เปลวพิศวาส (บทที่ 2) โดย มานัส

บทที่ 2

ทุกอย่างเป็นไปตามกรรม


ทว่าตุลย์ไม่เข้าใจว่าเขาได้กระทำอะไรถึงต้องรับผลกรรมนี้การสูญเสียพี่ชายมันก่อทุกข์มหันต์ และทวีคูณยิ่งขึ้นเมื่อเห็นมารดาต้อง…ทุกข์แสนสาหัส

คราวที่พ่อไปมีบ้านเล็กบ้านน้อยแม่ทุกข์ใจ หากแล้วก็ทำใจ…ปล่อย

เมื่อพ่อเสียชีวิตแม่ก็เสียใจ หากแล้ว…อโหสิกรรม

…ปล่อย

ทว่าครั้งนี้แม่ต้องจัดงานศพให้ลูกแม่จะต้องทุกข์เท่าไร

หัวใจที่ปวดร้าวเจียนสลายบีบหนักในเวลาที่เขากลับมาที่บ้านของเตชน์

ห้องๆ นี้แค่ขยับกายเข้าใกล้…ในความคิด แม้แค่ในความคิด ก็ทำให้ร่างทั้งร่างก็ปวดร้าว หัวมึน กล้ามเนื้อพันกันจนเจ็บแสบลำไส้ขยักอาเจียนออกมา

ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่าในมโนภาพไม่ว่าในยามหลับหรือยามตื่นทุกห้วงความทรงจำกระชากรุ่นแรง

ปืนที่ลั่นปลิดชีพพี่ชายและพี่สะใภ้

แล้วยังกระบอกที่ยิงเข้าลำตัวของเขาอย่างรวดเร็ว

“ไม่”

เสียงที่คิดว่าตะโกนมันก็แค่อยู่ในลำคอไม่ต่างจากรอยกระสุนสองนัดที่จุกในทรวงอก จะมีแค่ร่างในรถเข็นที่ทรุดลงไปข้างหน้าจนพยาบาลทั้งสองรีบเข้าประคอง

ภาพที่เกิดขึ้นชัดเจนตุลย์จำหน้าคนร้ายได้ และทั้งคนโดนจับได้แล้ว

ทว่าภาพอย่างอื่น…ลางเลือนนัก

ความเงียบสงัด

ความมืดอนธการ

ไม่มีอากาศ…ไม่มีลมหายใจ

ไม่มีแม้แต่แสงทึมสีทับทิมเลือดที่ปรับแปรเปลี่ยนเป็นความมืดสนิท




“กาก้า!”

ทันสิ้นคำสุนัขตัวเล็กพันธ์ผสมทีมีโซ่รัดแน่นรอบคอก็วิ่งกระโจนเข้าหาคนที่นั่งบนรถเข็นทันทีไม่สนใจคนแปลกหน้าคนอื่น

สุนัขตัวเล็กถูกอุ้มมาไว้บนตักเลียหน้าเลียตาผู้เป็นเจ้านาย

อาการคิดถึงไม่ได้เจอมานาน ซ้ำความเป็นห่วง สักพักสุนัขตัวนั้นจึงนอนสงบนิ่ง

“ไอ้บ้า”รอยยิ้มของ…เจ้าของแจ่มชัดแม้ในคืนเดือนมืด

และแม้เมื่อสุนัขตัวน้อยจะคำรามใส่ใครอื่นที่อยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือทว่าร่างเล็กเท่าอ้อมแขน ขนปุยหยาบ นอนเหยียดยาวอย่างสบายใจมักจะมีสีหน้าแววตาอ่อนโยนเอาใจทุกครั้งที่ชำเลืองยังผู้เป็นนาย

