The Book Of Darkness
I
มนุษย์ นั้นเมื่อเจอสิ่งที่ไม่คุ้นเคย แปลกประหลาด จนหาเหตุผลอธิบายไม่ได้ ก็จะเกรงกลัวต่อสิ่งนั้น แต่ถ้ามนุษย์สัมผัสได้ถึงความกลัว ก็จะหลีกหนี ไปในที่ๆความกลัวไปไม่ถึง แต่ทว่าสิ่งนั้นก็มิอาจเปลี่ยนแปลงความจริงไปจากเดิม……….
เรื่อง ราวที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ เป็น บท กลอน อันเป็นนิรันดร์ ที่ถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลา ว่า มนุษย์นั้นเกิดขึ้นมาเพื่ออะไร ใครคือผู้กำหนด ใครคือผู้ตัดสิน ความดีงาม และ เลวทราม ใครคือผู้ขีดชะตากรรม.............
เหนือ ขึ้นไปบนท้องนภาอันกว้างใหญ่ไพศาลที่ไม่มีจุดสิ้นสุด ที่ๆมนุษย์เชื่อว่าเป็นสถานที่สิงสถิตของสรวงสวรรค์ ลึกเข้าไปในหมู่มวลนภาอันหลากหลาย ลึกลงไปในปราสาทสีขาวอันงดงาม ลึกเข้าไปใจกลางปราสาทสีขาวอันสง่างาม บุรุษหนุ่ม นามหนึ่ง ผู้ไม่เผยรูปร่างหน้าตานั่งอยู่บนเก้าอี้สีขาวอันวิจิต หันใบหน้าไปทาง เตาผิงขนาดใหญ่ ที่ให้แสงสว่างจากการเผาไหม้ของเศษไม้ บุรุษหนุ่มจ้องมองไปยัง โต๊ะกลมตัวหนึ่งที่ถูกแกะสลักด้วยไม้อย่างงดงาม ตั่งเด่นสง่าอยู่บริเวณด้านหน้าเตาผิง ลูกแก้วสีใสขนาดใหญ่ถูกวางอยู่บนโต๊ะไม้ สะท้อนแสงไฟจากเตาผิงสั่นไหวไปตามเปลวไฟที่ลุกโชน บุรุษหนุ่มลุกขึ้นจาก เก้าอี้ตัวที่เคยนั่งเดินไปยัง โต๊ะกลมหน้าเตาผิง พร้อมๆกับจ้องมองลูกแก้วที่วางอยู่บนโต๊ะด้วยแววตาที่ดีใจ จนปิดไม่มิด แล้ววางมือเหนือลูกแก้ว พร้อมๆกับเอ่ยถ้อยคำขึ้นด้วยน้ำเสียงปนแกรมดีใจ “นาฬิกา ทรายที่หยุดเดินมานานเป็นนิรันดร์ บันนี้ถึงเวลาที่จะเริ่มเดินอีกครั้ง เมื่อโชคชะตามาบรรจบ ซึ่ง กันและกัน ทุกอย่างจะถึง จุดเริ่มต้น และ จุดสิ้นสุด.....”
เสียงสายลมพัดกระทบ กระจกหน้าต่าง ปลุกเด็กหนุ่มให้ตื่นขึ้นจากราตรีอันเงียบสงัด เด็กหนุ่มพยุงตัวเองลุกขึ้นนั่งพร้อมๆกับหันมองไปรอบๆห้องที่ตนเองนอนอยู่ เมื่อแสงจันทร์สาดส่องลอดผ่านบานหน้าต่าง เข้ามาภายในบ้านทำให้เห็นสภาพภายในบ้านว่าเก่า และ ทรุดโทรมแค่ไหน หน้าต่างที่ทำมาจากกระจกก็มีรอยแตก พื้นของบ้านบางส่วนก็มีรอยผุพัง สภาพไม่ต่างอะไรไปจากบ้านล้างที่ไม่น่าจะมีผู้คนมาอาศัยอยู่ เด็กหนุ่มเอนตัวลงนอน อีกครั้ง ทำให้ผิวกายสัมผัสกับไม้อันเย็นยะเยือกของเตียงที่ถูกทำขึ้นจากไม้ เด็กหนุ่มนอนขดตัวและกอดอกเพื่อหวังว่าจะช่วยให้หายหนาวจากอากาศที่หนาว เหน็บในยามราี้ แล้วเริ่มข่มตาลงนอนอีกครั้งในราตรี อันเงียบสงัด แต่ไม่ทันที่จะได้หลับลง กลับมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นอย่างเร่งรีบ
“ไปกันได้แล้ว” พร้อมกับเสียงตะโกนที่ดังขึ้น
เด็ก หนุ่มหยุงตัวลุกขึ้นแล้วเดินไปเปิดประตูเพื่อต้อนรับแขกที่มาเยือนในยาม วิกาลเช่นนี้ เมื่อประตูถูกเปิดออกชายแปลกหน้าจ้องมองเด็กหนุ่มที่มาเปิดประตูพร้อมๆกับ พูดต่อ
“เร็วๆเข้า นายท่านรออยู่” ด้วยน้ำเสียงที่เร่งรีบ
เด็ก หนุ่มจ้องมอง ชายแปลกหน้าที่ยืนอยู่หน้าประตู ชายแปลกหน้าสวมเสื้อโค้ดยาวสีดำ ดวงตาแดงกล่ำซึ่งน่าจะเกิดจากการอดนอน บนใบหน้ามีหนวดเคราขึ้นเสมือนไม่ได้ผ่านการโกนมาเป็นเวลานาน เด็กหนุ่มยกมือขึ้นขยี้ดวงตาเพื่อให้หายจากอาการง่วง แล้วตอบชายแปลกหน้ากลับไป
