สวัสดีครับทุกท่าน นำตอนใหม่มาให้อ่านกันอีกแล้ว คราวนี้เรามาโฟกัสที่ผู้ตายบ้างนะครับ ลองคิดกันดูว่าฆาตกรคือใคร
โปรดทราบก่อนอ่าน
******สำหรับคนที่ติดตามอ่านการสืบคดีของปลายฟ้าในระบบเรื่องสั้น [ปลายฟ้ากับคดีปริศนา] ที่ผมลงให้อ่านกันในถนนนักเขียนอยู่ตอนนี้ ต้องแจ้งก่อนว่าตัวเรื่องนี้เป็นเรื่องราวก่อนคดีที่ 1 ฆาตกรรมกลางทะเล ของชุดนั้นเลยแหละครับ (และต่อจากชุด "ปลาย นักสืบจำเป็น" ที่เคยตีพิมพ์เมื่อนานมาแล้ว) โดยตัวเรื่องนี้มีลักษณะเป็นแบบนิยายเรื่องยาวหลายตอนจบอีกด้วย ซึ่งส่วนใหญ่ผมไม่ค่อยเขียนเรื่องยาวๆเท่าไร ลองอ่านกันดูครับ ส่วนใครที่เคยอ่านแล้วก็ลองอ่านอีกรอบก็ได้นะครับ*******
ลิ้งตอนที่ผ่านมาครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ตอนที่ 1 ปลายฟ้า พิทักษ์ธรรม์
https://ppantip.com/topic/37066376
ตอนที่ 2 พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์
https://ppantip.com/topic/37083267
ตอนที่ 3 ศพและของหาย
https://ppantip.com/topic/37107432
ตอนที่ 4 สารวัตรวิทยา
https://ppantip.com/topic/37130343
ตอนที่ 5 ห้องนิทรรศการเปิดโลกเทคโนโลยี
https://ppantip.com/topic/37140547
ตอนที่ 6 คนตายที่ห้องทดลอง
https://ppantip.com/topic/37152856
ตอนที่ 7 ห้องทดลองที่เกิดเหตุ
https://ppantip.com/topic/37163356
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ตอนที่ 8 : เด็กสาวผู้ตาย
จากการพบศพเด็กสาวในนิทรรศการ ทำให้พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติขาดรายได้ไปพอสมควร ผู้ชมลดลงไปอย่างมาก แต่ว่าที่นี่ก็ยังเปิดบริการตามปกติ ปิดเพียงส่วนห้องนิทรรศการเปิดโลกเทคโนโลยีเท่านั้น
เป็นเหตุให้ปรีชา เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลประจำนิทรรศการเปิดโลกเทคโนโลยีต้องถูกโยกมาช่วยงานที่อาคารสำนักงานแทนไปก่อน
และแน่นอนว่าเมื่อเกิดเหตุเช่นนี้ขึ้น ผู้คนภายในพิพิธภัณฑ์ก็ต้องมีการพูดถึง จับกลุ่มแสดงความคิดเห็นกันไปต่าง ๆ นานา
ประเด็นที่ทุกคนสนใจย่อมเป็น ผู้ใดคือคนทำเรื่องทั้งหมด
