อกหัก ไม่สบาย ไปหาหมอ พอบอกหมอว่าน้ำหนักลง 6 ปอนด์ใน 6 วัน พร้อมเรื่องราว แล้วหมอก็ให้กอดใหญ่ๆ กลับมา

เราคบผู้ชายคนนึงมาสองปีครึ่ง เจอกันที่มหาลัย background เค้าคือวิศวะ แล้วเปลี่ยนสาย แต่ของเราอยู่สายนี้ และทำงานสายนี้ พอเรียนต่อเลยไม่มีปัญหาอะไร เราก็ช่วยกันเรียน ความที่เรามาคนเดียว มีเพื่อนคนไทยสองสามคน ความใกล้กัน กลายเป็นความรู้สึกดีและคบกัน

หลังจากเราคบกันไปครึ่งปี ช่วงที่เค้ากลับไปเยี่ยมพ่อแม่ที่ประเทศเค้า เรารู้สึกได้ว่าทำไมไม่เคยเห็นอะไร ทำไมรู้สึกเหมือนเป็นตัวละครลับ พอถามเค้าก็บอกพ่อเค้าไม่ชอบ ทะเลาะกันเพราะเราไม่เชื่อใจ บวกกับพ่อเค้าบอกจะให้เค้ากลับไปคบกับคนเก่า สุดท้ายเค้าขอเลิกกับเรา ถามไปถามมาบอกเหตุผลเพิ่มว่าเพราะนิสัยเรา งี่เง่า นิสัยเด็ก ชอบคิดไปเอง เราเลยขอโอกาศอีกครั้ง และเค้าบอกว่าถึงกลับมาคบกัน ยังไงเค้าเรียนจบเค้าก็จะไป แต่เรารักมาก เสียใจ กินไม่ได้ สองสามวันแรกนี่น้ำไม่ลงท้องสักหยด กล้วยหอมครึ่งลูกคือมากสุดที่กินได้ในแต่ละวัน นอนไม่ได้และต้องพึ่งยานอนหลับ

ใช้เวลาอยู่สองสามเดือนพยายามพิสูจน์ตัวเองให้เค้ากลับมา ทำตัวให้ดีขึ้น แล้วโชคดีเราได้งานก่อนเรียนจบ เลยเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยอยู่สองเทอม ช่วงนั้นต่อให้เหนื่อยแค่ไหนก็มีความสุขเพราะเค้าอยู่ใกล้ๆ เราแทบไม่ทะเลาะกันเลย

เค้าพยายามหางานที่นี่แต่หาไม่ได้เลย เพราะเค้าไม่มีประสบการณ์ทำงานสายนี้ เคยแต่ช่วยธุรกิจที่บ้าน ซึ่งต่างกับเราที่ทำงานเกือบ 10 ปี สุดท้ายพอแผนกเราต้องการคนเพิ่ม เราเลยคุยกับนาย เราดันเค้าสุดฤทธิ์ ถึงแม้เค้าไม่มีประสบการณ์ แต่เราสร้างให้หมด เราทำให้ resume เค้ากลายเป็นมีประสบการณ์ 3-4 ปี พอเค้าทำข้อสอบเข้างานเราก็ช่วย เขียน reference เราก็ช่วย จนเค้าได้งานมา

เราย้ายมาอยู่ด้วยกันช่วงเดียวกับเค้าเริ่มงาน การทะเลาะกลับมาและรุนแรง เราโมโหกับคำถามเล็กน้อยในที่ทำงาน อารมณ์แบบเรื่องแค่นี้ทำไมไม่รู้ logic นี้มันพื้นฐานนะ algorithm นี้มันไม่ได้ซับซ้อนอะไรทำไมไม่เข้าใจ เก็บลากยาวพาลทะเลาะกันบ้านจะแตก ยังดีที่เราร้อน เค้าเย็น

หลังจากปรับกัน 2-3 เดือนก็ดีขึ้น ปัญหานี้หมดไป ปัญหาใหม่มาเพราะ visa เค้าจะหมด เค้ายังทำงานได้แต่ออกนอกประเทศไม่ได้ ซึ่งเค้าอยากกลับไปเยี่ยมพ่อแม่ปีละหน เค้ารู้ตัวว่าการขอนายเรื่อง work permit มันยาก เพราะนายให้ความสำคัญเรามากกว่า เลยมองหาลู่ทางลงทุน เราก็จัดแจงโทรหาทนาย เช็คนู่นนี่นั่นจนรู้ละเอียด แต่สุดท้ายเค้าบอกพ่อเค้าไม่ให้เงินและพยายามหาทางหาเงิน

