เมื่อเดินต่อไปอีกหน่อย ฝนก็ค่อยๆ ซาลง กระทั่งใกล้ถึงโรงแรมที่ชายหนุ่มบอก
คนตัวเล็กก็ร้องโวยวายเสียงดังขึ้นมาเมื่อเงยหน้าขึ้นไปเห็นป้ายชื่อโรงแรมที่
เป็นแสงไฟสีขาวชัดๆ
“นี่มันโรงแรมม่านรูด!”
“ก็ใช่ไง ชื่อดี๊ดี สวีตฮันนีมูน” ไม่แค่หัวเราะขำแต่ยังยิ้มกวนๆ ให้คนข้างตัวอีกด้วย
ทว่าทำท่าทางกวนประสาทได้ไม่ถึงนาที ภีรณีก็ผลักเขาเสียจนแทบจะล้มลง
ไปวัดพื้นแถวนั้น แถมเธอยังหันหลัง ทำท่าว่าจะเดินกลับไปทางเก่า ชายหนุ่ม
จึงรีบใช้แขนข้างที่ไม่ได้ถือเสื้อจับแขนบางเอาไว้
“จะไปไหนยายตัวดี”
“จะกลับ ปล่อย!” คนตัวเล็กหันมาเสียงดังใส่และพยายามแกะมือเขาออก แต่
ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็ไม่สำเร็จเพราะมือของติณณ์นั้นแข็งอย่างกับคีม
“กลัวใช่ไหมล่ะ ทำไม ไม่เคยเข้าโรงแรมม่านรูดเหรอ อ่อน” พูดพร้อมทำสีหน้า
ยิ้มเยาะใส่
“เคยสิ ทำไมจะไม่เคย” ปากกล้าไปอย่างนั้นทั้งที่ความจริงไม่เคยเข้าโรงแรม
ม่านรูดเลยสักครั้งเดียว
“งั้นก็เข้าไปสิ จะกลัวอะไร นอนก็นอนคนละห้อง ทำท่ากลัวเสียอย่างกับว่าฉัน
จะจับปล้ำอย่างนั้นแหละ เอ๊ะ หรือว่าป๊อด ไม่กล้าเข้าพักในโรงแรมม่านรูด”
“กล้าสิ ไม่เห็นจะต้องกลัวอะไรสักหน่อย”
พูดจบก็เดินตรงไปหาพนักงานที่หน้าประตูโรงแรมแล้วแจ้งว่าจะพักค้างคืน
ก่อนจะจัดการจ่ายค่าห้อง โดยที่ติณณ์ก็ตามมาจัดการในส่วนของเขา
ก่อนที่พนักงานจะพาทั้งคู่ไปยังห้องพักที่อยู่ติดๆ กัน และทันทีที่ไขประตู
เรียบร้อย ยังไม่ทันที่จะเข้าไปข้างใน ติณณ์ก็ดึงแขนบางเอาไว้เสียก่อน
เมื่อภีรณีตั้งท่าจะแหวใส่ เขาก็รีบยัดกางเกงบอลสีฟ้ากับเสื้อยืดสีขาว
ใส่มืออีกฝ่าย ก่อนจะพูดขึ้นมา
“มีอะไรก็ไปเคาะห้องฉันได้ อยู่ข้างๆ กันนี่แหละ”
ภีรณีไม่ตอบแถมยังทำท่าเบ้ปากใส่อย่างไม่สนใจในความหวังดีนั้น
ก่อนจะหันไปสั่งพนักงานให้เอาไวน์แดงมาให้ เมื่อถูกทำท่าอวดดี
ใส่เช่นนั้นติณณ์จึงเลือกที่จะไม่ห้ามปรามทั้งๆ ที่ไม่ได้เห็นดีด้วย
สักเท่าไร แล้วเขาก็หันไปเอ่ยกับพนักงานแทน
“น้อง เดี๋ยวมารับชุดพี่ไปซักรีดให้ด้วยนะ หลังจากมาส่งของที่ห้องนี้เสร็จน่ะ”
หลังจากที่หมดเรื่องพูดคุยกับพนักงาน ภีรณีก็เดินเข้ามาในห้องพัก
พร้อมกับจัดการกดล็อกประตูห้องเสร็จสรรพ พลันนั้นสายตาถือดีก็
แปรเปลี่ยนเป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่มั่นใจ ดวงตากลมโตสีดำ