ทำให้ในช่วงพักกลางวันที่โรงอาหารของพิพิธภัณฑ์ เหล่าเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลนิทรรศการที่มาทานอาหาร เอาแต่พูดคุยถึงเรื่องนี้เป็นส่วนใหญ่
เจ้าหน้าที่ที่กำลังทานอาหารอยู่ตอนนี้มีปรีชา วาสนา สาธิต ปรเมศ สุภาพ และกนกวรรณ เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ที่มาทานอยู่ก่อนแล้ว
“ลำบากหน่อยนะครับพี่ปรีชา” สุภาพพูดขึ้นมา
“อื้อ..” ปรีชาผงกศีรษะรับ “ไอ้ฉันก็ซวยไปด้วยเนี่ย... โดนผู้ใหญ่เพ่งเล็ง แถมตำรวจก็ยังสงสัยฉันอีกด้วย หาว่าฉันมีโอกาสมากที่สุด เพราะเป็นคนปิดห้อง”
“เอาน่า.. ถ้าแกไม่ได้ทำ ตำรวจก็คงไม่จับมั่วหรอก” วาสนาสวนขึ้นมา
“เออ.. ก็หวังว่าเป็นอย่างนั้น แค่นี้ซวยมากพอแล้ว ขอให้ตำรวจจับคนทำได้เร็ว ๆ จะได้สบายสักที” ปรีชาพูดอีก
“แต่มีคนตายในห้องเนี่ย.. น่ากลัวเนอะ” กนกวรรณพูดขึ้นบ้าง “เป็นหนูคงไม่กล้าอยู่ในห้องนั้นหรอก ตอนนี้แค่เดินผ่านก็หลอน ๆ แล้ว”
“นั่นแหละ พี่ก็กลัวเหมือนกัน” เจ้าของนิทรรศการที่เกิดเหตุว่าต่อ “แต่ถ้ามีคำสั่งให้ดูแลต่อ ก็ต้องทำ ไม่ทำก็ไม่ได้ คงไม่มีใครมาแทนแน่”
“แล้วแกคิดว่าใครเป็นคนทำ?” วาสนาถาม
“ไม่รู้ ถ้ารู้ฉันคงบอกตำรวจไปแล้ว แต่ที่แน่ ๆ ฉันไม่ได้ทำ! ใครจะไปทำให้ตัวเองซวย” แล้วเขาก็ยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม ค่อยพูดต่อ “แล้วคิดว่าเป็นใครกันล่ะ?”
วาสนานิ่งคิด แต่ก็ไม่รู้ว่าใครเหมือนกัน ไม่ผิดกับคนอื่น เพราะไม่สามารถชี้ชัดว่าเป็นใครได้เลย
ซึ่งมันก็เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว เพราะหากรู้ตัวฆาตกรง่าย ๆ คงไม่ต้องมาสุมหัวกันถึงขนาดนี้
“ไม่รู้เลย” วาสนาส่ายหน้าบ่งบอกถึงความไม่รู้อย่างชัดเจน
“หนูว่ามันต้องดูก่อนว่าเด็กที่ตายเกี่ยวข้องอะไรกับใครหรือเปล่า” กนกวรรณออกความเห็น
“นั่นสิ” ปรีชาพยักหน้ารับ “แต่คงไม่ใช่คนในของเราหรอก เพราะเด็กที่ตายไม่ได้เกี่ยวข้องกับใครเลย”
“ผมก็ว่างั้น” ปรเมศพูดขึ้นบ้าง “ถ้าเป็นคนในมันก็แย่เกินไป”
แต่สาธิตกลับพูดว่า “มันจะเป็นอย่างนั้นเหรอ... อาจจะเป็นคนในจริง ๆ ก็ได้ เผลอ ๆ อาจจะเป็นหนึ่งในพวกเราที่นั่งอยู่ตรงนี้ด้วย”
“พูดบ้า ๆ” วาสนาเถียงทันที “จะเป็นพวกเราได้ไง จะฆ่าเด็กไปเพื่ออะไร สาธิต..แกนี่ ชอบพาเสียเรื่องหมด”
