บ้านสวนป่วนรัก [องครักษ์พิทักษ์คุณชาย]
โรแมนติกคอมเมดี้ แนวความหลากหลายทางเพศ
พิธันดร
คุณพีทคุย
ช่วงชีวิตที่ผ่านมา คุณพีทย้ายบ้าน งานสุม ไม่มีโอกาสเขียนอะไรได้ต่อเนื่อง เขียนๆ หยุดๆ ไม่กล้าเอามาลง ตอนนี้ย้ายกลับบ้านนอกเป็นการถาวรแล้ว ตั้งใจว่าจะขุดตุ่มกลับมาเขียนให้ต่อเนื่องซะทีครับ
หายหน้าไปนาน โผล่กลับมาก็กลายเป็นหน้าใหม่อีกครั้ง สวัสดีเพื่อนๆ ยินดีที่จะได้รู้จักพูดคุยกัน และขอบคุณที่แวะมาอุดหนุนบ้านสวนครับ
บทที่ 1 ประตูเหล็กสีเทา
พนาหยุดยืนหน้าประตูรั้ว
ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งผิวสีน้ำตาลอ่อนแหงนมองกำแพงสูงสีขาว ประตูเข้าออกสำหรับรถยนต์เป็นเหล็กสีเทาเข้มสูงท่วมหัว ด้านบนมีแท่งเหล็กเหลาแหลมเรียงถี่ เขาสังเกตเห็นกล้องรักษาความปลอดภัยหลายตัวส่องไปยังทิศทางต่างๆ กล้องตัวหนึ่งหันตรงมายังจุดที่เขายืนพอดี ข้างในคงรู้ว่าเขามาถึงแล้ว
ประตูสำหรับคนเดินเข้าออกก็เป็นบานเหล็กสีเทาเข้มแบบเดียวกัน ข้อความในอีเมลบอกว่าให้เปิดประตูเข้าไปเองได้เลย พนาสูดหายใจเข้าลึก เปิดประตูผลักเข้าไป ลมอ่อนเย็นพัดแผ่วมาแตะต้องใบหน้า เขาเผลอเลิกคิ้วแปลกใจเพราะอากาศตอนสายด้านนอกเริ่มร้อนขึ้นแล้วแม้จะเป็นเพียงซอยเล็กที่ไม่ค่อยมีรถยนต์สัญจร พอหันกลับไปปิดประตูก็ได้ยินเสียงกึงต่ำเบา ไม่ต้องลองจับลูกบิดดูก็พอเดาได้ ระบบรักษาความปลอดภัยอัตโนมัติคงลั่นกลอนป้องกันคนภายนอกรุกล้ำเข้ามาข้างในเรียบร้อย
อดคิดไม่ได้ว่ากลอนอันเดียวกันนั้นก็ป้องกันไม่ให้เขากลับออกไปข้างนอกด้วยเหมือนกัน
ได้รับคำเตือนมาก่อนแล้วว่าการรักษาความปลอดภัยที่นี่เข้มงวดแน่นหนา แต่เพราะไม่เคยต้องทำงานในสภาพแวดล้อมแบบนี้ พนาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกแปร่งไม่คุ้นเคย
แดดสายเริ่มสูง แต่ทางเดินข้างหน้าเขาร่มรื่นด้วยไม้เถาที่ถักทอกันเป็นกำแพงด้านข้างต่อเนื่องไปจนเป็นหลังคา กลิ่นหอมหวานอย่างที่เคยรู้จักแผ่ผ่านมาทักทายใต้จมูก ...กลิ่นอะไรนะ... น่าจะเป็น... เล็บมือนาง ถ้าเขาจำไม่ผิด... พนาเหลือบเห็นพวงดอกไม้กระจุ๋มกระจิ๋มสีแดงขาวแทรกแซมอยู่ระหว่างช่อใบสีเขียวเข้ม ชายหนุ่มยิ้มกับตัวเอง อย่างน้อยที่นี่ก็ไม่แห้งแล้งเกินไป ยังพอมีต้นไม้ดอกไม้ให้ได้ชื่นใจบ้าง
ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งผิวสีน้ำตาลอ่อนก้มดูนาฬิกาข้อมือ เขามาถึงก่อนเวลาเล็กน้อย แต่ก็ไม่ควรเถลไถลชมดอกไม้ใบหญ้านาน ได้รับคำเตือนมาว่าบ้านนี้เข้มงวดในเรื่องความตรงเวลาด้วยเหมือนกัน
