ใครเกิดทัน....พุทธศักราช ๒๕๔๓ ไทยจะมีพลเมือง ๑๐๒ ล้านคน

ในปีพุทธศักราช ๒๕๑๐ มีบทความบทหนึ่งลงตีพิมพ์ในนิตยสารชาวกรุง อันเป็นนิตยสารสำหรับนักอ่านที่โด่งดังมากในช่วงนั้น กล่าวถึงจำนวนประชากรของประเทศไทยในปีพุทธศักราช ๒๕๔๓ หรือคริสตศักราช 2000 ว่าจะมีจำนวนประชากรถึง ๑๐๒ ล้านกว่าคน ผลการสำรวจนี้เริ่มต้นด้วยความช่วยเหลือจากธนาคารโลก และภายหลังสภาวิจัยแห่งชาติและหน่วยงานต่างๆได้ร่วมกันทำการสำรวจ ซึ่งส่งผลให้เกิดความตื่นตัวในการควบคุมการเกิดของประชากรขึ้น



ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง พลเมืองของไทยมีเพียง ๑๘ ล้านคน ซึ่งผู้นำในขณะนั้นคือ จอมพล ป.พิบูลสงคราม เห็นว่ามีจำนวนน้อย จนไทยไม่อาจจะพัฒนาเป็นชาติมหาอำนาจได้ จึงได้มีการจัดตั้ง "องค์การส่งเสริมการสมรส" ขึ้นในปีพุทธศักราช ๒๔๘๕ ทั้งนี้เพื่อกระตุ้นให้มีการสมรสและมีลูกกันมากๆ ครอบครัวใดที่มีบุตรน้อยถือว่าไม่ช่วยชาติ โดยเฉพาะถ้าเป็นข้าราชการจะถูกเพ่งเล็งว่าไม่สนองนโยบาย "เชื่อผู้นำชาติพ้นภัย" และมีการประกวดแม่ลูกดก โดยมีรางวัลเป็นขันน้ำพานรอง มอบให้แก่มารดาทีมีบุตรธิดามาก


ภาพการสมรสหมู่ ซึ่งจัดตามนโยบายรัฐบาล โดย องค์การส่งเสริมการสมรส ในช่วงทศวรรษ ๒๔๘๐

ครอบครัวในยุคสมัยนั้นจึงมีลูกกันมากๆ ซึ่งถือว่าอย่างน้อยต้องมี ๔ คน และมีมากเป็น ๑๐ คนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย ผลจากนโยบายในครั้งนั้นทำให้สามสิบปีต่อมา พลเมืองไทยก็เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากกว่า ๓๐ ล้านคน จนเกิดความวิตกว่าจำนวนประชากรจะมากเกินไปจนมีปัญหาตามมา

รัฐบาลในยุคนั้นได้ทบทวนและพิจารณาถึงผลกระทบต่าง ๆ อันเกิดจากการเพิ่มตัวอย่างรวดเร็วของจำนวนประชากรและได้มอบหมายให้สภาวิจัย แห่งชาติร่วมกับสภาพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ จัดให้มีการสัมมนาปัญหาประชากรถึง ๓ ครั้ง เริ่มในปีพุทธศักราช ๒๕๐๕, ๒๕๐๘ และ ๒๕๑๑ และในปีพุทธศักราช ๒๕๐๗ กระทรวงสาธารณสุข ได้ทดลองกิจกรรมด้านการวางแผนครอบครัวในชนบทบางจุด ซึ่งสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่าประชาชนต้องการบริการด้านการวางแผนครอบครัวอย่าง มาก จึงได้มีกลุ่มบุคคลซึ่งประกอบด้วย ข้าราชการ นักธุรกิจ นักสังคมสงเคราะห์ แพทย์ และนักวิชาการ ร่วมกันพิจารณาหาแนวทางการช่วยเหลืองานของรัฐบาลในด้านการวางแผนครอบครัว ขึ้น หลังจากที่ได้ยกร่าง กฎ-ระเบียบ และข้อบังคับต่างๆ เรียบร้อยแล้ว จึงได้เสนอขออนุญาตจดทะเบียนก่อตั้ง และได้รับอนุญาตเมื่อวันที่ ๑๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๑๓ ภายใต้ชื่อ สมาคมวางแผนครอบครัวแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (สวท)