“ฉันก็มีสิทธิ์สันนิษฐานของฉันนะพี่ แล้วอย่าลืมของที่หายไปด้วยล่ะ โปรเจคเตอร์กับกล้องอินฟราเรด มันหลายตังก์นะ”
“แต่ถ้าของหายก็แสดงว่า คนทำอาจจะต้องการเงินก็ได้” ปรเมศเสริม
“อืม.. ก็เป็นไปได้นะ” วาสนาบอก “แต่ใครล่ะที่ต้องการเงินขนาดนั้น”
“ร้อนเงินเหรอ...” ปรีชานิ่งคิด “ที่ฉันรู้ก็มีอยู่คนหนึ่ง”
“ใครล่ะ?” วาสนาถามทันที
“หึ.. ยังไม่บอก ไม่ชอบปรักปรำใคร เอาเป็นว่าไม่ใช่ทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่หรอก ไว้ฉันจะไปคุยกับเจ้าตัวเอง”
“บอกหน่อยเถอะ” เจ้าแม่ประจำตึกอ้อนวอน แถมทำท่าทางประกอบด้วย
“ไม่บอกวุ้ย.” ฝ่ายชายสวนตอบเสียงแข็ง
“เออ ไว้สืบเองก็ได้ เห็นยัยพร(หมายถึงปิยะพร)บอกว่าจะไปให้ข้อมูลกับตำรวจ ท่าทางคงรู้อะไรบางอย่างอยู่ ไว้ฉันจะไปถามมันดู”
“หือ... เรื่องอะไร?” ปรีชาถาม
“ไม่รู้นะ ยัยพรไม่ยอมบอก บอกแค่ว่าพรุ่งนี้จะไปบอกตำรวจ แต่ดูมันจะสองจิตสองใจอยู่ อาจจะไม่มั่นใจ ถึงไม่ยอมบอกตำรวจตั้งแต่ทีแรก”
“อย่างนั้นถึงพรุ่งนี้ก็คงรู้เองแหละ” สาธิตพูดขึ้นอีกครั้ง พลางยกแก้วน้ำดื่ม แล้วพูดต่อว่า “เดี๋ยวขอตัวก่อนนะ ต้องไปฉายดาวอีก”
ว่าแล้วเขาก็เดินออกจากโรงอาหารไป
พอสาธิตออกไปแล้ว ปรีชาก็หันคุยกับวาสนาว่า “รู้สึกว่าไอ้สาธิตมันแปลก ๆ ไปไหม?”
“เหรอ...” วาสนาบอก “ไม่มั้ง มันก็เป็นของมันแบบนี้แหละ มันเป็นตั้งแต่เข้าทำงานแล้ว ชอบขัดชาวบ้านไปเรื่อย ขวางโลกอยู่ประจำ ช่างมันเถอะ อย่าไปสนใจเลย”
“เออ ก็แล้วไป”
ไม่นานทั้งหมดก็เดินออกจากโรงอาหารไปบ้าง
(มีต่อครับ)
ปลายฟ้ากับปริศนาฆาตกรรม [Case 1 : ฆาตกรรมที่พิพิธภัณฑ์] - ตอนที่ 8 เด็กสาวผู้ตาย
โปรดทราบก่อนอ่าน
******สำหรับคนที่ติดตามอ่านการสืบคดีของปลายฟ้าในระบบเรื่องสั้น [ปลายฟ้ากับคดีปริศนา] ที่ผมลงให้อ่านกันในถนนนักเขียนอยู่ตอนนี้ ต้องแจ้งก่อนว่าตัวเรื่องนี้เป็นเรื่องราวก่อนคดีที่ 1 ฆาตกรรมกลางทะเล ของชุดนั้นเลยแหละครับ (และต่อจากชุด "ปลาย นักสืบจำเป็น" ที่เคยตีพิมพ์เมื่อนานมาแล้ว) โดยตัวเรื่องนี้มีลักษณะเป็นแบบนิยายเรื่องยาวหลายตอนจบอีกด้วย ซึ่งส่วนใหญ่ผมไม่ค่อยเขียนเรื่องยาวๆเท่าไร ลองอ่านกันดูครับ ส่วนใครที่เคยอ่านแล้วก็ลองอ่านอีกรอบก็ได้นะครับ*******
ลิ้งตอนที่ผ่านมาครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ตอนที่ 8 : เด็กสาวผู้ตาย