สุดปลายทางมีประตูกระจกติดฟิล์มกันแสงมิดชิด พนาเลื่อนบานประตูเปิด ไอเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศปะทะหน้าวูบ พอเลื่อนประตูปิดกลับเรียบร้อยแล้วเขาต้องหยุดยืนกะพริบตาอยู่พักใหญ่ถึงเริ่มมองเห็น
“คุณชอบดอกไม้หรือ”
เสียงผู้ชายดังมาจากเงาสลัวกลางห้อง พนาหันไปยิ้มรับ
“กลิ่นหอมชื่นใจมากเลยครับ ผมพนา มาพบคุณโยธิศตามนัดครับ”
ชายหนุ่มบนเก้าอี้หัวเราะเบาๆ
“ผมรู้แล้ว ถ้าหน้าคุณไม่เหมือนในรูป คงเดินมาไม่ถึงห้องนี้หรอก”
พนาเผลอเอี้ยวตัวมองผ่านกระจกตัดแสงออกไปยังทางเดินโดยไม่ได้ตั้งใจ
“ผมเห็นกล้องวงจรปิดแล้วครับ ถ้าเป็นคนอื่นคงเปิดประตูรั้วเข้ามาไม่ได้สินะครับ”
“ได้สิ” น้ำเสียงทุ้มต่ำนั้นเจือขำ “แต่คงเดินมาไม่ถึงห้องนี้หรอก”
ประโยคย้ำเหมือนเดิมเดียะทำให้พนารู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ วูบวาบตรงกลางหลัง เครื่องปรับอากาศเปิดไว้จนเย็นจัด แต่นิ้วมือของเขาชื้นลื่นจนรู้สึกได้ พนาไม่คิดถามรายละเอียด กวาดตาเร็วๆ สำรวจห้องซึ่งไม่ได้เปิดไฟ เขาไม่เห็นเครื่องเรือนอะไรสักกี่ชิ้นเลย และนอกจากเก้าอี้ที่ชายหนุ่มคนนั้นจับจองอยู่ก็ไม่มีที่นั่งอื่นอีก เขาคงต้องยืนคุยสินะ
ความรู้สึกวูบวาบตรงกลางหลังเริ่มไต่ลามไปที่แขน พนาพยายามปัดมันทิ้ง คงเป็นเพราะเขาไม่คุ้นเคยกับบรรยากาศอึมครึมแบบนี้ ชายหนุ่มก้าวเท้า เงาทะมึนตรงหางตาขยับวูบ เขากระโดดโหยงอุทานเฮ้ยเสียงลั่น มือคว้ากระเป๋าสะพายขยุ้มแน่นโดยไม่รู้ตัว ขาแข็งเป็นหิน หัวใจเต้นโครมอยู่ในอก
ชายร่างสูงใหญ่ยืนตระหง่านอยู่ตรงผนังกระจกตั้งแต่เมื่อไหร่เขาไม่ทันสังเกต ระหว่างที่เขายืนแข็งเป็นหินอยู่ ร่างทะมึนนั้นก็เคลื่อนตัวเงียบเชียบรวดเร็วเข้ามาประชิด เห็นใบหน้าชายชาวตะวันตกวัยกลางคน ผมคิ้วสีดำสนิท ไว้หนวดเครารกครึ้มเป็นแผงหนา แต่ที่ทำให้พนานึกรู้ว่าความรู้สึกวูบวาบหนาวๆ ร้อนๆ บนเนื้อตัวเขามาจากไหนก็คือสายตาคมดุที่จ้องเขม็งราวกับจะเจาะทะลุเข้ามาอ่านสมองของเขาเลยทีเดียว
“ไม่ต้องกลัว พ่อบ้านของผมเอง” ถ้อยคำจากเก้าอี้เหมือนปลอบแต่น้ำเสียงเหมือนขำ “เป็นธรรมเนียมของตระกูลผมไปแล้ว ถ้าไม่มีศัตรูมุ่งร้ายแสดงว่าต้องทำอะไรผิดไปสักอย่าง”
พนาพยักหน้าช้าๆ ตายังจับจ้องแผงหนวดเคราตรงหน้าอย่างระแวง เข่างอเล็กน้อยอย่างพร้อมจะกระโจนหนีทุกเมื่อ แม้เขาไม่เชื่อว่าจะรอดพ้นจากเงื้อมมือพ่อบ้านคนนี้ได้ก็ตาม
“Your bag, please.”