แต่สถานการณ์ยังน่าเป็นห่วง ทางฝ่ายเอกชนหรือจะเรียกว่า NGO ก็คงได้ ร่วมกันจัดตั้ง สมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน POPULATIONANDCOMMUNITY DEVELOPMENT ASSOCIATION–PDA เป็นหน่วยงานเอกชนสาธารณประโยชน์ โดยมีนายมีชัย วีระไวทยะ เป็นผู้ก่อตั้ง เริ่มดำเนินงานในปีพุทธศักราช ๒๕๑๗ เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนคุมกำเนิดด้วยวิธีต่างๆ และเริ่มด้วยการแนะนำให้ใช้ถุงยางอนามัยในการคุมกำเนิด ซึ่งทำให้ถุงยางอนามัยได้ชื่อว่า "ถุงมีชัย" ติดปากคนไทยมาตั้งแต่บัดนั้น



และแล้วเมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๔๓ หรือคริสตศักราช 2000 มาถึง จำนวนประชากรของประเทศไทยสำรวจโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ ก็มีจำนวน ๖๐,๖๐๖,๙๔๗ คน (หกสิบล้านหกแสนหกพันเก้าร้อยสี่สิบเจ็ดคน) น้อยกว่าจำนวนที่ธนาคารโลกประเมินเอาไว้ว่าหากมีการวางแผนครอบครัวและคุมกำเนิดกันอย่างจริงจัง ไทยจะมีประชากรจำนวน ๙๗ ล้านคนในปีนั้น และในปัจจุบันพุทธศักราช ๒๕๖๐ ครึ่งศตวรรษนับจากการสำรวจในครั้งนั้น ประชากรไทยยังมีจำนวนเพียง ๖๕,๙๓๑,๕๕๐ คน หรือประมาณหกสิบห้าล้านคน

จึงถือว่าการวางแผนครอบครัวและควบคุมจำนวนประชากรของไทย ประสบผลสำเร็จอย่างดีเยี่ยม เป็นตัวอย่างให้ประเทศที่กำลังพัฒนาทั้งหลายได้ศึกษาเลยทีเดียว

ในบทความที่นำมาให้อ่านกันนั้นยังมีเรื่องน่าสนใจอยู่อีกหลายเรื่อง เรื่องหนึ่งคือจำนวนพื้นที่ทำกินในประเทศไทย ซึ่งในบทความกล่าวถึงผลการสำรวจในสมัยนั้นว่า ที่ดินสำหรับทำเกษตรกรรมมีอยู่ ๖๘ ล้านไร่ ซึ่งจำนวนพื้นที่รวมทั้งหมดของประเทศนั้นมีอยู่ ๓๒๐.๗ ล้านไร่ สามารถจำแนกออกเป็นที่ดินในความดูแลของกรมที่ดินมีพื้นที่ ๑๓๐.๗๔ ล้านไร่ (ร้อยละ ๔๐.๘๘ ของที่ดินในประเทศ) สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) มีพื้นที่ ๓๔.๗๖ ล้านไร่ (ร้อยละ ๑๐.๘๗) ป่าสงวนแห่งชาติ กรมป่าไม้ มีพื้นที่ ๑๔๔.๕๔ ล้านไร่ (ร้อยละ ๔๕.๑๙) และที่ดินราชพัสดุ กรมธนารักษ์ มีพื้นที่ ๙.๗๘ ล้านไร่ (ร้อยละ ๓.๐๖)

จากจำนวนตัวเลขนี้จะเห็นว่าที่ดินในประเทศไทยนั้นมีเป็นจำนวนมาก หากแบ่งให้ประชาชนถือครองคนละหนึ่งไร่ ก็ยังอยู่ในขอบเขตของจำนวนที่ดินสำหรับทำเกษตรกรรม พอเพียงที่จะไม่ต้องไปรุกล้ำที่ดินอื่นๆเช่นป่าสงวน หรือที่ดินราชพัสดุของรัฐ อีกทั้งยังไม่ต้องใช้ที่ดิน ส.ป.ก. เลย สามารถคืนให้เป็นป่าได้อีกจำนวนมาก และล่วงมาถึงปีที่เขียนบทความนี้ ที่ดินดังกล่าวก็ยังพอที่จะแบ่งให้ประชาชนคนละหนึ่งไร่ได้

แต่ปัญหาไม่มีที่ดินทำกินยังคงเป็นปัญหาหลักของประเทศอยู่ จนมีการรุกล้ำป่าสงวน ป่าต้นน้ำลำธาร และคนไทยยังไม่มีที่ดินจะอยู่อาศัยอีกเป็นจำนวนมาก น่าสงสัยหรือไม่ว่าจริงๆแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

ผู้เขียนเคยตั้งกระทู้ไว้กระทู้หนึ่งในพันทิป ชื่อ "มีคน มากแค่ไหน" https://ppantip.com/topic/31376369 ซึ่งได้ทำการคำนวณจำนวนประชากรของไทยโดยสมมิติว่านำทุกคนในประเทศมานั่งรวมกัน โดยกำหนดว่าหนึ่งคนใช้พื้นที่นั่งหนึ่งตารางเมตร หรือ หนึ่งคูณหนึ่งเมตร คนทั้งประเทศนั้นจะนั่งกินเนื้อที่สักเท่าไร



