....มองเห็นลูก ผูกพัน ขวัญชีวิต
ครั้นครวญคิด ขึ้นมา น้ำตาไหล
เรานี่หนา โตมา เพราะว่าใคร
ฝากอาลัย ไว้ในงาน การประพันธ์
...แม่แกงส้ม ต้มเค็ม ไว้เต็มหม้อ
ตักมารอ ในสำรับ สำหรับขวัญ
ลูกหญิงชาย รายเรียง นั่งเคียงกัน
ใต้แสงอัน พร่าเพียง ตะเกียงไฟ
...อิ่มข้าวแล้ว แก้วตา อย่าเพิ่งหนี
รอน้องพี่ เก็บด้วย ถ้วยชามไห
แม่จะเล่า เรื่องเก่าก่อน ไว้สอนใจ
อาจชวนให้ ได้คิด พินิจพา
..เรื่องเก่าเก่า เล่ามาแต่ แม่ยังเล็ก
ยังมีเด็ก หญิงน้อย ด้อยชันษา
เธออาศัย อยู่ในย่าน อยุธยา
ใกล้วัดวา ป่าปรก รกครึ้มไป
..ยามโพล้เพล้ เร่เล่น แอบเร้นเพื่อน
หลบมาเยือน หลังวัดนั้น ไม่หวั่นไหว
ด้วยซุกซน จนไม่เห็น สิ่งเป็นภัย
ลัดเลาะไม้ มุดข้าม ตามใจตัว
...แสงตะวัน พลันลับ อยากกลับบ้าน
ด้วยทางผ่าน กลับนั้น มันสลัว
พอมืดค่ำ ย่ำเท้า เจ้าจะกลัว
ฟ้ายิ่งมัว ก็ยิ่งรน กระวนกระวาย
...สายลมโศก โบกโบย มาโชยฉ่ำ
ใจระส่ำ จะให้เพลิน ก็เพลินหาย
พอเดินเรื่อย เหนื่อยมา เหมือนตาลาย
มองคลับคล้าย มีโอ่งวาง อยู่กลางลาน
...ด้วยแปลกตา ขาไป มิได้พบ
จึงจะหลบ ออกไกล ใจไม่หาญ
แต่ใจหนึ่ง ซึ่งสู้ อยู่เอาการ
สั่งให้คลาน ไปให้เห็น คงเป็นดี
...ในป่าเปลี่ยว เหลียวหา พาใจหาย
ล้อมรอบกาย ก็ดูคล้าย พรายภูตผี
ยืนหยอกเย้า หรือมาเฝ้า เอาชีวี
น่าขวัญหนี ดีฝ่อ หนอแม่คุณ
...คนเรานั้น มันย่อมมี ดีกันบ้าง
อาจแตกต่าง ด้วยกรรม ที่นำหนุน
ฐานันดร ตอนกำเนิด เกิดจากบุญ
แต่ต้นทุน กำลังจิต ต้องคิดเอง
...จึงหนูน้อย ค่อยค่อยคลาน กับลานหญ้า
หวังหลบตา พรายผี ที่ข่มเหง
ตัวเล็กนิด จิตใจหนัก เช่นนักเลง
ถึงวังเวง ชวนขนพอง ก็ลองไป
...มือปะโอ่ง โหย่งตัว เอาหัวทาบ
พอเห็นภาพ ตาตื่น ลื่นไถล
เครื่องเพชรทอง ส่องวาว พราวอำไพ
เป็นกองใหญ่ เกือบเต็มล้น ขนหัวชัน
..โอ้ เพชรนิล จินดา เจ้าข้าเอ๋ย
ใครบ้างเคย สละสิทธิ์ คิดใฝ่ฝัน
แม้แต่เด็ก หญิงน้อย พลอยรำพัน
อยากได้มัน ไปทั้งหมด เกินอดใจ
...ครั้นจะล้วง จ้วงเหมา เอาทั้งสิ้น
คงร่วงดิน เรี่ยหล่น ขนไม่ไหว
ทั้งหนทาง ย่างยาก ลำบากไกล
ต้องหาใคร มาด้วย ช่วยหามกัน
...ยินเสียงเพรียก เรียกหา มาทางวัด
รู้แน่ชัด ทีเดียว เที่ยวตามฉัน
คราวนี้หนอ ได้ขอแรง มาแบ่งปัน