จะขัดใจ…ก็คนที่เข็นรถเข็นและยังอีกหลายคนที่อยู่รอบข้าง

หากอากัปกิริยามักสงบเมื่อโดนผู้เป็นนายดุจะมีก็เสียงแลบลิ้น หายใจหนักหน่วง

“ตัวแค่นี้ดุชะมัด” พยาบาลคู่ใจบอก หวาดหวั่นในที

“ไม่ดุหรอกถ้าไม่เอาสิ่งที่ไม่ใช่ของเรา หรือถ้าไม่ปรารถนาดีกับเรา หมามันรู้ ใครดี ไม่ดี”

แทบทุกคนในระแวกนี้รู้…กาก้าไม่เคยเกรงกลัวผู้ใด

ไม่เคยฟังคำสั่งผู้ใด

จะหยุดร้องเรียกหาผู้เป็นนายเมื่อแน่ใจแล้วว่านายกลับกรุงเทพฯ ไปแล้ว

มีนายคนเดียวผู้เดียวเท่านั้นที่ดุกาก้าได้

“หยุด! กูรำคาญ!” ยามดุ คนที่มักอ่อนโยนก็ดุนักหนา คิ้วขมวด ตาวาววับ ไรกรามขบแน่นแลดูน่ากลัว

และคำรามแค่นั้นทำให้ทุกสรรพเสียงเงียบไปในบัดดล ยุงที่บินว่อนรายรอบสองพยาบาลก็เหมือนว่าจะหายไป ไม่มีแม้เสียงจิ้งหรีดเรไรจะเหลือแค่เพียงเสียงครางของสุนัขตัวน้อยที่หมอบลงบนตักผู้เป็นนาย

คืนนี้ไร้แสงจันทร์ส่องไฟที่สลัวของบ้านส่องให้ที่อยู่เป็นเงาที่หลบหลีกซ่อนเร้นทำให้บ้านเก่าแลดูน่าพิศวง

บ้านนี้…เมื่อก่อนเคยยิ่งใหญ่เพียงใดบัดนี้ เหลือเพียงร่องรอยของเงาอดีตเท่านั้น

บ้านที่มีเนื้อที่หลายไร่แห่งนี้เป็นสิ่งที่สังคมในต่างจังหวัด…มอง

เหตุการณ์ฆาตกรรมแม้ไม่ได้เกิดขึ้นที่นี่แต่มันเกี่ยวกับคนจากบ้านหลังนี้ เกี่ยวกับเขา

และตุลย์ก็…มอง

กวาดสายตาไปรอบๆตัว

บ้านหลังนี้มีอายุมากมายนักมากเกินกว่าที่ทายาทจะรักษาไว้ได้ผนังที่ทำจากไม้ถูกกัดเซาะให้หลุดล่วงจนข้างฝาด้านหนึ่งมีเพียงโพลงอากาศ

เมื่อก่อนมันเคยโอ่อ่ามีคนพักอาศัย แต่บัดนี้มีคนนอน แต่นอนเพราะความจำเป็น บางคน…นอนเพราะไม่มีที่ไหนจะสบายและประหยัดเท่าที่นี่

บ้านที่หลายคนอยากอยู่แต่ไม่มีใครอยากรักษา

‘ให้แม่ย้ายออกมาแกก็ด้วย แล้วมาอยู่กับพี่’ พี่ชายของเขาได้บอกไว้หลายครั้ง เมื่อสร้างบ้านพักที่อยู่ด้านติดกับเทวนิรมิต‘ใครอยากได้อะไรก็ให้ๆ เขาไป’

‘แล้วทำไมต้องให้ทำไมต้องยอม’ ชายหนุ่มแย้ง ‘มันไม่ถูกต้องทำไมเราต้องยอมให้กับความไม่ถูกต้อง พี่เตชน์ยอมพวกเขามากไปหรือเปล่า’

ประโยคหลังตั้งใจเตือนพี่ชายเพราะการยอมที่เกือบไร้สิ้นขอบเขต การเลือกที่จะให้ เพียงเพื่อหลีกปัญหา

‘ยิ่งยอมก็ยิ่งต้องให้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด’ ตุลย์สรุปเสียงแข็ง ‘การยอมก้มหัวให้สิ่งที่ไม่ถูกต้อง หมายความว่าเรายินยอมให้ความผิดอยู่เหนือความถูก’