“ไปกัน เลยไหมครับ”
ชาย แปลกหน้าพยักหน้ารับแล้วหันหลังเดินนำเด็กหนุ่มไป เด็กหนุ่มเดินตามชายแปลกหน้าจนมาถึงบริเวณที่รถม้าจอดคอยอยู่ ซึ่งไม่งจากบ้านของเด็กหนุ่มมากนัก ชายแปลกหน้าเปิดประตูรถม้าแล้วก้าวขึ้นไปในรถม้า เด็กหนุ่มก็ก้าวขึ้นตามแล้วไปนั่งลงตรงข้ามกับชายแปลกหน้า เมื่อประตูรถม้าถูกปิดลงเสียงตะโกนก็ดังขึ้น
“ไปได้แล้ว เร็วๆด้วย”
เมื่อ เสียงตะโกนเงียบลงกลับถูกแทนที่ด้วยเสียงล้อและเท้าของม้าที่กระทบกับพื้น ของถนน เป็นสัญญาณว่ารถม้าเริ่มออกวิ่ง รถม้าถูกควบลงมาตามตัวเมืองอันเงียบสงัด เด็กหนุ่มมองรอดผ่านบานหน้าต่างของรถม้า ออกไปเห็นวิวทิวทัศน์ของตัวเมืองยามวิกาล บ้านเรือนหลายหลังถูกสร้างขึ้นจากก้อนอิฐ และไม้ บ้านบางหลังยังคงมีแสงไฟลอดผ่านออกมา แต่ภายด้านนอกตัวบ้านนั้นไม่ต่างอะไรไปจากเมืองล้าง เสียงของรถม้าวิ่งมาเรื่อยจนออกนอกเขตตัวเมือง เข้าสู่เขตชายป่าที่ทั้งสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ที่ขึ้นรายล้อมย้อมไป ด้วยความมืดมิดของยามราตรี มีเพียงแสงจันทร์ที่สาดส่องลอดผ่านต้นไม้เหล่านั้นลงมา เสียงของรถม้าหยุดลง ไม่นานประตูรถม้าถูกเปิดออกโดยชายแปลกหน้าอีกคนซึ่งน่าจะเป็นคนขับรถม้า เมื่อ ประตูถูกเปิดออกชายแปลกหน้าที่นั่งอยู่บนรถม้าก็รีบก้าวเท้าลงมาจากรถม้า อย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มก็ก้าวตามลงมา เมื่อลงจากรถม้าเด็กหนุ่มก็มองเห็น ประตูขนาดใหญ่ที่ถูกทำขึ้นจากเหล็กท่าทางแข็งแรง อยู่เบื้องหน้าตนเอง และกำแพงสูงที่ถูกสร้างขึ้นด้วยอิฐยาวสุดสายตาย้อมหายเข้าไปในเงามืด เสียงรถม้าวิ่งกลับหายเข้าไปในความมืด เมื่อแสงจันทร์ถูกหมู่เมฆยามราตรีบดบัง เสียงฝีเท้าที่กำลังใกล้เข้ามาเริ่มทำลายความเงียบที่กำลังจะก่อตัวขึ้น ไม่นานก็ปรากฏร่าง ชายสวมฮู้ดสีดำกำลังวิ่งออกมาจากด้านในประตู ด้วยท่าทางเร่งรีบ
“นายมาช้านะ คาราส”
เจ้าของนามพยักหน้ารับ “โทษที หาที่อยู่ของเด็กหนุ่มคนนี้ ยาก”
ชาย สวมฮู้ด จ้องมองเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆคาราส เด็กหนุ่มไว้ผมยาวรวบไปด้านหลัง ดวงตาน่าจะมีสองสีแต่ชายสวมฮู้ดไม่แน่ใจมากนัก เพราะบริเวณนั้นมืด มีเพียงแต่แสงสว่างจากตะเกียงที่อยู่ด้านบนของเสาประตูทั้ง สองข้างให้ แสงสว่างแก่บริเวณนั้น คาราสมองชายสวมฮู้ดที่กำลังจ้องมองเด็กหนุ่มอยู่ก็พูดขึ้น
“จะเปิดประตูให้เข้าไปได้หรือยัง” ด้วยน้ำเสียงที่หงุดหงิดเล็กน้อย ชายสวมฮู้ดสะดุ้งขึ้นแล้วรีบเดินมาเปิดประตู
“โทษที โทษที นายท่าน กำลังคอยอยู่”
ไม่ นาน บานประตูเหล็กที่แข็งแรงก็ถูกเปิดออกเพื่อต้อนรับแขกที่มาเยือนในยามวิกาล คาราสเดินผ่านประตูเข้าไปด้านใน เด็กหนุ่มเดิมตามหลังมาเมื่อเดินผ่านชายสวมฮู้ดก็หันกลับไปมองว่าเมื่อครู่ นี้ ตอนที่เขาเอ่ยถึง นายท่าน เขามีน้ำเสียงที่เคารพ และ เกรงกลัวแฝงอยู่ด้วย เด็กหนุ่มเดินเข้ามาด้านในก็สังเกตว่าพื้นที่ตนเองกำลังเดินอยู่นั้นถูกปู ด้วยหินอ่อนเนื้อดี และสองข้างทางก็ถูกประดับประดา ด้วยรูปปั้นมนุษย์ในอากรับ กริยา ท่าทางหวาดกลัวต่างๆ เมื่อแสงจันทร์สาดส่องลงมากระทบรูปปั้นเหล่านั้น