จากการพบศพเด็กสาวในนิทรรศการ ทำให้พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติขาดรายได้ไปพอสมควร ผู้ชมลดลงไปอย่างมาก แต่ว่าที่นี่ก็ยังเปิดบริการตามปกติ ปิดเพียงส่วนห้องนิทรรศการเปิดโลกเทคโนโลยีเท่านั้น
เป็นเหตุให้ปรีชา เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลประจำนิทรรศการเปิดโลกเทคโนโลยีต้องถูกโยกมาช่วยงานที่อาคารสำนักงานแทนไปก่อน
และแน่นอนว่าเมื่อเกิดเหตุเช่นนี้ขึ้น ผู้คนภายในพิพิธภัณฑ์ก็ต้องมีการพูดถึง จับกลุ่มแสดงความคิดเห็นกันไปต่าง ๆ นานา
ประเด็นที่ทุกคนสนใจย่อมเป็น ผู้ใดคือคนทำเรื่องทั้งหมด
ทำให้ในช่วงพักกลางวันที่โรงอาหารของพิพิธภัณฑ์ เหล่าเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลนิทรรศการที่มาทานอาหาร เอาแต่พูดคุยถึงเรื่องนี้เป็นส่วนใหญ่
เจ้าหน้าที่ที่กำลังทานอาหารอยู่ตอนนี้มีปรีชา วาสนา สาธิต ปรเมศ สุภาพ และกนกวรรณ เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ที่มาทานอยู่ก่อนแล้ว
“ลำบากหน่อยนะครับพี่ปรีชา” สุภาพพูดขึ้นมา
“อื้อ..” ปรีชาผงกศีรษะรับ “ไอ้ฉันก็ซวยไปด้วยเนี่ย... โดนผู้ใหญ่เพ่งเล็ง แถมตำรวจก็ยังสงสัยฉันอีกด้วย หาว่าฉันมีโอกาสมากที่สุด เพราะเป็นคนปิดห้อง”
“เอาน่า.. ถ้าแกไม่ได้ทำ ตำรวจก็คงไม่จับมั่วหรอก” วาสนาสวนขึ้นมา
“เออ.. ก็หวังว่าเป็นอย่างนั้น แค่นี้ซวยมากพอแล้ว ขอให้ตำรวจจับคนทำได้เร็ว ๆ จะได้สบายสักที” ปรีชาพูดอีก
“แต่มีคนตายในห้องเนี่ย.. น่ากลัวเนอะ” กนกวรรณพูดขึ้นบ้าง “เป็นหนูคงไม่กล้าอยู่ในห้องนั้นหรอก ตอนนี้แค่เดินผ่านก็หลอน ๆ แล้ว”
“นั่นแหละ พี่ก็กลัวเหมือนกัน” เจ้าของนิทรรศการที่เกิดเหตุว่าต่อ “แต่ถ้ามีคำสั่งให้ดูแลต่อ ก็ต้องทำ ไม่ทำก็ไม่ได้ คงไม่มีใครมาแทนแน่”
“แล้วแกคิดว่าใครเป็นคนทำ?” วาสนาถาม
“ไม่รู้ ถ้ารู้ฉันคงบอกตำรวจไปแล้ว แต่ที่แน่ ๆ ฉันไม่ได้ทำ! ใครจะไปทำให้ตัวเองซวย” แล้วเขาก็ยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม ค่อยพูดต่อ “แล้วคิดว่าเป็นใครกันล่ะ?”
