ในที่สุดเมื่อตั้งสติได้ จนเมื่อหยุดร้องไห้สำเร็จ ก็เริ่มหันไปออกฤทธิ์ออกเดชกับคนขับอีกรอบ
"นายติณณ์ จอดรถได้แล้ว ฉันจะลง"
"แหกตาดูบ้างสิ นี่มันดึกแล้วนะ แถวนี้มันรอบนอกจนแม้แต่แท็กซี่ยังไม่วิ่งเลย"
"บอกให้จอดไง ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องรึไง"
"อยากลงไปถูกปล้น ฆ่า ข่มขืน ตายรึไง มาเรียกร้องจะลงรถตอนนี้เนี่ย" ติณณ์ชะลอความเร็วรถลง
และหันมาตวัดสายตาที่ดูเหมือนรำคาญใส่
"ก็เรื่องของฉันไหม ไม่เกี่ยวกับนาย จอดดิ จะลง" ภีรณีเริ่มยื่นมือมาแย่งพวงมาลัย ติณณ์ที่กลัวว่า
จะเกิดอันตรายเลยรีบชะลอรถและจอดเข้าข้างทาง
หญิงสาวรีบเปิดประตูรถและพุ่งตัวออกไปทันทีที่รถจอดสนิท แต่กลับถูกชายหนุ่มรีบดึงกุญแจ
และวิ่งตามมาจับแขนและกระชากตัวเธอเอาไว้จนคนตัวเล็กเสียหลักปลิวหวือตามแรงดึงจนล้ม
เข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของเขา
"ปล่อยฉันนะ!" หญิงสาวร้องสั่งเสียงดังพร้อมกับรีบเอนตัวให้ไกลออกจากคนตัวใหญ่ แต่เขา
กลับตะคอกคนดื้อเสียงดังว่า
"สติน่ะหัดมีมั่งนะ โกรธโมโหอะไรน่ะทำได้นะ แต่อย่าทำให้ตัวเองเดือดร้อนหรืออาจจะ
ได้รับอันตรายแบบนี้" ติณณ์กอดรัดหญิงสาวที่ดิ้นหนีเขาเอาไว้และจ้องมองด้วยสายตา
ตำหนิติเตียน
"นายไม่เป็นฉันนายจะมารู้อะไรด้วยไหม รู้ไหมว่าฉันเจ็บขนาดไหน ฉันคบกับมายด์ช่วยกัน
ผ่อนคอนโด วางแผนอนาคตเอาไว้ด้วยกันสารพัด แล้วจู่ๆ ก็มาโดนทิ้งแบบนี้ นายไม่มาเป็น
ฉันนายไม่เข้าใจหรอกว่ามันรู้สึกแย่ขนาดไหนในวันที่คนที่เราไว้ใจ คิดว่าจะร่วมทุกข์ร่วมสุข
ด้วยมาทรยศ หักหลังกันแบบนี้" หยาดน้ำตาจากความเจ็บแค้นก็เริ่มรินไหลออกมาอย่าง
กลั้นไม่อยู่อีกรอบ
ได้ยินแบบนี้ ก็อดรู้สึกเห็นใจหญิงสาวไม่ได้ จึงพูดกับด้วยด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนลงจากเดิมว่า
"ก็รู้ว่าเจ็บอยู่ แต่เห็นไหมว่าข้างนอกนี่ลมมันแรง ฟ้าก็แลบแปรบๆ เกิดฝนตก ต้องเดินตากฝน
ปอดบวมตายไปจะทำยังไง เธอยังมีแม่ที่ต้องดูแลอยู่ไม่ใช่หรือไง"
แม้ว่าภีรณีจะพยายามใช้หลังมือปาดเช็ดมันสักเท่าไหร่ หยาดน้ำใสๆ ก็ไม่เคยน้อยลงแถมมัน
กลับยิ่งรินไหลหนักขึ้น แถมจู่ๆ ตอนที่ยืนเถียงกันอยู่ สายฝนอันหนักหน่วงก็เทลงมาใส่คน
ทั้งคู่อย่างไม่ลืมหูลืมตา
คนตัวใหญ่จึงรีบจับลากคนตัวเล็กให้เดินตามกลับไปที่รถเพราะเกรงว่าจะเป็นอันตรายทั้ง
จากคนร้ายที่อาจจะมาชิงรถและรวมถึงความเย็นจากสายฝน
"รีบมานี่เลยยัยตัวดี"
เมื่อกลับมาถึงที่รถ ติณณ์ก็รีบยัดคนตัวเล็กเข้าไปตรงที่นั่งข้างคนขับ และรีบวิ่งอ้อมไปขึ้น