ทำให้รู้สึกถึงบรรยากาศแปลกๆ ทำให้เลือดภายในกายของเด็กหนุ่มเย็นเฉียบขึ้นมาทันทีเมื่อจ้องมองรูปปั้น เหล่านั้น เมื่อเดินผ่านรูปปั้นเหล่านั้นมาสักพักก็เริ่มมองเห็นคฤหาสน์อยู่ด้านหน้า เมื่อเดินเข้ามาใกล้ตัวคฤหาสน์ ก็เริ่มมองเห็นโคลงสร้างคฤหาสน์ คฤหาสน์ถูกสร้างด้วยอิฐสีขาว เป็นคฤหาสน์สองชั้น มีบานหน้าต่างมากมาย แต่กลับไม่มีแสงไฟลอดผ่านออกมาจากบานหน้าต่างเหล่านั้นเลย ให้ความรู้สึกเสมือนกับว่าไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ ทั้งสองเดินมาหยุดยืนอยู่ที่บริเวณด้านหน้าประตูของคฤหาสน์ เป็นประตูบานใหญ่ถูกแกะสลักจากไม้ทั้ง ประณีต และ งดงาม มีขั้นบันไดหินสีขาวทอดยาวลงมาจากบานประตู ขณะที่เด็กหนุ่มกำลังมองสำรวจบานประตูอยู่นั้น ประตูก็ถูกเปิดออก บุรุษหนุ่มหน้าตาสะอาดสะอ้าน เดินออกมาจากภายด้านในของบานประตู เขามีดวงตาสีฟ้า ผมดำยาวปะบ่า อยู่ในชุดเสื้อแขนยาวสีขาว กางเกงขายาวสีขาว คล้ายๆกับชุดขุนนาง มือข้างหนึ่งยันไม้เท้าสีขาว ที่ถูกแกะสลักมาจากหินเนื้อดี ขณะที่เด็กหนุ่มกำลังจ้องมอง บุรุษหนุ่มที่เดินออกมา ก็มีเสียงขัดจังหวะจากคนข้างๆดังขึ้น
“นายท่าน นี่คือเด็กหนุ่มฝีมือดีที่สุดในเมือง ครับ”
บุรุษ หนุ่มเจ้าของคฤหาสน์ชำเรืองตามองมาทางเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆคาราส เด็กหนุ่มมีตาสองสี แต่งตัวเหมือนเด็กทั่วๆไปในเมือง บุรุษหนุ่มเจ้าของคฤหาสน์หันกลับมามองทางคาราส
“แน่ใจนะว่า จะไม่ผิดพลาด” คาราสพยักหน้ารับ บุรุษหนุ่มเจ้าของคฤหาสน์จึงพูดต่อ
“คงรู้นะ ว่าถ้าหากพลาดผลจะเป็นอย่างไร” ด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาด คาราสมองสบตากับคนพูด
“จะ ไม่มีคำว่าพลาด ครับ นายท่าน” แล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
บุรุษ หนุ่มเจ้าของคฤหาสน์จ้องมองคาราสแล้วยิ้มขึ้น ก่อนชำเรืองมามองทางเด็กหนุ่มอีกครั้งแล้วหันหลังเดินกลับเข้าไปด้านใน ของคฤหาสน์ เมื่อประตูบานใหญ่ถูกปิดลง ความเงียบสงัดก็เข้ามาปกคลุมอีกคราว เด็กหนุ่มหันมองชายที่ยืนอยู่ข้างๆ
“คุณ คาราส ครับ” เจ้าของนามหันมองคนที่เรียกชื่อตนเองทันที
“เข้า ไปในตัวเมือง” พร้อมๆ กับหันหลังเดินออกจากบริเวณด้านหน้าคฤหาสน์ไป เพราะเขาเดาได้ว่า เด็กหนุ่มต้องการที่จะถามอะไร ทั้งสองเดินออกมาถึงบริเวณทางเข้าคฤหาสน์ เมื่อเดินมาถึงก็พบว่าชายสวมฮู้ดสีดำยังคงยืนอยู่ตามเดิม เมื่อเห็นคาราสเดินเข้ามาเขาก็ยิ้มให้
“คาราส” เจ้าของนามจ้องมองคนที่เรียกชื่อตัวเอง
“ขอ ให้โชคดี” คา ราสยิ้มรับ เมื่อเดินลอดผ่านประตูออกมาประตูที่เคยเปิดต้อนรับแขกที่มาเยือนก็ถูกปิดลง พร้อมๆกับชายสวมฮู้ดสีดำเดินหายเข้าในเงามืดด้านใน เมื่อเดินออกมาพ้นอาณาเขตของคฤหาสน์ รถม้าคันเดิมก็มาจอดคอยอยู่ คาราสเดินไปสั่งคนขับรถม้าก่อนจะเดินขึ้นรถม้า เด็กหนุ่มก้าวเท้าขึ้นตาม เมื่อประตูรถม้าถูกปิดลงรถม้าก็ออกวิ่งอีก ครั้ง ออกจากบริเวณทางเข้าของคฤหาสน์ เข้าสู่เขตชายป่า มุ่งเข้าสู่เขตตัวเมือง เสียงล้อและเท้าของรถม้าหยุดลง เป็นสัญณาณว่ารถม้าวิ่งมาถึงจุดหมาย คาราสก้าวลงจากรถม้า เด็กหนุ่มก้าวตามลงมาพร้อมๆกับหันมองบริเวณโดยรอบที่รถม้ามาจอด รถม้ามาจอดอยู่ที่หน้าบาร์แห่งหนึ่งในตัวเมือง ซึ่งร้านปิดแล้ว ไม่ต่างอะไรไปจากตัวเมืองที่เงียบสงัด คาราสเดินไปสั่งคนขับรถม้าอีกครั้งก่อนที่รถม้าจะวิ่งออกไปจากบริเวณหน้า บาร์ เมื่อรถม้าวิ่งออกไปแล้ว คาราสหันมองรอบๆก่อนจะเดินไปเคาะประตูร้าน ที่ถูกปิดในยามนี้ ไม่นานก็มีเสียงบ่นแว่วๆดังออกมาจากด้านในบานประตู