ร่างทะมึนยื่นมือตามหลังเสียงห้าวกระด้าง คำลงท้ายไม่ได้ชวนให้รู้สึกว่าเขากำลังถูกขอร้องเลยสักนิด พนารีบปลดกระเป๋าจากบ่าส่งให้อย่างเต็มใจ
คุณพ่อบ้านชักกระบองอะไรบางอย่างจากข้างขาขึ้นมากวัดแกว่งรอบกระเป๋า เสียงสัญญาณเตือนภัยร้องระงมพร้อมไฟสีแดงกะพริบวูบวาบไม่เป็นจังหวะ พนาเหงื่อซึมทั้งที่อากาศในห้องเย็นจัด ข้อความในอีเมลสั่งให้เขาเตรียมของใช้จำเป็นติดตัวมาด้วย ถ้าเขาสัมภาษณ์ผ่านได้งานนี้ก็จะต้องเริ่มติดตามเจ้านายคนใหม่ไปต่างจังหวัดวันนี้เลย ชายหนุ่มไม่ได้เตรียมเสื้อผ้ามากมาย แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้คือคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่เขาใช้เก็บข้อมูลและทำงานเอกสาร ไหนจะอุปกรณ์ประกอบโทรศัพท์มือถืออีก
“Gun?”
แผงหนวดหันมากระชากเสียงใส่เขา พนาสะดุ้งเฮือก
“เฮ้ย! โน่ครับ! ผมไม่มีปืน เอ๊ยไม่มี gun เอ๊ย No, I don’t have a gun sir.”
พ่อบ้านทะมึนเสียบกระบองเก็บข้างขาแล้วเปิดกระเป๋าหน้าตาเฉย ไม่ได้ขออนุญาต ไม่ได้ถาม ไม่แม้แต่จะบอกกล่าวให้เตรียมใจ พนาคาดหมายว่าข้าวของคงถูกรื้อเละเทะแน่ ครู่เดียวคุณพ่อบ้านก็รูดซิปปิดแล้วเหวี่ยงกระเป๋าไปด้านข้าง พนาใจหายวูบ แต่เสียงตุบเบาๆ บอกให้รู้ว่าสิ่งที่กระทบพื้นคือเสื้อผ้า ส่วนของแข็งทั้งหลายคงจะกองอยู่ด้านบน และหวังว่าคงจะปลอดภัยดีทุกชิ้น
กำลังระบายลมหายใจ ร่างทะมึนก็หันกลับมาชักกระบองสี่เหลี่ยมขึ้นกวัดแกว่งอีกครั้ง
“Arms up!”