ผิดถูกเขาชัดเจนเสมอ

อะไรที่ไม่ถูกต้องก็จะไม่ยอม

และนั่นทำให้ต้องคิด

หรือว่าการ…ไม่ยอมมันนำพามาสู่โศกนาฏกรรมครั้งนี้

หรือเป็นเพราะเขาเอง




การฟื้นตัวหลังออกจากโรงพยาบาลนั้นเป็นไปอย่างรวดเร็วใช้เวลาเพียงอาทิตย์กว่าความเจ็บก็หายสนิท บาดแผลแห้ง ไม่มีรอยสะเก็ด หรือรอยฟกช้ำ

ร่างกายแข็งแรงมีแรงขึ้นกว่าเดิมในทุกวันที่พ้นผ่าน

แต่จิตใจ…ยังต้องใช้เวลา

และตุลย์ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่คอนโดที่กรุงเทพฯไปทำงาน สลับกับการกลับมาพักที่ บ้านใหญ่ ใช้ชีวิตราวว่าทุกอย่าง…ปรกติ

ผ่านมายังไม่ถึงสามอาทิตย์แม้ร่างกายเขาจะเป็นปรกติอย่างเร็ว แต่ใจ…ไม่

ที่ทำงานให้เขาลางานได้สองอาทิตย์ใช้เวลานี้รักษาตัว ดูและเรื่องงานศพของพี่ชายและพี่สะใภ้

พอครบกำหนดและอาการทางกายดีขึ้นตามลำดับ เวลาก็ยังมีเหลือเผื่อสำหรับเที่ยว กิน ดื่ม โดยมีบรรดาผู้หญิงที่เขา…คุย…ผลัดกันมาดูแลจนไม่เคยต้องเหงา

ตุลย์…คุย

ยังไม่พร้อม…คบ

ไม่ว่าใครทั้งนั้นแม้กระทั่งกับมัทนาที่เขา…คุย และเคยให้ความสำคัญเป็นพิเศษตลอดระยะเวลาหลายเดือนตั้งแต่ก่อนที่เขาจะเลิกกับคนที่เคย…คบ เมื่อหลายเดือนก่อน

คุย…แต่ความสัมพันธ์ก็ไปเรื่อยๆเพราะเขายังไม่พร้อมที่จะผูกมัดอีกครั้ง

คุย…เพราะเขาก็รู้ว่ามัทนาก็มีคนที่เธอ…คบ

“กูไม่อยากเป็นมือที่สามระหว่างขวัญกับคนๆนั้นว่ะ” ตุลย์เคยเปรยกับประทีปเพื่อนสนิท

Do unto others…ไม่อยากโดนกระทำสิ่งไหนเราก็ไม่ควรกระทำสิ่งนั้นเอง

เขาเลือกที่จะถอยห่างออกมา

“ถอย…เพราะไม่อยากเป็นมือที่สามหรือเพราะมีใครในใจ” การย้อนถามของเพื่อนทำให้ตุลย์คิด

เขาจะมีใครได้ล่ะ

แค่คิด…ชายหนุ่มก็ถอนหายใจยาว

เพราะหลังเสร็จสิ้นงานศพของพี่ชายและพี่สะใภ้

ความคิดของเขามักแล่นไปยังผู้หญิงคนนั้น!

น่าแปลกไม่ใช่…ขวัญ!

ขวัญหรือมัทนา ผู้เป็นยอดปรารถนาของเขาในช่วงเกือบครึ่งปีที่ผ่านมา เธอมีใจให้เขาเพียงแต่ว่าเธออาจจะมีใคร ตุลย์จึงใช้เวลาคุย ดูให้แน่แม้ว่าใจของเขาต้องการครอบครองเหลือเกิน แต่ก็ต้องหักห้าม…ดูไปก่อน

ทำให้ถูกต้อง

ทว่าความคิดตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่มัทนาอีกต่อไปและไม่ใช่อยู่ที่ผู้หญิงที่เรียกเขา…อิสสโร!