“ใคร วะ ดึกตื่นป่านนี้แล้วไม่รู้จัก เวล่ำ เวลา” พร้อมๆ กับมีเสียง กกัก ดังขึ้นที่บานประตู เมื่อเสียจบลงไม่นานประตูร้านก็ถูกเปิดออกเผยให้เห็นใบหน้าของผู้มาเปิด ประตู เป็นชายค่อนข้างมีอายุ รูปร่างอ้วน หัวล้าน จมูกแดงเหมือนคนเมา
“คาราส นายน่าจะรู้จักเวลา บ้างน้า” คาราสจ้องมองเจ้าของร้านที่มาเปิดประตูก็ยิ้มให้
“ขอโทษที” เจ้าของร้านจ้องมองชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าก็ถอนหายใจ
“ช่วยไม่ได้ เอาเข้ามาสิ” เจ้าของร้านก็หลบทางให้เดินเข้ามาด้านในแต่ก่อนที่จะหลบทางให้ก็เหลือบไปเห็นเด็กหนุ่มยืนอยู่ข้างๆคาราส
“ไอ้ เด็กท่าทางสกปรกนั้น มากับนายหรอ” คาราสหันมองเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ก่อนจะหันมาพยักหน้าให้เจ้าของร้าน เจ้าของร้านจ้องมองเด็กหนุ่มก่อนจะถอนหายใจ
“เอาเถอะไหนๆ ร้านก็ปิดแล้ว เข้ามาสิ” เมื่อ พูดจบเจ้าของร้านก็หลบทางให้ คาราส กับ เด็กหนุ่ม เดินเข้า ไปด้านในของร้าน คาราสเดินไปนั่งโต๊ะตัวที่ติดกับริมหน้าต่าง แล้วบอกให้เด็กหนุ่มนั่งลง เมื่อเด็กหนุ่มนั่งลง เจ้าของร้านก็เดินน้ำเครื่องดื่มมาเสริฟ
“อยาก ได้อะไรเพิ่มก็เรียกนะ” คารา สหยักหน้ารับ เจ้าของร้านก็เดินหายไปที่ด้านหลังของเคาน์เตอร์บาร์ ปล่อย ให้คาราส และเด็กหนุ่ม นั่งอยู่ตามลำพัง คาราสจ้องมองเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับตนเอง
“นายคือ รีฟอส หัวขโมยที่เก่งที่ สุดในเมือง ราเทียน่า สินะ” เด็กหนุ่มเจ้าของนามพยักหน้ารับ คาราสจึงพูดต่อ
“ฉันมีงานให้นายทำ ค่าจ้าง 5 แสน จีริ่ง” “จ่ายตอนนี้ก่อน 1แสนจีริ่งที่เหลือหลังเสร็จงาน” คาราสควักเงินออกมาจากกระเป๋าเสื้อโค้ดแล้ววางลงบนโต๊ะ
“ตกลงจะรับงานหรือเปล่า” รีฟอสมองเงินที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วพยักหน้ารับ
“จะให้ผมทำอะไรครับ”รีฟอสถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สงสัย คาราสยิ้มรับ
“เอาเงินไปก่อน แล้วพรุ่งนี้ เวลานี้ มาที่บาร์นี่” เด็กหนุ่มพยักหน้ารับพร้อมๆกับยื่นมือไปหยิบเงินบนโต๊ะ
“นายต้องการคนช่วยมั้ย” คาราสถามขึ้นพร้อมๆกับจ้องมองเด็กหนุ่ม
“ไม่เป็นไรครับ” คา ราสยิ้มรับ แล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินออกจากร้านไป คาราสเดินมาหยุดยืนอยู่ที่บริเวณหน้าร้าน เด็กหนุ่มก็เดินตามออกมา แล้วหันมองเด็กหนุ่มที่เดินตามออกมา
“พรุ่งนี้ เวลานี้ อย่างลืมล่ะ” “ถ้านายคิดจะหนีอย่างคิด ว่าจะรอด”ด้วย น้ำเสียงที่จริงจัง เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ เมื่อพูดจบคาราสก็ยิ้มให้ก่อนจะเดินหายเข้าไปในตรอกอันมืดมิดที่อยู่ข้าง บาร์ ปล่อยให้เด็กหนุ่มยืนอยู่ตามลำพัง ปล่อยให้ความมืด และ ความเงียบเข้าปกคลุมตัวเองและตัวเมืองอีกคราว...........
