัก “มอไซค์ก็ได้ ตุ๊กๆ ก็ได้ ตุ๊กๆ ดีกว่า”
ใช่…มอเตอร์ไซค์รับจ้างมีตลอดแต่ตุ๊กๆ ไปทีเดียวพร้อมกัน นั่งเคียงคู่กัน กุมมือกันตลอดทางเหมือนเช่นเคย
เพียงแต่ว่าพี่ผู้หญิงคนขับรถตุ๊กๆคันนี้ดุ…มาก
แม้แต่เสน่ห์ใสแต่ไม่ซื่อของตุลย์ยังเอาไม่อยู่ ทำเอาองค์ชายน้อย…หงอ
หากมือของเขาประสานกุมแน่นกับเธอใบหน้าที่หันมามีรอยยิ้มสนุก กึ่งราวเด็กโดนครูใจร้ายทำโทษ
บอกที่ไม่ตรง
ไกลไป ใกล้ไป
แล้วอีกหลายเรื่องที่พี่ช่อทิพย์บ่น
ตุลย์ได้แต่…ครับๆๆๆตาปริบๆ
ทำให้เอื้องคำได้แต่หัวเราะเพราะองค์ชายน้อยโดนของแรง ทว่ามือของเขายังกุมมือเธอไว้แน่น บางคราวยกขึ้นมาประทับจูบเบาๆบนหลังมือ รอยยิ้มคงประกายวาววับ สนุก…สุขนัก
“ไม่ให้คุณช่อทิพย์ไปส่งล่ะ”หญิงสาวกระซิบริมฝีปากแตะแก้มเขา
“ไม่อ่ะ…กลัว”เขาลงรถตามหลังเธอเมื่อมาถึงตึกที่พัก แล้วชำระเงินค่าโดยสาร
“นี่จะกลับยังไง”
“โอย…กลับอยู่แล้วไม่ขึ้นไปหรอก” คำบอกรู้ทัน หางเสียงพลันทอดต่ำ อาทรนัก “เรากลับเองได้เอื้องเหนื่อยมาทั้งวัน เราไม่อยากกวน” เขานั่งลงยังม้าหินอ่อน ใกล้โถงลิฟต์ทางขึ้นทำให้เธอต้องทิ้งตัวนั่งข้างๆ “แค่อยากอยู่ด้วยกันอย่างนี้ให้นานที่สุด”อุ้งมือกุมมืออีกฝ่าย รับรู้ถึงสัมผัสตอบรับอย่างละมุมละไม “คิดยังไง”
“คิดอะไร”
“ก็เรื่องของเรา”
“จะให้คิดยังไงพี่ต้องบอกเอื้องมากกว่า ว่าพี่คิดยังไง”
“ก็ที่ผ่านมาแล้ววันนี้ เอื้อง..” คำเรียกชื่ออ่อนหวานนัก “เราคิดว่า บางอย่างมันก็น่าที่จะลองดูแต่เราก็คงไม่กล้าลอง ถ้าเอื้องมีพันธะอะไร กับใครเราไม่อยากทำลายความสัมพันธ์คนอื่น ไม่อยากเป็นมือที่สาม”
“เอื้องก็ไม่มีใครกับพ่อของลูก เอื้องก็เลิกกับเขามาเกือบสองปี ทุกวันนี้คุยกันเพราะลูกลูกอยู่กับพ่อแม่เขา”
“แล้วคนอื่น”
“ไม่มีคนอื่น”เอื้องคำรับรู้ว่ามือของเขาบีบแน่นขึ้น
“ไอ้หนุ่มที่บาร์นั่น…”
“ไม่มีอะไร”หญิงสาวขึ้นเสียงสูง ส่งยิ้ม วางอีกมือทาบบนมือเขา
อยากสารภาพนักว่าสมหวังก็แค่ความสุขทางกายในเวลาที่ตุลย์ห่างหายแต่ตอนนี้…ตุลย์อยู่ตรงนี้ กุมมือเธอไว้อย่างนี้
“แต่เขามีและเขาก็คงพูดอะไรทำให้เอื้องรับฟัง และเชื่อ” เสียงหนัก แววตาจริงจัง เอาเรื่อง“เรื่องคืนนั้นเขาว่าอย่างไร บอกอะไรกับเอื้อง ว่าเราไล่เอื้องกับเขาลงจากรถว่าเราโมโหร้าย เป็นคุณหนูเอาแต่ใจ”
“จะยังไง ก็อย่างที่เล่า”หญิงสาวพยายามยืนยัน หลังจากคว้าบุหรี่มาสูบ มือสั่นเล็กน้อย “เขาไม่ได้บอกอะไรไม่ได้ว่าอะไร”