ให้ดีนั้น แบกทั้งโอ่ง โล่งอุรา
...ส่งเสียงก้อง ร้องกู่ “หนูอยู่นี่
มาช่วยที หนูพบทอง กองมหา”
ทั้งใดนั้น พลันดินแยก แตกออกมา
พสุธา สั่นสะเทือน เหมือนทะลาย
...โอ่งสมบัติ พลัดเคลื่อน เลื่อนตามร่อง
ถอยลงท้อง ปฐพี จะหนีหาย
ใจแสนกลัว แต่ตัว แสนเสียดาย
โดดเข้าหมาย คว้าขวาง ทางที่จม
...หมดแรงยื้อ มือน้อย ก็ปล่อยออก
มองระลอก ดินกลับ ลงทับถม
คนมาตาม ทันตา ได้มาชม
ต่างระดม ช่วยขุด กันสุดแรง
...ก็ยื้อยุด ขุดคุ้ย ลุยดินเปล่า
ไม่มีข้าว ของสิ่งใด อยู่ใต้แสง
คงเจ้าที่ เจ้าท่า มาสำแดง
จึงได้แจ้ง ใจเพียงท่าน นั้นเมตตา
...เมื่อเด็กน้อย คล้อยผ่าน มาย่านนี้
ท่านจึงมี จิตเอ็นดู นะหนูจ๋า
แม้เจ้ารีบ หยิบเอาสร้อย ห้อยคอมา
คงพอพา เอาไปชื่น ได้รื่นรมย์
...วาสนา มาเพียง เคียงประสบ
จึงได้พบ เพียงครู่ ดูขื่นขม
เหมือนโลภมาก ลาภหาย ไม่วายตรม
ทุกข์ระทม ก็เท่านั้น ปล่อยมันเป็น
....ในโลกนี้ มีแต่เรื่อง ที่เปลืองจิต
ต้องค่อยคิด ตรองความ ตามที่เห็น
แม้พลาดผิด นิดน้อย พลอยลำเค็ญ
โถ! เนื้อเย็น มีแต่ยุง..เข้ามุ้งนอน”
(จบตอน)
เรื่องเล่าเมื่อเข้าไฟ ตอน โชคของใครอาจเป็นโชคเฉพาะตัว (กลอนยาว)
ครั้นครวญคิด ขึ้นมา น้ำตาไหล
เรานี่หนา โตมา เพราะว่าใคร
ฝากอาลัย ไว้ในงาน การประพันธ์
...แม่แกงส้ม ต้มเค็ม ไว้เต็มหม้อ
ตักมารอ ในสำรับ สำหรับขวัญ
ลูกหญิงชาย รายเรียง นั่งเคียงกัน
ใต้แสงอัน พร่าเพียง ตะเกียงไฟ
...อิ่มข้าวแล้ว แก้วตา อย่าเพิ่งหนี
รอน้องพี่ เก็บด้วย ถ้วยชามไห
แม่จะเล่า เรื่องเก่าก่อน ไว้สอนใจ
อาจชวนให้ ได้คิด พินิจพา
..เรื่องเก่าเก่า เล่ามาแต่ แม่ยังเล็ก
ยังมีเด็ก หญิงน้อย ด้อยชันษา
เธออาศัย อยู่ในย่าน อยุธยา
ใกล้วัดวา ป่าปรก รกครึ้มไป
..ยามโพล้เพล้ เร่เล่น แอบเร้นเพื่อน
หลบมาเยือน หลังวัดนั้น ไม่หวั่นไหว
ด้วยซุกซน จนไม่เห็น สิ่งเป็นภัย
ลัดเลาะไม้ มุดข้าม ตามใจตัว
...แสงตะวัน พลันลับ อยากกลับบ้าน
ด้วยทางผ่าน กลับนั้น มันสลัว
พอมืดค่ำ ย่ำเท้า เจ้าจะกลัว
ฟ้ายิ่งมัว ก็ยิ่งรน กระวนกระวาย
...สายลมโศก โบกโบย มาโชยฉ่ำ
ใจระส่ำ จะให้เพลิน ก็เพลินหาย
พอเดินเรื่อย เหนื่อยมา เหมือนตาลาย
มองคลับคล้าย มีโอ่งวาง อยู่กลางลาน
...ด้วยแปลกตา ขาไป มิได้พบ