ปีกนางฟ้า (Angel Wing) The Book Of Darkness I
The Book Of Darkness
I
มนุษย์ นั้นเมื่อเจอสิ่งที่ไม่คุ้นเคย แปลกประหลาด จนหาเหตุผลอธิบายไม่ได้ ก็จะเกรงกลัวต่อสิ่งนั้น แต่ถ้ามนุษย์สัมผัสได้ถึงความกลัว ก็จะหลีกหนี ไปในที่ๆความกลัวไปไม่ถึง แต่ทว่าสิ่งนั้นก็มิอาจเปลี่ยนแปลงความจริงไปจากเดิม……….
เรื่อง ราวที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ เป็น บท กลอน อันเป็นนิรันดร์ ที่ถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลา ว่า มนุษย์นั้นเกิดขึ้นมาเพื่ออะไร ใครคือผู้กำหนด ใครคือผู้ตัดสิน ความดีงาม และ เลวทราม ใครคือผู้ขีดชะตากรรม.............
เหนือ ขึ้นไปบนท้องนภาอันกว้างใหญ่ไพศาลที่ไม่มีจุดสิ้นสุด ที่ๆมนุษย์เชื่อว่าเป็นสถานที่สิงสถิตของสรวงสวรรค์ ลึกเข้าไปในหมู่มวลนภาอันหลากหลาย ลึกลงไปในปราสาทสีขาวอันงดงาม ลึกเข้าไปใจกลางปราสาทสีขาวอันสง่างาม บุรุษหนุ่ม นามหนึ่ง ผู้ไม่เผยรูปร่างหน้าตานั่งอยู่บนเก้าอี้สีขาวอันวิจิต หันใบหน้าไปทาง เตาผิงขนาดใหญ่ ที่ให้แสงสว่างจากการเผาไหม้ของเศษไม้ บุรุษหนุ่มจ้องมองไปยัง โต๊ะกลมตัวหนึ่งที่ถูกแกะสลักด้วยไม้อย่างงดงาม ตั่งเด่นสง่าอยู่บริเวณด้านหน้าเตาผิง ลูกแก้วสีใสขนาดใหญ่ถูกวางอยู่บนโต๊ะไม้ สะท้อนแสงไฟจากเตาผิงสั่นไหวไปตามเปลวไฟที่ลุกโชน บุรุษหนุ่มลุกขึ้นจาก เก้าอี้ตัวที่เคยนั่งเดินไปยัง โต๊ะกลมหน้าเตาผิง พร้อมๆกับจ้องมองลูกแก้วที่วางอยู่บนโต๊ะด้วยแววตาที่ดีใจ จนปิดไม่มิด แล้ววางมือเหนือลูกแก้ว พร้อมๆกับเอ่ยถ้อยคำขึ้นด้วยน้ำเสียงปนแกรมดีใจ “นาฬิกา ทรายที่หยุดเดินมานานเป็นนิรันดร์ บันนี้ถึงเวลาที่จะเริ่มเดินอีกครั้ง เมื่อโชคชะตามาบรรจบ ซึ่ง กันและกัน ทุกอย่างจะถึง จุดเริ่มต้น และ จุดสิ้นสุด.....”
เสียงสายลมพัดกระทบ กระจกหน้าต่าง ปลุกเด็กหนุ่มให้ตื่นขึ้นจากราตรีอันเงียบสงัด เด็กหนุ่มพยุงตัวเองลุกขึ้นนั่งพร้อมๆกับหันมองไปรอบๆห้องที่ตนเองนอนอยู่ เมื่อแสงจันทร์สาดส่องลอดผ่านบานหน้าต่าง เข้ามาภายในบ้านทำให้เห็นสภาพภายในบ้านว่าเก่า และ ทรุดโทรมแค่ไหน หน้าต่างที่ทำมาจากกระจกก็มีรอยแตก พื้นของบ้านบางส่วนก็มีรอยผุพัง สภาพไม่ต่างอะไรไปจากบ้านล้างที่ไม่น่าจะมีผู้คนมาอาศัยอยู่ เด็กหนุ่มเอนตัวลงนอน อีกครั้ง ทำให้ผิวกายสัมผัสกับไม้อันเย็นยะเยือกของเตียงที่ถูกทำขึ้นจากไม้ เด็กหนุ่มนอนขดตัวและกอดอกเพื่อหวังว่าจะช่วยให้หายหนาวจากอากาศที่หนาว เหน็บในยามราี้ แล้วเริ่มข่มตาลงนอนอีกครั้งในราตรี อันเงียบสงัด แต่ไม่ทันที่จะได้หลับลง กลับมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นอย่างเร่งรีบ
“ไปกันได้แล้ว” พร้อมกับเสียงตะโกนที่ดังขึ้น
เด็ก หนุ่มหยุงตัวลุกขึ้นแล้วเดินไปเปิดประตูเพื่อต้อนรับแขกที่มาเยือนในยาม วิกาลเช่นนี้ เมื่อประตูถูกเปิดออกชายแปลกหน้าจ้องมองเด็กหนุ่มที่มาเปิดประตูพร้อมๆกับ พูดต่อ
“เร็วๆเข้า นายท่านรออยู่” ด้วยน้ำเสียงที่เร่งรีบ
เด็ก หนุ่มจ้องมอง ชายแปลกหน้าที่ยืนอยู่หน้าประตู ชายแปลกหน้าสวมเสื้อโค้ดยาวสีดำ ดวงตาแดงกล่ำซึ่งน่าจะเกิดจากการอดนอน บนใบหน้ามีหนวดเคราขึ้นเสมือนไม่ได้ผ่านการโกนมาเป็นเวลานาน เด็กหนุ่มยกมือขึ้นขยี้ดวงตาเพื่อให้หายจากอาการง่วง แล้วตอบชายแปลกหน้ากลับไป