ระหว่างนี้พ่อแม่เรามาเค้าก็ดูแลอย่างดี พ่อเราถามเรื่องแต่งเพราะอายุเข้าเลขสามกันทั้งคู่แล้ว แต่เค้าบอกไม่มีเงิน อยากซื้อบ้านก่อน ซึ่งเราก็เห็นด้วย เราไม่ได้ซีเรียสกับงานแต่งเพราะเราคิดว่าเหมือนเอาเงินไปละลาย พ่อเราก็เซ็งกลับไทยไป

ปัญหาเดิมยังมีอยู่คือไม่มีเงิน เรื่องบ้านไม่ต้องคิด เราก็เลย...โอเคไม่มีเงินไม่เป็นรัย เดี๋ยวเรารับงานเพิ่ม (% การหางานของเราง่ายกว่าเค้าเยอะ) ซึ่งเราเคยบอกเค้าไปนานแล้วว่าเราไม่อยากทำงานหลายที่เพราะเราทำแบบนั้นมาจะ 10 ปีแล้วเราเหนื่อยมาก เค้าอาจจะลืม และมีปัจจัยบางอย่างทำให้การขอ work permit ของเรามีปัญหา อาจจะต้องกลับไปเรียนต่อเพิ่มซึ่งพ่อไม่จ่ายให้แล้ว ต้องหาเงินเรียนเอง เราเลยเครียดหนัก แล้วอยู่ช่วงหางานเพิ่มแล้วยังไม่ได้ ความกดดันที่ตัวเองสร้างทำให้เครียดแล้วเหวี่ยง หน้าบูด เค้าจะรู้ได้จากหน้าเราและคอยถามว่าเป็นอะไร เราคอยแต่บอกว่าไม่มีอะไร เค้าก็ซักเข้าๆ เราเป็นคนขี้หงุดหงิด ถ้าถามเกินสองรอบจะเริ่มไม่โอเคละ จนระเบิด เรื่องที่สะสมในใจออกมาพร้อมการทะเลาะ

หลังจากผ่านจุดนั้น เราหางานเพิ่มได้ work permit ดูเหมือนจะแก้ไขได้ เหมือนอะไรๆจะดี แล้วก็มีมาใหม่ว่าเค้าอยากเอาพ่อเค้ามาอยู่ด้วย แต่เค้าไม่มีสถานะ จะขอนายก็ไม่น่าเป็นไปได้เพราะนายไม่ให้ความสำคัญเค้า แล้วถ้าจะเอาพ่อมาใช้สวัสดิการก็ควรจะมี green card ซึ่งเคสเค้าขอแบบ expert หรือ professional อะไรไม่ได้ วิธีเดียวที่เค้าคิดได้คือแต่งงาน

เค้าอยากให้เราถามเพื่อนที่แต่งงานที่นี่ให้ว่าขั้นตอนอะไรยังไง เราก็ถามให้เสร็จสรรพ เราบอกว่ามันต้องใช้เวลานะ ไม่ใช่คบสองวันแล้วแต่งมันไม่มีทางได้หรอก เค้าเลยขอความช่วยเหลือจากนักบวชในศาสนาเค้าว่าเค้ามีปัญหาเรื่องสถานะ อยากหาคนแต่งงาน (เค้าบอกว่าตัวเองโสด) มันเลยเป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบ

เค้าบอกเราว่านักบวชแนะนำคนนี้มาให้ แต่ไม่ชอบเพราะเป็นคนชาตินี้ๆ เราก็บอกอย่าเลือกเลย คุณไม่ได้ทุกอย่างอย่างใจหรอก แล้วตอนนั้นก็คิดว่าเค้าแค่แต่งเอาสถานะ ไม่ได้คิดว่าจะทิ้งกัน