รถที่ฝั่งคนขับ ก่อนทั้งคู่จะพบว่าตอนนี้เสื้อผ้าและเนื้อตัวของเขาและเธอนั้นเปียกซ่ก
ไม่ต่างจากลูกหมาตกน้ำกันเลยทีเดียว
"บ้าเอ้ย เปียกหมดเลย เห็นไหมเล่าบอกแล้วว่าฝนมันจะตก"
"แล้วใครใช้ให้นายตามลงไปล่ะ" คนพูดกอดอกเชิดหน้าใส่อย่างดูถือดีจนติณณ์นึก
อยากจะจับมาตีปากนักแต่ก็ทำไม่ได้เพราะอีกฝ่ายเป็นอิสสตรี
"เธอนี่มัน...ฮึ้ย" ติณณ์พยายามสูดหายใจเข้าออกลึกๆ เพื่อข่มอารมณ์ ก่อนจะหันไป
สตาร์ตรถแทนเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจไม่ให้ตัวเองมัวแต่ไปอารมณ์เสียอยู่กับคนอวดดี
หลังจากนั้น ชายหนุ่มที่หันไปสตาร์ตรถก็กลับพบว่ารถยนต์นั้นมีอาการแปลกๆ เกิดขึ้น
"แต๊กๆ แต๊กๆ...พรึบ"
เขาพยายามสตาร์ตอยู่สองรอบ แต่ทุกๆ รอบเครื่องยนต์ก็มีเสียงดังขึ้นเพียงแค่ไม่กี่ครั้ง
แล้วเครื่องก็ดับเงียบไปเฉยเลย
ภีรณีที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ได้ยินเสียงแปลกๆ ของเครื่องยนต์เช่นกัน จึงหันมามองหน้าติณณ์
ด้วยความตกใจทันที
ปล. หากท่านนักอ่านมีความเห็นอะไรจะบอกหรือติชม โปรดชี้แนะด้วยค่า
ตรงไหนภาษามันแปร่งๆ หรือ เหตุการณ์ตรงไหนควรปรับเพิ่มหรือลดอะไร
บอกได้หมดเลยนะคะ ขอบพระคุณมากๆ ค่ะ
เนตรยังรู้สึกว่าภาษายังไม่สละสลวยสักที หากมีเทคนิกดีๆ อะไรอยากแนะนำ
ช่วยบอกเนตรด้วยนะคะ
พนันหัวใจใต้ปีกรัก ตอนสามมาแล้วค่ะ (หากคนอ่านมีความเห็นอะไรจะบอกหรือติชม โปรดชี้แนะด้วยค่า)
"นายติณณ์ จอดรถได้แล้ว ฉันจะลง"
"แหกตาดูบ้างสิ นี่มันดึกแล้วนะ แถวนี้มันรอบนอกจนแม้แต่แท็กซี่ยังไม่วิ่งเลย"
"บอกให้จอดไง ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องรึไง"
"อยากลงไปถูกปล้น ฆ่า ข่มขืน ตายรึไง มาเรียกร้องจะลงรถตอนนี้เนี่ย" ติณณ์ชะลอความเร็วรถลง
และหันมาตวัดสายตาที่ดูเหมือนรำคาญใส่
"ก็เรื่องของฉันไหม ไม่เกี่ยวกับนาย จอดดิ จะลง" ภีรณีเริ่มยื่นมือมาแย่งพวงมาลัย ติณณ์ที่กลัวว่า
จะเกิดอันตรายเลยรีบชะลอรถและจอดเข้าข้างทาง
หญิงสาวรีบเปิดประตูรถและพุ่งตัวออกไปทันทีที่รถจอดสนิท แต่กลับถูกชายหนุ่มรีบดึงกุญแจ
และวิ่งตามมาจับแขนและกระชากตัวเธอเอาไว้จนคนตัวเล็กเสียหลักปลิวหวือตามแรงดึงจนล้ม
เข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของเขา
"ปล่อยฉันนะ!" หญิงสาวร้องสั่งเสียงดังพร้อมกับรีบเอนตัวให้ไกลออกจากคนตัวใหญ่ แต่เขา
กลับตะคอกคนดื้อเสียงดังว่า
"สติน่ะหัดมีมั่งนะ โกรธโมโหอะไรน่ะทำได้นะ แต่อย่าทำให้ตัวเองเดือดร้อนหรืออาจจะ
ได้รับอันตรายแบบนี้" ติณณ์กอดรัดหญิงสาวที่ดิ้นหนีเขาเอาไว้และจ้องมองด้วยสายตา
ตำหนิติเตียน