“ไม่ใช่ เขาต้องโกหกต้องกล่าวหาอะไรเรา เพราะเอื้องเปลี่ยนไป เปลี่ยนตลอดเวลา” ตุลย์จับความรู้สึกได้“เรารู้หรอก ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้ แต่รู้ เอาเถอะ ไม่ว่าเขาจะบอกยังไงแต่เราขอบอกในส่วนที่เป็นความจริงจากเรา และหวังว่าเองจะรับฟังและเชื่อเหมือนที่เอื้องเชื่อเขา”
“ก็รู้อยู่แล้ว”
“ไม่…เอื้องรู้จากเขาซึ่งมันไม่ใช่ความจริง”เสียงหนักคัดค้าน ไม่ยอมง่ายๆ “เราไม่เคยไล่ใครลงจากรถ ไม่ว่าจะโกรธ จะโมโหจะเกลียดแค่ไหน แต่คืนนั้น เราทนไม่ได้ คนของเอื้องกระสันอยากลงเองสั่งให้จอดรถแทบจะทุกลมหายใจ ไม่ยอมให้เราไปส่งเอื้องถึงตึก อีกทั้งยังโวยวาย ก้าวร้าวและหยาบคาย หยาบคายกับเรา เราไม่ว่า แต่กับคนอื่น กับคุณคิมหันต์ เรารับไม่ได้ เราไม่ชอบเขา เราเกลียด”
“เอื้องก็ไม่รู้”
“ไม่รู้ก็ดีแต่เราเล่ามาขนาดนี้ก็รู้ไว้เถอะว่าเขาเป็นคนยังไง”
“คืนนั้นรู้สึกตัวอีกทีเดินมาตั้งเกือบกิโล”
“ก็มันอยากเดินเองเราจะไปส่งก็หวงก้างนัก หยาบคาย กันท่าตลอดเวลา” เสียงเฉียบ นัยน์ตาคมวาววับเอาเรื่อง เอาจริง ทำให้อีกฝ่ายเงียบ “ก็ให้เดินสมใจ เอื้องเองก็เต็มใจไปกับมัน”
“ตอนนั้นไม่รู้เรื่องเลยรู้อีกทีเดินมาเกือบถึงปากซอย”
“ไม่รู้แต่ก็ไปกับมัน” ทุกถ้อยคำหนักด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จนอีกฝ่ายเสหัวเราะบีบมือของเขา ดึงมาวางไว้บนต้นขาของเธออย่างเอาใจ
“ถ้ารู้ตัวก็ไม่ไปหรอก”
“เราไม่ชอบคนอยู่สามประเภท”ดวงหน้าจริงจังนัก ยังไม่คลายอารมณ์ขุ่นเคือง “คนโกง คนที่ชอบโกหก และคนกร่างก้าวร้าวก้าวร้าวกับเราว่าหนักแล้ว แต่ก้าวร้าวกับคนที่ทำงานให้เรา เรายิ่งไม่ชอบใหญ่นี่ทั้งก้าวร้าว กร่าง เยาะเย้ย และหยาบคาย แถมจะให้ทำผิดกฎจราจรอีก คุณคิมหันต์เขาทำตามหน้าที่เด็กของเอื้องไม่ควรที่จะหยาบคายเช่นนั้น เด็กของเอื้องหยาบคาย ก้าวร้าวมาตลอดทางเราถึงหมดความอดทน ตอนนี้ขึ้นอยู่ว่าเอื้องจะเชื่อเขา หรือว่าเชื่อเรา”
“ทำไมต้องเชื่อใคร”
“หรือว่าปักใจเชื่อเขาไปแล้ว”อีกครั้งที่ราวว่าอ่านใจเธอออก “เราไม่ชอบมีเรื่อง เพราะถ้ามีมันก็จะแรง และเราไม่เคยร้ายกับใครก่อนไม่เคยบังคับฝืนใจใคร เรื่องส่วนตัว เรื่องงานเราแยกแยะได้ ขอแต่อย่าโกหกกัน”
“ไม่ได้ชอบเขาก็จะมาขู่เข็ญให้ไปชอบ”เอื้องคำบีบมือเขาอีกครั้ง “ว่าเค้าคิดมาก ตัวเองคิดมากยิ่งกว่า”