คราวนี้คุณพ่อบ้านลืมคำขอร้องลงท้าย หรืออาจไม่ได้ลืมแต่ตั้งใจ พนารีบกางแขนตามคำสั่ง เริ่มสงสัยว่าหรือบางทีตัวเขาอาจจะเป็นผู้ก่อการร้ายที่โดนลบความจำแต่ลอบเข้ามาปฏิบัติการในบ้านหลังนี้จริงๆ
เสียงร้องเตือนภัยดังระงมถี่ยิบยิ่งกว่าเมื่อครู่ ไฟกะพริบก็รัวเร่งราวกับเขาพกระเบิดไว้ทั่วตัวจากหัวจรดเท้า พนารู้สึกหนาวเยือกขึ้นมาถึงหลังหู แค่โทรศัพท์มือถือ นาฬิกา กระเป๋าสตางค์ กุญแจบ้าน เหรียญ มันจะมีปริมาณโลหะอะไรมากมายนักหนา!
ถึงตอนนี้เขาไม่ห่วงเรื่องผ่านสัมภาษณ์งานแล้ว คุณพ่อบ้านจะปล่อยให้เขารอดกลับไปนอกประตูรั้วหรือเปล่าเถอะ!
“Are you Iron Man or something?”
น้ำเสียงกระชากรอบนี้ติดรำคาญจัด พนารีบสั่นหัวดิก
“โน! ไม่ใช่ครับ ผมไม่ใช่ไอร์อ้อนแมน”
เสียงหัวเราะเบาๆ แว่วมาจากเก้าอี้กลางห้อง พนาเพิ่งรู้ตัวหน้าร้อนวูบ ถามมาผมก็ตอบสิครับ
พ่อบ้านทะมึนเสียบกระบองสี่เหลี่ยมเก็บข้างขาอีกรอบ พนากำลังจะลดแขนลง แต่แผงหนวดหันมาคำรามใส่ เขารีบเหยียดแขนตึงมองตรงไม่กล้าสบตา คราวนี้คุณพ่อบ้านก้าวเข้ามาประชิด สองมือยกกุมกะโหลกพนาไว้มิด ชายหนุ่มเผลอกลั้นหายใจ
“Breathe!”
แผงหนวดคำรามอยู่ตรงหน้า พนารีบหายใจต่อตามคำสั่ง คุณพ่อบ้านเอานิ้วสางผมเขาอย่างละเอียด ตรวจต่ำลงมากระทั่งหลังหู ใบหู และในหู! พอถึงขากรรไกรและลำคอพนาก็เริ่มไม่แน่ใจว่านี่คือการตรวจหาอาวุธสงครามหรือว่าตรวจร่างกายผู้ป่วยกันแน่ คุณพ่อบ้านขยำขยี้เสื้อผ้าและเนื้อตัวเขาอย่างครบถ้วนทั่วถึง นี่ถ้าเขาซ่อนเข็มพิษไว้ในตะเข็บละก็ ป่านนี้ร่างทะมึนคงลงไปชักดิ้นชักงอกองกับพื้นแล้ว
ยืนกางแขนอยู่กี่นาทีพนาก็นับไม่ถูก แต่หลังจากคุณพ่อบ้านตรวจขึ้นตรวจลงทั้งด้านหน้า ด้านข้าง ด้านหลัง แล้ววนกลับมาด้านหน้าอีกที จนมั่นใจว่าไม่มีขีปนาวุธเคมีชีวภาพใดหลุดรอดเงื้อมมือไปได้แล้ว กระบวนการตรวจร่างกายก็ยุติลงในที่สุด ร่างทะมึนก้าวถอยกลับไปยืนนิ่งเป็นรูปปั้นอยู่ที่ผนังกระจกตามเดิม
พนาเลิกคิ้ว หันไปมองรูปปั้น หันกลับไปหาเก้าอี้กลางห้อง ลังเลอยู่ชั่วครู่ แล้วกลืนน้ำลายอึกใหญ่
“เอ่อ... เอาแขนลงได้รึยังครับ”
[จบบทครับ]
บ้านสวนป่วนรัก [องครักษ์พิทักษ์คุณชาย] บทที่ 1 ประตูเหล็กสีเทา
โรแมนติกคอมเมดี้ แนวความหลากหลายทางเพศ
พิธันดร