วาสนานิ่งคิด แต่ก็ไม่รู้ว่าใครเหมือนกัน ไม่ผิดกับคนอื่น เพราะไม่สามารถชี้ชัดว่าเป็นใครได้เลย
ซึ่งมันก็เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว เพราะหากรู้ตัวฆาตกรง่าย ๆ คงไม่ต้องมาสุมหัวกันถึงขนาดนี้
“ไม่รู้เลย” วาสนาส่ายหน้าบ่งบอกถึงความไม่รู้อย่างชัดเจน
“หนูว่ามันต้องดูก่อนว่าเด็กที่ตายเกี่ยวข้องอะไรกับใครหรือเปล่า” กนกวรรณออกความเห็น
“นั่นสิ” ปรีชาพยักหน้ารับ “แต่คงไม่ใช่คนในของเราหรอก เพราะเด็กที่ตายไม่ได้เกี่ยวข้องกับใครเลย”
“ผมก็ว่างั้น” ปรเมศพูดขึ้นบ้าง “ถ้าเป็นคนในมันก็แย่เกินไป”
แต่สาธิตกลับพูดว่า “มันจะเป็นอย่างนั้นเหรอ... อาจจะเป็นคนในจริง ๆ ก็ได้ เผลอ ๆ อาจจะเป็นหนึ่งในพวกเราที่นั่งอยู่ตรงนี้ด้วย”
“พูดบ้า ๆ” วาสนาเถียงทันที “จะเป็นพวกเราได้ไง จะฆ่าเด็กไปเพื่ออะไร สาธิต..แกนี่ ชอบพาเสียเรื่องหมด”
“ฉันก็มีสิทธิ์สันนิษฐานของฉันนะพี่ แล้วอย่าลืมของที่หายไปด้วยล่ะ โปรเจคเตอร์กับกล้องอินฟราเรด มันหลายตังก์นะ”
“แต่ถ้าของหายก็แสดงว่า คนทำอาจจะต้องการเงินก็ได้” ปรเมศเสริม
“อืม.. ก็เป็นไปได้นะ” วาสนาบอก “แต่ใครล่ะที่ต้องการเงินขนาดนั้น”
“ร้อนเงินเหรอ...” ปรีชานิ่งคิด “ที่ฉันรู้ก็มีอยู่คนหนึ่ง”
“ใครล่ะ?” วาสนาถามทันที
“หึ.. ยังไม่บอก ไม่ชอบปรักปรำใคร เอาเป็นว่าไม่ใช่ทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่หรอก ไว้ฉันจะไปคุยกับเจ้าตัวเอง”
“บอกหน่อยเถอะ” เจ้าแม่ประจำตึกอ้อนวอน แถมทำท่าทางประกอบด้วย
“ไม่บอกวุ้ย.” ฝ่ายชายสวนตอบเสียงแข็ง
“เออ ไว้สืบเองก็ได้ เห็นยัยพร(หมายถึงปิยะพร)บอกว่าจะไปให้ข้อมูลกับตำรวจ ท่าทางคงรู้อะไรบางอย่างอยู่ ไว้ฉันจะไปถามมันดู”
“หือ... เรื่องอะไร?” ปรีชาถาม
“ไม่รู้นะ ยัยพรไม่ยอมบอก บอกแค่ว่าพรุ่งนี้จะไปบอกตำรวจ แต่ดูมันจะสองจิตสองใจอยู่ อาจจะไม่มั่นใจ ถึงไม่ยอมบอกตำรวจตั้งแต่ทีแรก”
“อย่างนั้นถึงพรุ่งนี้ก็คงรู้เองแหละ” สาธิตพูดขึ้นอีกครั้ง พลางยกแก้วน้ำดื่ม แล้วพูดต่อว่า “เดี๋ยวขอตัวก่อนนะ ต้องไปฉายดาวอีก”
ว่าแล้วเขาก็เดินออกจากโรงอาหารไป
พอสาธิตออกไปแล้ว ปรีชาก็หันคุยกับวาสนาว่า “รู้สึกว่าไอ้สาธิตมันแปลก ๆ ไปไหม?”
“เหรอ...” วาสนาบอก “ไม่มั้ง มันก็เป็นของมันแบบนี้แหละ มันเป็นตั้งแต่เข้าทำงานแล้ว ชอบขัดชาวบ้านไปเรื่อย ขวางโลกอยู่ประจำ ช่างมันเถอะ อย่าไปสนใจเลย”
“เออ ก็แล้วไป”
ไม่นานทั้งหมดก็เดินออกจากโรงอาหารไปบ้าง
(มีต่อครับ)