คู่นั้นกวาดมองไปรอบๆ ห้องด้วยความตื่นเต้นแกมอยากรู้อยากเห็น
เพราะเธอไม่เคยเข้ามาในสถานที่แบบนี้มาก่อน
หญิงสาวรู้สึกแปลกใจมากเมื่อกวาดสายตาไปแล้วพบว่าสภาพห้อง
ก็ดูใกล้เคียงกับห้องพักในโรงแรม ทั้งหมอนและเตียงก็มีสีขาวสะอาดตา
ทว่าบรรยากาศในห้องนั้นดูสลัวกว่าด้วยแสงสีส้มนวลตา ส่วนอุณหภูมิ
ก็เย็นเพราะสายฝนซึ่งโปรยปรายอยู่ภายนอก แต่ที่เด่นสะดุดตาที่สุด
ก็คือกระจกบานใหญ่ที่ติดอยู่ตรงผนังด้านหนึ่งริมเตียงขนาดใหญ่
ภีรณีรีบเดินเข้าไปในห้องน้ำเพราะรู้สึกปวดเบามาได้สักพักแล้ว ในขณะ
ที่จัดการทำธุระส่วนตัว เธอก็มองไปรอบๆ แล้วแอบคิดในใจไปด้วย
อ่างน้ำใหญ่เบิ้มจังแฮะ แถมยังมีกระจกใหญ่ใสแจ๋วขนาดนี้กั้นกลาง
ระหว่างอ่างอาบน้ำกับโซนของอ่างล้างหน้าอีก
เมื่อทำธุระส่วนตัวเสร็จก็ล้างหน้าล้างมือ และออกมาหยิบพลิกหมอน
ผ้าห่ม รวมถึงตรวจตราดูสภาพเตียง ก่อนจะพบว่าทุกอย่างดูสะอาด
เรียบร้อยดี ไม่มีอะไรน่ากังวล
ขณะที่กำลังคิดอะไรอยู่ในใจไปเรื่อยๆ จู่ๆ เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น
ทำเอาคนกลัวผีขึ้นสมองอย่างภีรณีรู้สึกตกใจจนแทบจะกระโดดขึ้นไป
คลุมโปงบนเตียงเลยทีเดียว
พนันหัวใจใต้ปีกรัก ตอนที่ 6 มาแล้วค่ะ :)
คนตัวเล็กก็ร้องโวยวายเสียงดังขึ้นมาเมื่อเงยหน้าขึ้นไปเห็นป้ายชื่อโรงแรมที่
เป็นแสงไฟสีขาวชัดๆ
“นี่มันโรงแรมม่านรูด!”
“ก็ใช่ไง ชื่อดี๊ดี สวีตฮันนีมูน” ไม่แค่หัวเราะขำแต่ยังยิ้มกวนๆ ให้คนข้างตัวอีกด้วย
ทว่าทำท่าทางกวนประสาทได้ไม่ถึงนาที ภีรณีก็ผลักเขาเสียจนแทบจะล้มลง
ไปวัดพื้นแถวนั้น แถมเธอยังหันหลัง ทำท่าว่าจะเดินกลับไปทางเก่า ชายหนุ่ม
จึงรีบใช้แขนข้างที่ไม่ได้ถือเสื้อจับแขนบางเอาไว้
“จะไปไหนยายตัวดี”
“จะกลับ ปล่อย!” คนตัวเล็กหันมาเสียงดังใส่และพยายามแกะมือเขาออก แต่
ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็ไม่สำเร็จเพราะมือของติณณ์นั้นแข็งอย่างกับคีม
“กลัวใช่ไหมล่ะ ทำไม ไม่เคยเข้าโรงแรมม่านรูดเหรอ อ่อน” พูดพร้อมทำสีหน้า
ยิ้มเยาะใส่
“เคยสิ ทำไมจะไม่เคย” ปากกล้าไปอย่างนั้นทั้งที่ความจริงไม่เคยเข้าโรงแรม
ม่านรูดเลยสักครั้งเดียว
“งั้นก็เข้าไปสิ จะกลัวอะไร นอนก็นอนคนละห้อง ทำท่ากลัวเสียอย่างกับว่าฉัน
จะจับปล้ำอย่างนั้นแหละ เอ๊ะ หรือว่าป๊อด ไม่กล้าเข้าพักในโรงแรมม่านรูด”