ช่วงชีวิตที่ผ่านมา คุณพีทย้ายบ้าน งานสุม ไม่มีโอกาสเขียนอะไรได้ต่อเนื่อง เขียนๆ หยุดๆ ไม่กล้าเอามาลง ตอนนี้ย้ายกลับบ้านนอกเป็นการถาวรแล้ว ตั้งใจว่าจะขุดตุ่มกลับมาเขียนให้ต่อเนื่องซะทีครับ
หายหน้าไปนาน โผล่กลับมาก็กลายเป็นหน้าใหม่อีกครั้ง สวัสดีเพื่อนๆ ยินดีที่จะได้รู้จักพูดคุยกัน และขอบคุณที่แวะมาอุดหนุนบ้านสวนครับ
พนาหยุดยืนหน้าประตูรั้ว
ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งผิวสีน้ำตาลอ่อนแหงนมองกำแพงสูงสีขาว ประตูเข้าออกสำหรับรถยนต์เป็นเหล็กสีเทาเข้มสูงท่วมหัว ด้านบนมีแท่งเหล็กเหลาแหลมเรียงถี่ เขาสังเกตเห็นกล้องรักษาความปลอดภัยหลายตัวส่องไปยังทิศทางต่างๆ กล้องตัวหนึ่งหันตรงมายังจุดที่เขายืนพอดี ข้างในคงรู้ว่าเขามาถึงแล้ว
ประตูสำหรับคนเดินเข้าออกก็เป็นบานเหล็กสีเทาเข้มแบบเดียวกัน ข้อความในอีเมลบอกว่าให้เปิดประตูเข้าไปเองได้เลย พนาสูดหายใจเข้าลึก เปิดประตูผลักเข้าไป ลมอ่อนเย็นพัดแผ่วมาแตะต้องใบหน้า เขาเผลอเลิกคิ้วแปลกใจเพราะอากาศตอนสายด้านนอกเริ่มร้อนขึ้นแล้วแม้จะเป็นเพียงซอยเล็กที่ไม่ค่อยมีรถยนต์สัญจร พอหันกลับไปปิดประตูก็ได้ยินเสียงกึงต่ำเบา ไม่ต้องลองจับลูกบิดดูก็พอเดาได้ ระบบรักษาความปลอดภัยอัตโนมัติคงลั่นกลอนป้องกันคนภายนอกรุกล้ำเข้ามาข้างในเรียบร้อย
อดคิดไม่ได้ว่ากลอนอันเดียวกันนั้นก็ป้องกันไม่ให้เขากลับออกไปข้างนอกด้วยเหมือนกัน
ได้รับคำเตือนมาก่อนแล้วว่าการรักษาความปลอดภัยที่นี่เข้มงวดแน่นหนา แต่เพราะไม่เคยต้องทำงานในสภาพแวดล้อมแบบนี้ พนาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกแปร่งไม่คุ้นเคย
แดดสายเริ่มสูง แต่ทางเดินข้างหน้าเขาร่มรื่นด้วยไม้เถาที่ถักทอกันเป็นกำแพงด้านข้างต่อเนื่องไปจนเป็นหลังคา กลิ่นหอมหวานอย่างที่เคยรู้จักแผ่ผ่านมาทักทายใต้จมูก ...กลิ่นอะไรนะ... น่าจะเป็น... เล็บมือนาง ถ้าเขาจำไม่ผิด... พนาเหลือบเห็นพวงดอกไม้กระจุ๋มกระจิ๋มสีแดงขาวแทรกแซมอยู่ระหว่างช่อใบสีเขียวเข้ม ชายหนุ่มยิ้มกับตัวเอง อย่างน้อยที่นี่ก็ไม่แห้งแล้งเกินไป ยังพอมีต้นไม้ดอกไม้ให้ได้ชื่นใจบ้าง
ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งผิวสีน้ำตาลอ่อนก้มดูนาฬิกาข้อมือ เขามาถึงก่อนเวลาเล็กน้อย แต่ก็ไม่ควรเถลไถลชมดอกไม้ใบหญ้านาน ได้รับคำเตือนมาว่าบ้านนี้เข้มงวดในเรื่องความตรงเวลาด้วยเหมือนกัน