“ต้องคิด” ดวงตาคมสีอำพันเข้มเป็นประกายจริงจังริมฝีปากเม้มสนิท “เพราะมันสำคัญกับเรา ตอนนี้เรามีหลายเรื่องที่ต้องคิดเราไม่อยากคิดมากเรื่องเอื้อง”
“ค่ะ”อีกครั้งที่เธอรับคำสั้นๆ ดับบุหรี่ที่คืบในอีกมือ
“อยากนั่งด้วยกันอย่างนี้นานๆอยากจับมือแบบนี้” ทุกอย่างในน้ำเสียงอ่อนหวาน หากหางเสียงเคร่งขรึมเล็กน้อย “เราไม่มีเวลามาปวดหัวกับเรื่องไม่เป็นเรื่องถ้าเอื้องชอบกับไอ้หมอนั่น คบกันอยู่ก็บอก เราไม่ทำให้ลำบากใจหรอก”
“ตัวเองพูดแบบนี้ยิ่งทำให้เค้าลำบากใจ”
“ถ้าไม่มีอะไรก็ไม่ต้องลำบากใจ”
“ก็ไม่มีไม่ได้รักได้ชอบเขานี่”
“งั้นก็จบ” การตัดบทง่ายหากมือยังกุมแน่น และแน่นขึ้น เมื่ออีกฝ่ายหันมาหอมแก้วขวาของเขาฟอดใหญ่
“ไม่หาเรื่องเค้าแล้วนะ”หญิงสาวยิ้มตาหยี รับรู้ถึงมือที่แตะศีรษะเธออย่างอ่อนโยน
“ก็อย่าทำเรื่องให้เราหาได้สิ”คำตอบแสนง่าย
“บางคนก็หาเรื่องไปได้ทั่วจนชาวบ้านเขากลัวไปหมด” เอื้องคำลอบยิ้ม เมื่อแขนของเขาลดมาโอบเอวเธอรั้งเข้ามาชิด
หญิงสาวรับรู้ว่าร่างของเขาลดลงต่ำพอที่จะวางศีรษะบนไหล่เธอ
“หาเรื่องที่จะอยู่ใกล้ๆเอื้องมากกว่า” เสียงนั่นยังทอดออดอ้อนได้อีก “ไม่ชอบให้คนอื่นใกล้เอื้องเลย”
“จะขึ้นไปข้างบนไหม”หญิงสาวถาม แววตาฉ่ำมองเขา พยายามบังคับหัวใจไม่ให้สั่น รับรู้ถึงความร้อนในทุกส่วนของร่างกายที่เขาสัมผัส
หากคนที่พะหงกหัวขึ้นมองเธอด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า กลับปฎิเสธ “ไม่…เอาไว้วันหลังดีกว่า เกรงใจนี่ตี่สี่แล้ว เอื้องไปพักผ่อนเถอะ”
ตุลย์ลุกขึ้นพยายามสะกดแรงปรารถนายืดมือให้อีกฝ่ายเพื่อยึดตัวเธอขึ้นมา โอบเอวเดินไปที่โถงลิฟต์รับรู้แขนเธอที่รัดเอวเขาเช่นกัน
“กลับยังไง” หญิงสาวเป็นห่วง
“ก็เรียกคุณคิมหันต์”คำตอบของเขาง่าย ไม่ต่างจากการบอก “เราเข้าใจกันแล้วนะ และเราจะยอมเชื่อเอื้องเอื้องก็ต้องเชื่อเรา เราจะพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเพื่อเราสองคน อดทนนะเอื้อง”
“ค่ะ” เธอรับคำ
“พรุ่งนี้เราอาจไม่ได้แวะไปที่เทวนิรมิตเดี๋ยวยังไงวันจันทร์ว่ากันอีกที”
“ไปไหนเหรอ”
“มีกินข้าวกับเพื่อนไงเลี้ยงวันเกิดกันไม่จบไม่สิ้น” เสียงหัวเราะสดใส ไม่ต่างจากแววตาที่มองเธอ
“ค่ะ”
เอื้องคำรับเพียงเท่านั้นหาก…คิด
เพื่อนของเขาเยอะแยะต่างจากเธอนัก
ฐานะและการศึกษาของเขาก็แตกต่างจากเธอการใช้ชีวิตก็ต่างกัน