“กล้าสิ ไม่เห็นจะต้องกลัวอะไรสักหน่อย”
พูดจบก็เดินตรงไปหาพนักงานที่หน้าประตูโรงแรมแล้วแจ้งว่าจะพักค้างคืน
ก่อนจะจัดการจ่ายค่าห้อง โดยที่ติณณ์ก็ตามมาจัดการในส่วนของเขา
ก่อนที่พนักงานจะพาทั้งคู่ไปยังห้องพักที่อยู่ติดๆ กัน และทันทีที่ไขประตู
เรียบร้อย ยังไม่ทันที่จะเข้าไปข้างใน ติณณ์ก็ดึงแขนบางเอาไว้เสียก่อน
เมื่อภีรณีตั้งท่าจะแหวใส่ เขาก็รีบยัดกางเกงบอลสีฟ้ากับเสื้อยืดสีขาว
ใส่มืออีกฝ่าย ก่อนจะพูดขึ้นมา
“มีอะไรก็ไปเคาะห้องฉันได้ อยู่ข้างๆ กันนี่แหละ”
ภีรณีไม่ตอบแถมยังทำท่าเบ้ปากใส่อย่างไม่สนใจในความหวังดีนั้น
ก่อนจะหันไปสั่งพนักงานให้เอาไวน์แดงมาให้ เมื่อถูกทำท่าอวดดี
ใส่เช่นนั้นติณณ์จึงเลือกที่จะไม่ห้ามปรามทั้งๆ ที่ไม่ได้เห็นดีด้วย
สักเท่าไร แล้วเขาก็หันไปเอ่ยกับพนักงานแทน
“น้อง เดี๋ยวมารับชุดพี่ไปซักรีดให้ด้วยนะ หลังจากมาส่งของที่ห้องนี้เสร็จน่ะ”
หลังจากที่หมดเรื่องพูดคุยกับพนักงาน ภีรณีก็เดินเข้ามาในห้องพัก
พร้อมกับจัดการกดล็อกประตูห้องเสร็จสรรพ พลันนั้นสายตาถือดีก็
แปรเปลี่ยนเป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่มั่นใจ ดวงตากลมโตสีดำ
คู่นั้นกวาดมองไปรอบๆ ห้องด้วยความตื่นเต้นแกมอยากรู้อยากเห็น
เพราะเธอไม่เคยเข้ามาในสถานที่แบบนี้มาก่อน
หญิงสาวรู้สึกแปลกใจมากเมื่อกวาดสายตาไปแล้วพบว่าสภาพห้อง
ก็ดูใกล้เคียงกับห้องพักในโรงแรม ทั้งหมอนและเตียงก็มีสีขาวสะอาดตา
ทว่าบรรยากาศในห้องนั้นดูสลัวกว่าด้วยแสงสีส้มนวลตา ส่วนอุณหภูมิ
ก็เย็นเพราะสายฝนซึ่งโปรยปรายอยู่ภายนอก แต่ที่เด่นสะดุดตาที่สุด
ก็คือกระจกบานใหญ่ที่ติดอยู่ตรงผนังด้านหนึ่งริมเตียงขนาดใหญ่
ภีรณีรีบเดินเข้าไปในห้องน้ำเพราะรู้สึกปวดเบามาได้สักพักแล้ว ในขณะ
ที่จัดการทำธุระส่วนตัว เธอก็มองไปรอบๆ แล้วแอบคิดในใจไปด้วย
อ่างน้ำใหญ่เบิ้มจังแฮะ แถมยังมีกระจกใหญ่ใสแจ๋วขนาดนี้กั้นกลาง
ระหว่างอ่างอาบน้ำกับโซนของอ่างล้างหน้าอีก
เมื่อทำธุระส่วนตัวเสร็จก็ล้างหน้าล้างมือ และออกมาหยิบพลิกหมอน
ผ้าห่ม รวมถึงตรวจตราดูสภาพเตียง ก่อนจะพบว่าทุกอย่างดูสะอาด
เรียบร้อยดี ไม่มีอะไรน่ากังวล
ขณะที่กำลังคิดอะไรอยู่ในใจไปเรื่อยๆ จู่ๆ เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น
ทำเอาคนกลัวผีขึ้นสมองอย่างภีรณีรู้สึกตกใจจนแทบจะกระโดดขึ้นไป
คลุมโปงบนเตียงเลยทีเดียว