"นายไม่เป็นฉันนายจะมารู้อะไรด้วยไหม รู้ไหมว่าฉันเจ็บขนาดไหน ฉันคบกับมายด์ช่วยกัน
ผ่อนคอนโด วางแผนอนาคตเอาไว้ด้วยกันสารพัด แล้วจู่ๆ ก็มาโดนทิ้งแบบนี้ นายไม่มาเป็น
ฉันนายไม่เข้าใจหรอกว่ามันรู้สึกแย่ขนาดไหนในวันที่คนที่เราไว้ใจ คิดว่าจะร่วมทุกข์ร่วมสุข
ด้วยมาทรยศ หักหลังกันแบบนี้" หยาดน้ำตาจากความเจ็บแค้นก็เริ่มรินไหลออกมาอย่าง
กลั้นไม่อยู่อีกรอบ
ได้ยินแบบนี้ ก็อดรู้สึกเห็นใจหญิงสาวไม่ได้ จึงพูดกับด้วยด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนลงจากเดิมว่า
"ก็รู้ว่าเจ็บอยู่ แต่เห็นไหมว่าข้างนอกนี่ลมมันแรง ฟ้าก็แลบแปรบๆ เกิดฝนตก ต้องเดินตากฝน
ปอดบวมตายไปจะทำยังไง เธอยังมีแม่ที่ต้องดูแลอยู่ไม่ใช่หรือไง"
แม้ว่าภีรณีจะพยายามใช้หลังมือปาดเช็ดมันสักเท่าไหร่ หยาดน้ำใสๆ ก็ไม่เคยน้อยลงแถมมัน
กลับยิ่งรินไหลหนักขึ้น แถมจู่ๆ ตอนที่ยืนเถียงกันอยู่ สายฝนอันหนักหน่วงก็เทลงมาใส่คน
ทั้งคู่อย่างไม่ลืมหูลืมตา
คนตัวใหญ่จึงรีบจับลากคนตัวเล็กให้เดินตามกลับไปที่รถเพราะเกรงว่าจะเป็นอันตรายทั้ง
จากคนร้ายที่อาจจะมาชิงรถและรวมถึงความเย็นจากสายฝน
"รีบมานี่เลยยัยตัวดี"
เมื่อกลับมาถึงที่รถ ติณณ์ก็รีบยัดคนตัวเล็กเข้าไปตรงที่นั่งข้างคนขับ และรีบวิ่งอ้อมไปขึ้น
รถที่ฝั่งคนขับ ก่อนทั้งคู่จะพบว่าตอนนี้เสื้อผ้าและเนื้อตัวของเขาและเธอนั้นเปียกซ่ก
ไม่ต่างจากลูกหมาตกน้ำกันเลยทีเดียว
"บ้าเอ้ย เปียกหมดเลย เห็นไหมเล่าบอกแล้วว่าฝนมันจะตก"
"แล้วใครใช้ให้นายตามลงไปล่ะ" คนพูดกอดอกเชิดหน้าใส่อย่างดูถือดีจนติณณ์นึก
อยากจะจับมาตีปากนักแต่ก็ทำไม่ได้เพราะอีกฝ่ายเป็นอิสสตรี
"เธอนี่มัน...ฮึ้ย" ติณณ์พยายามสูดหายใจเข้าออกลึกๆ เพื่อข่มอารมณ์ ก่อนจะหันไป
สตาร์ตรถแทนเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจไม่ให้ตัวเองมัวแต่ไปอารมณ์เสียอยู่กับคนอวดดี
หลังจากนั้น ชายหนุ่มที่หันไปสตาร์ตรถก็กลับพบว่ารถยนต์นั้นมีอาการแปลกๆ เกิดขึ้น
"แต๊กๆ แต๊กๆ...พรึบ"
เขาพยายามสตาร์ตอยู่สองรอบ แต่ทุกๆ รอบเครื่องยนต์ก็มีเสียงดังขึ้นเพียงแค่ไม่กี่ครั้ง
แล้วเครื่องก็ดับเงียบไปเฉยเลย
ภีรณีที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ได้ยินเสียงแปลกๆ ของเครื่องยนต์เช่นกัน จึงหันมามองหน้าติณณ์
ด้วยความตกใจทันที
ปล. หากท่านนักอ่านมีความเห็นอะไรจะบอกหรือติชม โปรดชี้แนะด้วยค่า
ตรงไหนภาษามันแปร่งๆ หรือ เหตุการณ์ตรงไหนควรปรับเพิ่มหรือลดอะไร
บอกได้หมดเลยนะคะ ขอบพระคุณมากๆ ค่ะ
เนตรยังรู้สึกว่าภาษายังไม่สละสลวยสักที หากมีเทคนิกดีๆ อะไรอยากแนะนำ
ช่วยบอกเนตรด้วยนะคะ