สุดปลายทางมีประตูกระจกติดฟิล์มกันแสงมิดชิด พนาเลื่อนบานประตูเปิด ไอเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศปะทะหน้าวูบ พอเลื่อนประตูปิดกลับเรียบร้อยแล้วเขาต้องหยุดยืนกะพริบตาอยู่พักใหญ่ถึงเริ่มมองเห็น
“คุณชอบดอกไม้หรือ”
เสียงผู้ชายดังมาจากเงาสลัวกลางห้อง พนาหันไปยิ้มรับ
“กลิ่นหอมชื่นใจมากเลยครับ ผมพนา มาพบคุณโยธิศตามนัดครับ”
ชายหนุ่มบนเก้าอี้หัวเราะเบาๆ
“ผมรู้แล้ว ถ้าหน้าคุณไม่เหมือนในรูป คงเดินมาไม่ถึงห้องนี้หรอก”
พนาเผลอเอี้ยวตัวมองผ่านกระจกตัดแสงออกไปยังทางเดินโดยไม่ได้ตั้งใจ
“ผมเห็นกล้องวงจรปิดแล้วครับ ถ้าเป็นคนอื่นคงเปิดประตูรั้วเข้ามาไม่ได้สินะครับ”
“ได้สิ” น้ำเสียงทุ้มต่ำนั้นเจือขำ “แต่คงเดินมาไม่ถึงห้องนี้หรอก”
ประโยคย้ำเหมือนเดิมเดียะทำให้พนารู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ วูบวาบตรงกลางหลัง เครื่องปรับอากาศเปิดไว้จนเย็นจัด แต่นิ้วมือของเขาชื้นลื่นจนรู้สึกได้ พนาไม่คิดถามรายละเอียด กวาดตาเร็วๆ สำรวจห้องซึ่งไม่ได้เปิดไฟ เขาไม่เห็นเครื่องเรือนอะไรสักกี่ชิ้นเลย และนอกจากเก้าอี้ที่ชายหนุ่มคนนั้นจับจองอยู่ก็ไม่มีที่นั่งอื่นอีก เขาคงต้องยืนคุยสินะ
ความรู้สึกวูบวาบตรงกลางหลังเริ่มไต่ลามไปที่แขน พนาพยายามปัดมันทิ้ง คงเป็นเพราะเขาไม่คุ้นเคยกับบรรยากาศอึมครึมแบบนี้ ชายหนุ่มก้าวเท้า เงาทะมึนตรงหางตาขยับวูบ เขากระโดดโหยงอุทานเฮ้ยเสียงลั่น มือคว้ากระเป๋าสะพายขยุ้มแน่นโดยไม่รู้ตัว ขาแข็งเป็นหิน หัวใจเต้นโครมอยู่ในอก
ชายร่างสูงใหญ่ยืนตระหง่านอยู่ตรงผนังกระจกตั้งแต่เมื่อไหร่เขาไม่ทันสังเกต ระหว่างที่เขายืนแข็งเป็นหินอยู่ ร่างทะมึนนั้นก็เคลื่อนตัวเงียบเชียบรวดเร็วเข้ามาประชิด เห็นใบหน้าชายชาวตะวันตกวัยกลางคน ผมคิ้วสีดำสนิท ไว้หนวดเครารกครึ้มเป็นแผงหนา แต่ที่ทำให้พนานึกรู้ว่าความรู้สึกวูบวาบหนาวๆ ร้อนๆ บนเนื้อตัวเขามาจากไหนก็คือสายตาคมดุที่จ้องเขม็งราวกับจะเจาะทะลุเข้ามาอ่านสมองของเขาเลยทีเดียว
“ไม่ต้องกลัว พ่อบ้านของผมเอง” ถ้อยคำจากเก้าอี้เหมือนปลอบแต่น้ำเสียงเหมือนขำ “เป็นธรรมเนียมของตระกูลผมไปแล้ว ถ้าไม่มีศัตรูมุ่งร้ายแสดงว่าต้องทำอะไรผิดไปสักอย่าง”
พนาพยักหน้าช้าๆ ตายังจับจ้องแผงหนวดเคราตรงหน้าอย่างระแวง เข่างอเล็กน้อยอย่างพร้อมจะกระโจนหนีทุกเมื่อ แม้เขาไม่เชื่อว่าจะรอดพ้นจากเงื้อมมือพ่อบ้านคนนี้ได้ก็ตาม
“Your bag, please.”