ผลปรากฏว่าคนจำนวนประมาณ ๖๕ ล้านคน ก็ต้องการพื้นที่นั่ง ๖๕ ตารางกิโลเมตร เมื่อนำมาถอดสแควร์รูทจะได้ระยะทาง ๘.๐๖๐๒ คูณ ๘.๐๖๐๒ กิโลเมตร ตามภาพที่ลองกำหนดพื้นที่นั้น มุมล่างซ้ายของกรอบอยู่ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ มุมล่างขวานั้น อยู่ใกล้หน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง มุมบนขวานั้นอยู่ใกล้ถนนรามอินทรา และมุมบนซ้ายนั้นอยู่ใกล้ถนนประชาชื่น คนไทยทั้งประเทศประมาณ ๖๕  ล้านคน นำมานั่งรวมกันแล้วมีเท่านี้จริงๆ ซึ่งกินเนื้อที่ไม่ถึง ๑/ ๒๐ ของพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีพื้นที่รวม ๑,๕๖๙ ตารางกิโลเมตร และถ้ามองภาพรวมจากแผนที่ประเทศไทยจะพบว่า มันเป็นจุดเล็กๆในประเทศของเราเท่านั้น คนไทยมีเพียงจำนวนเท่านี้ เมื่อเทียบกับพื้นที่ทั้งประเทศ แต่ไม่สามารถแบ่งทรัพยากรให้เท่าเทียมกันได้ จนทำให้มีคนยากจน อดอยากเกิดขึ้น ปัญหามันอยู่ที่ใดกันแน่

อีกตัวเลขหนึ่งในบทความที่น่าสนใจคือ "ตามสถิติประชากรหนึ่งคนบริโภคข้าวคิดเป็นข้าวสารปีละ ๑๒๔ กิโลกรัม คน ๓๐ ล้านคนต้องใช้ข้าวประมาณ ๖ ล้านตัน" ซึ่งข้าวจำนวนนี้จะต้องใช้พื้นที่ทำนาสักเท่าไร

มีสถิติเกี่ยวกับความสามารถในการปลูกข้าวนาปีของชาวนาไทย ซึ่งพอจะใช้ประมาณการได้


จะเห็นได้ว่าพื้นที่นาที่ปลูกข้าวได้น้อยที่สุดจะอยู่ที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และจำนวนข้าวโดยเฉลี่ยที่ปลูกได้นั้นคือ ๓๓๒ กิโลกรัมต่อไร่ ซึ่งมากกว่าสองเท่าของจำนวนข้าวโดยเฉลี่ยต่อการบริโภคหนึ่งปีของหนึ่งคน และข้าวทั้งประเทศนั้นผลิตได้ ๒๗,๐๙๐,๑๘๔ ตัน (ยี่สิบเจ็ดล้านตันกว่า) ซึ่งหากประมาณว่า ๖ ล้านตันเลี้ยงคนได้ ๓๐ ล้านคน จำนวนข้าวที่เราปลูกได้แต่ละปีก็จะสามารถเลี้ยงคนได้ประมาณ ๑๓๐ ล้านคน ซึ่งมากเกือบสองเท่าของจำนวนประชากรในปีพุทธศักราช ๒๕๖๐ นี้ และนี่เป็นการคิดเฉพาะข้าวนาปีซึ่งหมายถึงปลูกปีละหนึ่งครั้งเท่านั้น หากปลูกข้าวได้ปีละสองครั้ง ปริมาณข้าวจะเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก

คำว่า เมืองไทยคืออู่ข้าวอู่น้ำ นั้น จึงไม่ใช่เรื่องที่พูดกันเกินความจริงเลย น้ำก็ท่วมมาให้เห็นๆกันแล้ว ว่าบ้านเรามีน้ำมากเพียงไร  ถ้าเรากักเก็บน้ำไว้ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพก็จะไม่ขาดแคลนน้ำ ส่วนข้าวนั้นหากพัฒนากันอย่างจริงจังก็จะผลิตได้มากกว่านี้ แต่เท่าที่ผลิตได้ก็ถือว่าล้นเหลือแล้ว แผ่นดินไทยนั้นเดิมเรียกกันว่าแหลมทอง เพราะมันมีค่าดังทองจริงๆ ขอให้ท่านที่ได้อ่านบทความนี้ โปรดช่วยกันรักษาแผ่นดินอันมีค่าดั่งทองนี้ ไว้ให้ลูกหลานของเราได้อยู่อาศัยกันอย่างสุขสบายชั่วกาลนานเทอญ

กระทู้เรื่องเก่าของอิสิ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่