“ไปกัน เลยไหมครับ”
ชาย แปลกหน้าพยักหน้ารับแล้วหันหลังเดินนำเด็กหนุ่มไป เด็กหนุ่มเดินตามชายแปลกหน้าจนมาถึงบริเวณที่รถม้าจอดคอยอยู่ ซึ่งไม่งจากบ้านของเด็กหนุ่มมากนัก ชายแปลกหน้าเปิดประตูรถม้าแล้วก้าวขึ้นไปในรถม้า เด็กหนุ่มก็ก้าวขึ้นตามแล้วไปนั่งลงตรงข้ามกับชายแปลกหน้า เมื่อประตูรถม้าถูกปิดลงเสียงตะโกนก็ดังขึ้น
“ไปได้แล้ว เร็วๆด้วย”
เมื่อ เสียงตะโกนเงียบลงกลับถูกแทนที่ด้วยเสียงล้อและเท้าของม้าที่กระทบกับพื้น ของถนน เป็นสัญญาณว่ารถม้าเริ่มออกวิ่ง รถม้าถูกควบลงมาตามตัวเมืองอันเงียบสงัด เด็กหนุ่มมองรอดผ่านบานหน้าต่างของรถม้า ออกไปเห็นวิวทิวทัศน์ของตัวเมืองยามวิกาล บ้านเรือนหลายหลังถูกสร้างขึ้นจากก้อนอิฐ และไม้ บ้านบางหลังยังคงมีแสงไฟลอดผ่านออกมา แต่ภายด้านนอกตัวบ้านนั้นไม่ต่างอะไรไปจากเมืองล้าง เสียงของรถม้าวิ่งมาเรื่อยจนออกนอกเขตตัวเมือง เข้าสู่เขตชายป่าที่ทั้งสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ที่ขึ้นรายล้อมย้อมไป ด้วยความมืดมิดของยามราตรี มีเพียงแสงจันทร์ที่สาดส่องลอดผ่านต้นไม้เหล่านั้นลงมา เสียงของรถม้าหยุดลง ไม่นานประตูรถม้าถูกเปิดออกโดยชายแปลกหน้าอีกคนซึ่งน่าจะเป็นคนขับรถม้า เมื่อ ประตูถูกเปิดออกชายแปลกหน้าที่นั่งอยู่บนรถม้าก็รีบก้าวเท้าลงมาจากรถม้า อย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มก็ก้าวตามลงมา เมื่อลงจากรถม้าเด็กหนุ่มก็มองเห็น ประตูขนาดใหญ่ที่ถูกทำขึ้นจากเหล็กท่าทางแข็งแรง อยู่เบื้องหน้าตนเอง และกำแพงสูงที่ถูกสร้างขึ้นด้วยอิฐยาวสุดสายตาย้อมหายเข้าไปในเงามืด เสียงรถม้าวิ่งกลับหายเข้าไปในความมืด เมื่อแสงจันทร์ถูกหมู่เมฆยามราตรีบดบัง เสียงฝีเท้าที่กำลังใกล้เข้ามาเริ่มทำลายความเงียบที่กำลังจะก่อตัวขึ้น ไม่นานก็ปรากฏร่าง ชายสวมฮู้ดสีดำกำลังวิ่งออกมาจากด้านในประตู ด้วยท่าทางเร่งรีบ
“นายมาช้านะ คาราส”
เจ้าของนามพยักหน้ารับ “โทษที หาที่อยู่ของเด็กหนุ่มคนนี้ ยาก”
ชาย สวมฮู้ด จ้องมองเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆคาราส เด็กหนุ่มไว้ผมยาวรวบไปด้านหลัง ดวงตาน่าจะมีสองสีแต่ชายสวมฮู้ดไม่แน่ใจมากนัก เพราะบริเวณนั้นมืด มีเพียงแต่แสงสว่างจากตะเกียงที่อยู่ด้านบนของเสาประตูทั้ง สองข้างให้ แสงสว่างแก่บริเวณนั้น คาราสมองชายสวมฮู้ดที่กำลังจ้องมองเด็กหนุ่มอยู่ก็พูดขึ้น
“จะเปิดประตูให้เข้าไปได้หรือยัง” ด้วยน้ำเสียงที่หงุดหงิดเล็กน้อย ชายสวมฮู้ดสะดุ้งขึ้นแล้วรีบเดินมาเปิดประตู
“โทษที โทษที นายท่าน กำลังคอยอยู่”
ไม่ นาน บานประตูเหล็กที่แข็งแรงก็ถูกเปิดออกเพื่อต้อนรับแขกที่มาเยือนในยามวิกาล คาราสเดินผ่านประตูเข้าไปด้านใน เด็กหนุ่มเดิมตามหลังมาเมื่อเดินผ่านชายสวมฮู้ดก็หันกลับไปมองว่าเมื่อครู่ นี้ ตอนที่เขาเอ่ยถึง นายท่าน เขามีน้ำเสียงที่เคารพ และ เกรงกลัวแฝงอยู่ด้วย เด็กหนุ่มเดินเข้ามาด้านในก็สังเกตว่าพื้นที่ตนเองกำลังเดินอยู่นั้นถูกปู ด้วยหินอ่อนเนื้อดี และสองข้างทางก็ถูกประดับประดา ด้วยรูปปั้นมนุษย์ในอากรับ กริยา ท่าทางหวาดกลัวต่างๆ เมื่อแสงจันทร์สาดส่องลงมากระทบรูปปั้นเหล่านั้น