ผู้หญิงที่เขาไม่คุ้นเคยในน้ำเสียงและมีความรู้สึกว่า…ไม่อยากรู้จัก ไม่อยากเข้าใกล้

หากความคิดที่พรั่งพรูตอนนี้จดจ่อยังผู้หญิงอีกคน คนที่เคยกระซิบเสียงแผ่วในคืนนั้นที่เขาเมาหนัก…อย่าค่ะ

ต่อให้ปากเธอบอกว่า…อย่า แต่ร่างกายกลับกระทำตรงกันข้ามแล้วยังริมฝีปากนุ่มที่ตอบรับด้วยอารมณ์พิศวาสอันดื่มด่ำไม่ต่างกันเลย

ผู้หญิงที่เขาจำหน้าไม่ได้

จำเสียงไม่ได้

จำอะไรแทบไม่ได้นอกจากความทรงจำสีจางๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้น

กับความสุขสมบนความมึนเมา…หรือเมามัว

เมาเหล้าเมาอารมณ์

หลังจากเกิดเหตุการณ์คืนนั้นเขารู้สึกผิด พยายาม…หนี พยายาม…ห่าง

พยายาม…ลืม

มันควรเป็นเพียงความสัมพันธ์ง่ายๆความสุขแค่คืนเดียว ไม่ต้องไปจริงจัง เป็นแค่ความผิดพลาด…A Mistake

หากหลังจากคืนนั้นเขาไม่กล้ามองหน้าตัวเองในกระจกไม่กล้าแม้จะเปิดไฟเวลาอาบน้ำ ไม่กล้ามองเงาตัวเอง เพราะรู้ว่า…ผิด

ไม่กล้าแม้แต่จะคิดถึงเรื่องคืนนั้นหรือคิดถึงผู้หญิงคนนั้น

ทว่าหลังฟื้นจากอาการบาดเจ็บเขากลับอยากจำ อยากเข้าหา อยากเห็นหน้า อยากรู้จัก

นับวันก็ยิ่งร้อนรน

ทำไมหนอ…รู้สึกผิด

รู้สึกต้องการ

รู้สึกคิดจนคิดถึงจนแทบห้ามใจไม่ไหว




“ตำรวจสงสัยแกพุ่งเป้าเรื่องผลประโยชน์ในเทวนิรมิต” ประทีป ผู้รับหน้าที่เป็นทนายให้เพื่อนเตือน

“จะบ้าเหรอ”ตุลย์สบถอย่างหัวเสีย “ฉันไม่เคยยุ่งกับเทวนิรมิตอยู่แล้วไม่ได้อยากยุ่งเสียด้วยซ้ำ แค่ถือหุ้นพอเป็นพิธีและก็ไม่ได้อยากจะได้อะไรของพี่เตชน์ด้วย”

“พี่เตชน์ตายไปสมบัติก็ต้องไปอยู่ที่แม่ของแกซึ่งมีลูกเหลืออยู่คนเดียวก็คือ…”

“ฉัน!” ผู้ต้องสงสัยลงเสียงหนัก“ทำไมมันเป็นแบบนี้วะ ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย”

จะยุติธรรมได้อย่างไรเขาเสียพี่ชายและพี่สะใภ้ จำต้องเห็นแม่เสียใจแสนสาหัส จนร่างกายทรุดโทรม แล้วนี่…ยังต้องตกเป็นผู้สงสัยว่าฆ่าพี่ชายเพื่อสมบัติอีก

ถ้าโดนข้อกล่าวหานี้จริงๆคนที่ต้องเสียใจที่สุดก็คือแม่

“ตำรวจก็ต้องตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนเพราะความจริงมันเป็นเช่นนั้นอีกอย่างไอ้พวกเดนนรกมันก็ให้การพาดพิงว่าแกเป็นคนว่าจ้าง”

กำปั้นหนักของผู้เป็นเพื่อนทุบดังปัง! ลงบนโต๊ะ จนปากกาที่วางกระเด้งเล็กน้อย ทว่าคนเป็นทนายแทบจะลุกหนี

“เฮ้ย!”