จึงจะหลบ ออกไกล ใจไม่หาญ
แต่ใจหนึ่ง ซึ่งสู้ อยู่เอาการ
สั่งให้คลาน ไปให้เห็น คงเป็นดี
...ในป่าเปลี่ยว เหลียวหา พาใจหาย
ล้อมรอบกาย ก็ดูคล้าย พรายภูตผี
ยืนหยอกเย้า หรือมาเฝ้า เอาชีวี
น่าขวัญหนี ดีฝ่อ หนอแม่คุณ
...คนเรานั้น มันย่อมมี ดีกันบ้าง
อาจแตกต่าง ด้วยกรรม ที่นำหนุน
ฐานันดร ตอนกำเนิด เกิดจากบุญ
แต่ต้นทุน กำลังจิต ต้องคิดเอง
...จึงหนูน้อย ค่อยค่อยคลาน กับลานหญ้า
หวังหลบตา พรายผี ที่ข่มเหง
ตัวเล็กนิด จิตใจหนัก เช่นนักเลง
ถึงวังเวง ชวนขนพอง ก็ลองไป
...มือปะโอ่ง โหย่งตัว เอาหัวทาบ
พอเห็นภาพ ตาตื่น ลื่นไถล
เครื่องเพชรทอง ส่องวาว พราวอำไพ
เป็นกองใหญ่ เกือบเต็มล้น ขนหัวชัน
..โอ้ เพชรนิล จินดา เจ้าข้าเอ๋ย
ใครบ้างเคย สละสิทธิ์ คิดใฝ่ฝัน
แม้แต่เด็ก หญิงน้อย พลอยรำพัน
อยากได้มัน ไปทั้งหมด เกินอดใจ
...ครั้นจะล้วง จ้วงเหมา เอาทั้งสิ้น
คงร่วงดิน เรี่ยหล่น ขนไม่ไหว
ทั้งหนทาง ย่างยาก ลำบากไกล
ต้องหาใคร มาด้วย ช่วยหามกัน
...ยินเสียงเพรียก เรียกหา มาทางวัด
รู้แน่ชัด ทีเดียว เที่ยวตามฉัน
คราวนี้หนอ ได้ขอแรง มาแบ่งปัน
ให้ดีนั้น แบกทั้งโอ่ง โล่งอุรา
...ส่งเสียงก้อง ร้องกู่ “หนูอยู่นี่
มาช่วยที หนูพบทอง กองมหา”
ทั้งใดนั้น พลันดินแยก แตกออกมา
พสุธา สั่นสะเทือน เหมือนทะลาย
...โอ่งสมบัติ พลัดเคลื่อน เลื่อนตามร่อง
ถอยลงท้อง ปฐพี จะหนีหาย
ใจแสนกลัว แต่ตัว แสนเสียดาย
โดดเข้าหมาย คว้าขวาง ทางที่จม
...หมดแรงยื้อ มือน้อย ก็ปล่อยออก
มองระลอก ดินกลับ ลงทับถม
คนมาตาม ทันตา ได้มาชม
ต่างระดม ช่วยขุด กันสุดแรง
...ก็ยื้อยุด ขุดคุ้ย ลุยดินเปล่า
ไม่มีข้าว ของสิ่งใด อยู่ใต้แสง
คงเจ้าที่ เจ้าท่า มาสำแดง
จึงได้แจ้ง ใจเพียงท่าน นั้นเมตตา
...เมื่อเด็กน้อย คล้อยผ่าน มาย่านนี้
ท่านจึงมี จิตเอ็นดู นะหนูจ๋า
แม้เจ้ารีบ หยิบเอาสร้อย ห้อยคอมา
คงพอพา เอาไปชื่น ได้รื่นรมย์
...วาสนา มาเพียง เคียงประสบ
จึงได้พบ เพียงครู่ ดูขื่นขม
เหมือนโลภมาก ลาภหาย ไม่วายตรม
ทุกข์ระทม ก็เท่านั้น ปล่อยมันเป็น
....ในโลกนี้ มีแต่เรื่อง ที่เปลืองจิต
ต้องค่อยคิด ตรองความ ตามที่เห็น
แม้พลาดผิด นิดน้อย พลอยลำเค็ญ
โถ! เนื้อเย็น มีแต่ยุง..เข้ามุ้งนอน”
(จบตอน)