ร่างทะมึนยื่นมือตามหลังเสียงห้าวกระด้าง คำลงท้ายไม่ได้ชวนให้รู้สึกว่าเขากำลังถูกขอร้องเลยสักนิด พนารีบปลดกระเป๋าจากบ่าส่งให้อย่างเต็มใจ
คุณพ่อบ้านชักกระบองอะไรบางอย่างจากข้างขาขึ้นมากวัดแกว่งรอบกระเป๋า เสียงสัญญาณเตือนภัยร้องระงมพร้อมไฟสีแดงกะพริบวูบวาบไม่เป็นจังหวะ พนาเหงื่อซึมทั้งที่อากาศในห้องเย็นจัด ข้อความในอีเมลสั่งให้เขาเตรียมของใช้จำเป็นติดตัวมาด้วย ถ้าเขาสัมภาษณ์ผ่านได้งานนี้ก็จะต้องเริ่มติดตามเจ้านายคนใหม่ไปต่างจังหวัดวันนี้เลย ชายหนุ่มไม่ได้เตรียมเสื้อผ้ามากมาย แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้คือคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่เขาใช้เก็บข้อมูลและทำงานเอกสาร ไหนจะอุปกรณ์ประกอบโทรศัพท์มือถืออีก
“Gun?”
แผงหนวดหันมากระชากเสียงใส่เขา พนาสะดุ้งเฮือก
“เฮ้ย! โน่ครับ! ผมไม่มีปืน เอ๊ยไม่มี gun เอ๊ย No, I don’t have a gun sir.”
พ่อบ้านทะมึนเสียบกระบองเก็บข้างขาแล้วเปิดกระเป๋าหน้าตาเฉย ไม่ได้ขออนุญาต ไม่ได้ถาม ไม่แม้แต่จะบอกกล่าวให้เตรียมใจ พนาคาดหมายว่าข้าวของคงถูกรื้อเละเทะแน่ ครู่เดียวคุณพ่อบ้านก็รูดซิปปิดแล้วเหวี่ยงกระเป๋าไปด้านข้าง พนาใจหายวูบ แต่เสียงตุบเบาๆ บอกให้รู้ว่าสิ่งที่กระทบพื้นคือเสื้อผ้า ส่วนของแข็งทั้งหลายคงจะกองอยู่ด้านบน และหวังว่าคงจะปลอดภัยดีทุกชิ้น
กำลังระบายลมหายใจ ร่างทะมึนก็หันกลับมาชักกระบองสี่เหลี่ยมขึ้นกวัดแกว่งอีกครั้ง
“Arms up!”