“มันก็แค่กล่าวหาเลื่อนลอยแต่ไม่มีหลักฐาน แต่เรื่องนี้ไม่ต้องห่วงฉันดูให้อยู่แล้วว่าแต่แกสงสัยใครบ้างไหมวะ”

“พี่เตชน์เป็นคนดีเรื่องปัญหาทางธุรกิจ คู่แข่งก็มีเป็นธรรมดาแต่ไม่น่าจะมีศัตรูที่จะเล่นเอากันถึงตาย”

“หรือว่ามันเจาะจงแก”ประทีปตั้งข้อสงสัย

“ฉันจะไปมีอะไร้ส่วนมากก็ไอ้พวกที่ฉ้อโกงในออฟฟิศ เพราะฉันไม่กินตามน้ำ”

“แล้วที่แกชอบไปมีเรื่องกับชาวบ้าน”

“พวกนั้นทำผิดเองหาเรื่องเอง จะมาแค้นอะไรฉันล่ะ” สีหน้าของเขาครุ่นคิดหนักการถอนหายใจหนักหน่วงนัก “แต่ก็น่าจะเล่นงานฉันที่กรุงเทพไม่น่าตามไปถึงบ้านพี่เตชน์ให้วุ่นวาย”

“ก็จริง…”คนเป็นทนายพยักหน้าเห็นด้วยแต่เขาก็มีหน้าที่ต้องมองทุกแง่ ทุกมุมไม่ใช่แค่เพียงตั้งรับ หากจู่โจมเพื่อปกป้องผู้เป็นทั้งเพื่อนและลูกความของเขา“เออ…นั่นกับข้าวและขนม แม่แกฝากมาให้”

ขนมและของกินวางกองเป็นกองโตใกล้ทางเข้าห้องคอนโดใหญ่

“ทำไมเยอะจังวะ”

“ก็ไปถามแม่แกดิสงสัยคิดว่าแกจะไม่กลับหลายอาทิตย์มั้ง”

“ก็ต้องกลับไปให้ปากคำอยู่ดี”ตุลย์รู้สึกเหนื่อยหน่าย “ถ้าแกจะกลับแล้วเดี๋ยวฉันเดินลงไปส่ง”

คนพูดหยิบมือถือและกุญแจห้องพร้อมๆกับถุงขนมสามถุง

“นั่นเอาไปไหน”

“ให้ป้าแม่บ้านแล้วก็พี่รปภ”

“แกนี่มันใจดีตลอดคิดว่าแค่จะป๋ากับพวกสาวๆ”

“ไอ้บ้าฉันก็ใจดีกับทุกคน ของกินนี่เยอะแยะไปหมด แบ่งให้เขาเป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆก็ไม่เห็นเป็นไร”

น้ำใจ…ตุลย์มีให้เสมอให้ทุกคน ตามสมควร และตามกาลเทศะ

ไม่ค่อยใจร้ายกับใครนัก

แต่ถ้าร้าย…

“ตอนดีก็ดีแสนดี แต่ตอนร้ายนี่มันน่ากลัวชะมัด”ประทีปผู้เป็นเพื่อนสนิทจำกัดคำนิยามเช่นนั้น และในเวลานี้ก็ยังคงย้ำอย่างนั้น

“แล้วตอนเมา”เพื่อนอีกคนแซว

“มันก็จะเลวร้ายไปตามอารมณ์หรือดีงามไปตามประเภทของเหล้า”

เหล้า…พอเข้าปากมันไม่ใช่แค่เปลี่ยนนิสัย

แต่เปลี่ยนการกระทำ

เปลี่ยนความคิด

เปลี่ยนอารมณ์

หรือแม้แต่เปลี่ยนความคิดถึง








(ต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่