ทำให้รู้สึกถึงบรรยากาศแปลกๆ ทำให้เลือดภายในกายของเด็กหนุ่มเย็นเฉียบขึ้นมาทันทีเมื่อจ้องมองรูปปั้น เหล่านั้น เมื่อเดินผ่านรูปปั้นเหล่านั้นมาสักพักก็เริ่มมองเห็นคฤหาสน์อยู่ด้านหน้า เมื่อเดินเข้ามาใกล้ตัวคฤหาสน์ ก็เริ่มมองเห็นโคลงสร้างคฤหาสน์ คฤหาสน์ถูกสร้างด้วยอิฐสีขาว เป็นคฤหาสน์สองชั้น มีบานหน้าต่างมากมาย แต่กลับไม่มีแสงไฟลอดผ่านออกมาจากบานหน้าต่างเหล่านั้นเลย ให้ความรู้สึกเสมือนกับว่าไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ ทั้งสองเดินมาหยุดยืนอยู่ที่บริเวณด้านหน้าประตูของคฤหาสน์ เป็นประตูบานใหญ่ถูกแกะสลักจากไม้ทั้ง ประณีต และ งดงาม มีขั้นบันไดหินสีขาวทอดยาวลงมาจากบานประตู ขณะที่เด็กหนุ่มกำลังมองสำรวจบานประตูอยู่นั้น ประตูก็ถูกเปิดออก บุรุษหนุ่มหน้าตาสะอาดสะอ้าน เดินออกมาจากภายด้านในของบานประตู เขามีดวงตาสีฟ้า ผมดำยาวปะบ่า อยู่ในชุดเสื้อแขนยาวสีขาว กางเกงขายาวสีขาว คล้ายๆกับชุดขุนนาง มือข้างหนึ่งยันไม้เท้าสีขาว ที่ถูกแกะสลักมาจากหินเนื้อดี ขณะที่เด็กหนุ่มกำลังจ้องมอง บุรุษหนุ่มที่เดินออกมา ก็มีเสียงขัดจังหวะจากคนข้างๆดังขึ้น
“นายท่าน นี่คือเด็กหนุ่มฝีมือดีที่สุดในเมือง ครับ”
บุรุษ หนุ่มเจ้าของคฤหาสน์ชำเรืองตามองมาทางเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆคาราส เด็กหนุ่มมีตาสองสี แต่งตัวเหมือนเด็กทั่วๆไปในเมือง บุรุษหนุ่มเจ้าของคฤหาสน์หันกลับมามองทางคาราส
“แน่ใจนะว่า จะไม่ผิดพลาด” คาราสพยักหน้ารับ บุรุษหนุ่มเจ้าของคฤหาสน์จึงพูดต่อ
“คงรู้นะ ว่าถ้าหากพลาดผลจะเป็นอย่างไร” ด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาด คาราสมองสบตากับคนพูด
“จะ ไม่มีคำว่าพลาด ครับ นายท่าน” แล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
บุรุษ หนุ่มเจ้าของคฤหาสน์จ้องมองคาราสแล้วยิ้มขึ้น ก่อนชำเรืองมามองทางเด็กหนุ่มอีกครั้งแล้วหันหลังเดินกลับเข้าไปด้านใน ของคฤหาสน์ เมื่อประตูบานใหญ่ถูกปิดลง ความเงียบสงัดก็เข้ามาปกคลุมอีกคราว เด็กหนุ่มหันมองชายที่ยืนอยู่ข้างๆ
“คุณ คาราส ครับ” เจ้าของนามหันมองคนที่เรียกชื่อตนเองทันที
“เข้า ไปในตัวเมือง” พร้อมๆ กับหันหลังเดินออกจากบริเวณด้านหน้าคฤหาสน์ไป เพราะเขาเดาได้ว่า เด็กหนุ่มต้องการที่จะถามอะไร ทั้งสองเดินออกมาถึงบริเวณทางเข้าคฤหาสน์ เมื่อเดินมาถึงก็พบว่าชายสวมฮู้ดสีดำยังคงยืนอยู่ตามเดิม เมื่อเห็นคาราสเดินเข้ามาเขาก็ยิ้มให้
“คาราส” เจ้าของนามจ้องมองคนที่เรียกชื่อตัวเอง
“ขอ ให้โชคดี” คา ราสยิ้มรับ เมื่อเดินลอดผ่านประตูออกมาประตูที่เคยเปิดต้อนรับแขกที่มาเยือนก็ถูกปิดลง พร้อมๆกับชายสวมฮู้ดสีดำเดินหายเข้าในเงามืดด้านใน เมื่อเดินออกมาพ้นอาณาเขตของคฤหาสน์ รถม้าคันเดิมก็มาจอดคอยอยู่ คาราสเดินไปสั่งคนขับรถม้าก่อนจะเดินขึ้นรถม้า เด็กหนุ่มก้าวเท้าขึ้นตาม เมื่อประตูรถม้าถูกปิดลงรถม้าก็ออกวิ่งอีก ครั้ง ออกจากบริเวณทางเข้าของคฤหาสน์ เข้าสู่เขตชายป่า มุ่งเข้าสู่เขตตัวเมือง เสียงล้อและเท้าของรถม้าหยุดลง เป็นสัญณาณว่ารถม้าวิ่งมาถึงจุดหมาย คาราสก้าวลงจากรถม้า เด็กหนุ่มก้าวตามลงมาพร้อมๆกับหันมองบริเวณโดยรอบที่รถม้ามาจอด รถม้ามาจอดอยู่ที่หน้าบาร์แห่งหนึ่งในตัวเมือง ซึ่งร้านปิดแล้ว ไม่ต่างอะไรไปจากตัวเมืองที่เงียบสงัด คาราสเดินไปสั่งคนขับรถม้าอีกครั้งก่อนที่รถม้าจะวิ่งออกไปจากบริเวณหน้า บาร์ เมื่อรถม้าวิ่งออกไปแล้ว คาราสหันมองรอบๆก่อนจะเดินไปเคาะประตูร้าน ที่ถูกปิดในยามนี้ ไม่นานก็มีเสียงบ่นแว่วๆดังออกมาจากด้านในบานประตู