ความคิดความอ่านก็ห่างกันลิบลับ
คุณสมบัติอย่างองค์ชายน้อยสามารถเลือกผู้หญิงคนไหนก็ได้ที่เหมาะสมคู่ควรไม่ใช่แม่หม้ายลูกสามจนๆ มีแต่หนี้สิน ที่เป็นเพียงพนักงานเสิร์ฟต่ำต้อย
‘เราอยากได้อะไรก็ต้องได้’
นั่นสิถ้าเขาอยากได้มัทนา หรือใครคนอื่นเขาก็เลือกที่จะคว้ามาได้
“มันใช่หรือ”หญิงสาวรำพึงในใจ “มันจะเป็นไปได้เหรอ”
นั่นคือสิ่งที่เธอคิด…คิดเมื่อตอนเข้ามาอยู่ในห้องพักอันมืดสนิทเพียงลำพัง
คิดแทบตลอดทั้งคืนทั้งวัน
คิด…และคิดตลอดเวลาในทุกวัน
“อิสสโรเทวราชหลงผู้หญิงคนนั้นมาก”
เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องออกจากปากของคิมหันต์เพราะอรดีรู้…เห็นโดยไม่ต้องมอง ได้ยินโดยไม่ต้องฟัง รับรู้ได้ ถึงแม้ไม่อยากรู้
“คงอีกไม่นานที่เขาจะเข้าใจอีกครั้งว่าความสุขที่ได้จากตัณหา และความลุ่มหลง มีค่าเท่ากับความทุกข์ตอนนี้เป็นเวลาของการชดใช้กรรมที่ผูกแน่น กรรมที่ทั้งคู่ต้องต้องชดใช้ให้แก่กันช่วงนี้ดวงของอิสสโรไม่ใคร่ดี ทั้งพื้นดวง อีกทั้งวัฏจักรของดวงดาว และที่สำคัญ…จักรเทวราช”เรื่องหลัง…นี่สำคัญนัก
บารมีของอิสสโรเทวราชมักจะอยู่เหนือดวงไม่ว่ากี่ภพกี่ชาติและควรอยู่เหนือดวง เพียงแต่…ไม่อาจอยู่เหนือจักรเทวราช
ผู้ซึ่งไม่ยอม…ปล่อย
หากเป็นแบบนี้สักวัน อิสสโรต้องตกลงรับปาก ถ้าเป็นเช่นนั้น หนทางของ…กรรมจะซัดเขาไปจากเธอตลอดกาลนาน
อรดียอมไม่ได้!
“ฤๅท่านจะฝืนดวงชะตา”เสียงกังวานก้องได้ยินเพียงเธอคนเดียว “วาจาที่อิสสโรเคยลั่นไว้ เขาต้องทำตามวาจาที่ให้ไม่ว่าหนทางชีวิตในร่างมนุษย์จะดำเนินอย่างไร ไม่ว่าชาติหรือหรือชาติไหน พวกท่านจะต้องพรากจากกันตลอดนิรันดร์กาล”
“ไม่!”
“แค่จะจำท่านเขาก็ไม่อยากจำ แค่ให้เข้าใกล้ เขาก็ไม่อยากใกล้ เขาลืมไปเสียแล้วว่าท่านเคยรักเขาปานไหนแต่เขาไม่เคยลืมว่า…หลง นางอัปสรตนนั้นขนาดไหน”
“วลุมลุลิกา”อรดีแค้นใจนัก รู้ว่าอีกฝ่ายรับรู้ความนึกคิดของเธอทั้งหมด
“แม้แต่โสเภณีสวรรค์ยังมีค่าทางใจทางจิต ทางกาย กับอิสสโรมากกว่าท่าน” เสียงเย้ยหยันไม่ต่างจากการหัวเราะในลำคอ “หลงโสเภณีสวรรค์มากกว่าเกระนันทาบุตรีของสหัสนัย์หรือแม้แต่ท่าน…” อีกครั้งที่เสียงในความมืดของจักรเทวราชบาดลึกเข้าไปในความรู้สึกอีกฝ่าย
“ถึงจะเป็นเช่นนั้นแต่อิสสโรก็มีค่าทางใจสำหรับเรา” อรดีตวาดลั่น นัยน์วาววับตาแดงจัดด้วยความรู้สึก“มิใช่ท่าน!”
(ต่อ)