คราวนี้คุณพ่อบ้านลืมคำขอร้องลงท้าย หรืออาจไม่ได้ลืมแต่ตั้งใจ พนารีบกางแขนตามคำสั่ง เริ่มสงสัยว่าหรือบางทีตัวเขาอาจจะเป็นผู้ก่อการร้ายที่โดนลบความจำแต่ลอบเข้ามาปฏิบัติการในบ้านหลังนี้จริงๆ
เสียงร้องเตือนภัยดังระงมถี่ยิบยิ่งกว่าเมื่อครู่ ไฟกะพริบก็รัวเร่งราวกับเขาพกระเบิดไว้ทั่วตัวจากหัวจรดเท้า พนารู้สึกหนาวเยือกขึ้นมาถึงหลังหู แค่โทรศัพท์มือถือ นาฬิกา กระเป๋าสตางค์ กุญแจบ้าน เหรียญ มันจะมีปริมาณโลหะอะไรมากมายนักหนา!
ถึงตอนนี้เขาไม่ห่วงเรื่องผ่านสัมภาษณ์งานแล้ว คุณพ่อบ้านจะปล่อยให้เขารอดกลับไปนอกประตูรั้วหรือเปล่าเถอะ!
“Are you Iron Man or something?”
น้ำเสียงกระชากรอบนี้ติดรำคาญจัด พนารีบสั่นหัวดิก
“โน! ไม่ใช่ครับ ผมไม่ใช่ไอร์อ้อนแมน”
เสียงหัวเราะเบาๆ แว่วมาจากเก้าอี้กลางห้อง พนาเพิ่งรู้ตัวหน้าร้อนวูบ ถามมาผมก็ตอบสิครับ
พ่อบ้านทะมึนเสียบกระบองสี่เหลี่ยมเก็บข้างขาอีกรอบ พนากำลังจะลดแขนลง แต่แผงหนวดหันมาคำรามใส่ เขารีบเหยียดแขนตึงมองตรงไม่กล้าสบตา คราวนี้คุณพ่อบ้านก้าวเข้ามาประชิด สองมือยกกุมกะโหลกพนาไว้มิด ชายหนุ่มเผลอกลั้นหายใจ
“Breathe!”
แผงหนวดคำรามอยู่ตรงหน้า พนารีบหายใจต่อตามคำสั่ง คุณพ่อบ้านเอานิ้วสางผมเขาอย่างละเอียด ตรวจต่ำลงมากระทั่งหลังหู ใบหู และในหู! พอถึงขากรรไกรและลำคอพนาก็เริ่มไม่แน่ใจว่านี่คือการตรวจหาอาวุธสงครามหรือว่าตรวจร่างกายผู้ป่วยกันแน่ คุณพ่อบ้านขยำขยี้เสื้อผ้าและเนื้อตัวเขาอย่างครบถ้วนทั่วถึง นี่ถ้าเขาซ่อนเข็มพิษไว้ในตะเข็บละก็ ป่านนี้ร่างทะมึนคงลงไปชักดิ้นชักงอกองกับพื้นแล้ว
ยืนกางแขนอยู่กี่นาทีพนาก็นับไม่ถูก แต่หลังจากคุณพ่อบ้านตรวจขึ้นตรวจลงทั้งด้านหน้า ด้านข้าง ด้านหลัง แล้ววนกลับมาด้านหน้าอีกที จนมั่นใจว่าไม่มีขีปนาวุธเคมีชีวภาพใดหลุดรอดเงื้อมมือไปได้แล้ว กระบวนการตรวจร่างกายก็ยุติลงในที่สุด ร่างทะมึนก้าวถอยกลับไปยืนนิ่งเป็นรูปปั้นอยู่ที่ผนังกระจกตามเดิม
พนาเลิกคิ้ว หันไปมองรูปปั้น หันกลับไปหาเก้าอี้กลางห้อง ลังเลอยู่ชั่วครู่ แล้วกลืนน้ำลายอึกใหญ่
“เอ่อ... เอาแขนลงได้รึยังครับ”