“ใคร วะ ดึกตื่นป่านนี้แล้วไม่รู้จัก เวล่ำ เวลา” พร้อมๆ กับมีเสียง กกัก ดังขึ้นที่บานประตู เมื่อเสียจบลงไม่นานประตูร้านก็ถูกเปิดออกเผยให้เห็นใบหน้าของผู้มาเปิด ประตู เป็นชายค่อนข้างมีอายุ รูปร่างอ้วน หัวล้าน จมูกแดงเหมือนคนเมา
“คาราส นายน่าจะรู้จักเวลา บ้างน้า” คาราสจ้องมองเจ้าของร้านที่มาเปิดประตูก็ยิ้มให้
“ขอโทษที” เจ้าของร้านจ้องมองชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าก็ถอนหายใจ
“ช่วยไม่ได้ เอาเข้ามาสิ” เจ้าของร้านก็หลบทางให้เดินเข้ามาด้านในแต่ก่อนที่จะหลบทางให้ก็เหลือบไปเห็นเด็กหนุ่มยืนอยู่ข้างๆคาราส
“ไอ้ เด็กท่าทางสกปรกนั้น มากับนายหรอ” คาราสหันมองเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ก่อนจะหันมาพยักหน้าให้เจ้าของร้าน เจ้าของร้านจ้องมองเด็กหนุ่มก่อนจะถอนหายใจ
“เอาเถอะไหนๆ ร้านก็ปิดแล้ว เข้ามาสิ” เมื่อ พูดจบเจ้าของร้านก็หลบทางให้ คาราส กับ เด็กหนุ่ม เดินเข้า ไปด้านในของร้าน คาราสเดินไปนั่งโต๊ะตัวที่ติดกับริมหน้าต่าง แล้วบอกให้เด็กหนุ่มนั่งลง เมื่อเด็กหนุ่มนั่งลง เจ้าของร้านก็เดินน้ำเครื่องดื่มมาเสริฟ
“อยาก ได้อะไรเพิ่มก็เรียกนะ” คารา สหยักหน้ารับ เจ้าของร้านก็เดินหายไปที่ด้านหลังของเคาน์เตอร์บาร์ ปล่อย ให้คาราส และเด็กหนุ่ม นั่งอยู่ตามลำพัง คาราสจ้องมองเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับตนเอง
“นายคือ รีฟอส หัวขโมยที่เก่งที่ สุดในเมือง ราเทียน่า สินะ” เด็กหนุ่มเจ้าของนามพยักหน้ารับ คาราสจึงพูดต่อ
“ฉันมีงานให้นายทำ ค่าจ้าง 5 แสน จีริ่ง” “จ่ายตอนนี้ก่อน 1แสนจีริ่งที่เหลือหลังเสร็จงาน” คาราสควักเงินออกมาจากกระเป๋าเสื้อโค้ดแล้ววางลงบนโต๊ะ
“ตกลงจะรับงานหรือเปล่า” รีฟอสมองเงินที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วพยักหน้ารับ
“จะให้ผมทำอะไรครับ”รีฟอสถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สงสัย คาราสยิ้มรับ
“เอาเงินไปก่อน แล้วพรุ่งนี้ เวลานี้ มาที่บาร์นี่” เด็กหนุ่มพยักหน้ารับพร้อมๆกับยื่นมือไปหยิบเงินบนโต๊ะ
“นายต้องการคนช่วยมั้ย” คาราสถามขึ้นพร้อมๆกับจ้องมองเด็กหนุ่ม
“ไม่เป็นไรครับ” คา ราสยิ้มรับ แล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินออกจากร้านไป คาราสเดินมาหยุดยืนอยู่ที่บริเวณหน้าร้าน เด็กหนุ่มก็เดินตามออกมา แล้วหันมองเด็กหนุ่มที่เดินตามออกมา
“พรุ่งนี้ เวลานี้ อย่างลืมล่ะ” “ถ้านายคิดจะหนีอย่างคิด ว่าจะรอด”ด้วย น้ำเสียงที่จริงจัง เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ เมื่อพูดจบคาราสก็ยิ้มให้ก่อนจะเดินหายเข้าไปในตรอกอันมืดมิดที่อยู่ข้าง บาร์ ปล่อยให้เด็กหนุ่มยืนอยู่ตามลำพัง ปล่อยให้ความมืด และ ความเงียบเข้าปกคลุมตัวเองและตัวเมืองอีกคราว...........