โดยนิสัยเราไม่เคยเช็คโทรศัพท์ คบกันมาสองปีกว่าไม่เคยมีเรื่องนี้ มีแต่เค้ามาแอบดูโทรศัพท์เราบ้าง จนวันนึงเรารู้สึกได้ถึงการนั่ง text ตลอดเวลา ตลอดตั้งแต่เช้ายันดึก ช่วงเช้าเค้าบอกเราว่านักบวชชวนเค้าไป California เพื่อไปเจอผู้หญิง และเค้าบอกเค้าไม่ได้ตอบอะไร ตอนค่ำที่เค้าอาบน้ำเราเลยเปิดดูโทรศัพท์ เราไม่เข้าใจภาษาเค้า แต่เราเห็นเค้าส่งภาพอาหารที่เราทำกับเค้า ภาพช่วง Halloween ที่เราถ่ายแล้วเค้าขอ เห็นเวลาที่คุยกันทั้งวัน เราพยายามเก็บอาการ ไปอาบน้ำก็ทนไม่ไหว ร้องไห้ ร้องนานไปหน่อยตาบวม ออกมาเค้าเลยถาม พอเราบอกว่าไม่มีอะไรเค้าเลยบอกว่าเพราะเรื่องนั้นรึปล่าว เราบอกปล่าว (ซึ่งก็ปล่าวจริงๆ) เค้าถามว่าเช็คโทรศัพท์เค้าหรอ เราก็บอกปล่าว (อันนี้โกหก) แล้วเค้าถามย้ำเรื่องโทรศัพท์อีกสองสามรอบจนเราถามว่าโทรศัพท์มีอะไรหรอ ทำไมถามจัง แล้วการทะเลาะแตกหักก็เริ่มขึ้น แต่มันเป็นการทะเลาะที่ตรงข้ามกับทุกครั้ง เพราะเราเย็น และเค้าร้อน

เค้าบอกว่าคุยกับอีกคนเพราะนักบวชถามว่าทำไมไม่คุยกับคนที่แนะนำให้ เค้าบอกว่าบอกเราไปแล้วซึ่งเราเถียง (แบบเสียงเบาและเย็น) ว่าคุณไม่เคยบอก คุณบอกแค่ถามเรื่องไป California เราเลยบอกขอดูได้มั้ยและเค้าก็ให้ เราเลื่อนขึ้นไปดูเรื่อยๆ มันคือภาพที่เราเพิ่งเห็นเมื่อชั่วโมงก่อน แต่ที่ต่างกันคือครั้งนี้เราดูไปน้ำตาไหลไป เรารูดไปเรื่อยๆแบบไม่พูดอะไร ในใจมีทั้งความโกรธและความเสียใจ แล้วเค้าก็จะดึงโทรศัพท์ไปจากมือเรา แต่เรารั้งไว้ เค้าเลยโมโหหนัก

เป็นครั้งแรกที่เรารู้สึกว่าเราเป็นคนอื่นในสายตาเค้า เพราะคำพูดที่ว่า "It's not your business" หลากหลายเหตุผลที่ต้องไปจากเราเริ่มออกมา ทั้งทนอยู่ตลอด ทั้งความไม่โตของเรา สารพัด รวมถึงมันไม่มีโอกาศอีกต่อไป เราอึ้งมาก การดูโทรศัพท์ครั้งนี้เราคิดว่าเราไม่ได้ทำอะไรผิด แต่กลายเป็นการที่เค้าบอกเลิกเรา

สิ่งที่เราทำมาไม่เคยมีความดีเลย สองปีนี้เค้าไม่เคยต้องซักผ้า ไม่เคยต้องทำกับข้าว ไม่เคยต้องทำความสะอาดบ้าน ตอนเรียนเราก็ทำงานกลุ่มให้ ติวให้ ตอนทำงานเราก็หางานให้ (ถ้าหางานไม่ได้หลังจบภายใน 90 วันต้องออกจากประเทศ) ซึ่งงานก็ดีประมาณนึง เราพูดแค่ว่าทำไมคุณไม่คิดถึงสิ่งที่ฉันทำให้บ้างล่ะ เราไม่ได้พูดทวงบุญคุณแค่อยากให้นึกถึงความดีที่อยากให้เอาตัวรอดแล้วก้าวต่อไปด้วยกัน โตไปด้วยกัน แต่เค้าเข้าใจว่าเราทวงบุญคุณ

ทั้งที่เราสุดจะเย็น ไม่มีการแสดงออกถึงความโกรธใดๆ เอาแต่ร้องไห้ แต่เค้าบอกว่าเพิ่งคุยกับพ่อเค้า เค้าและพ่อเห็นตรงกันว่าเรารักเค้ามาก ต้องระวังเราจะหยิบมีดฆ่าเค้า เราอึ้ง เราถามว่าคิดได้ยังไง ต่อให้ทะเลาะกันแล้วฉันเคยต่อยคุณ แต่เรื่องฆ่ากันมันไม่มีในหัวฉัน ถ้าฉันจะฆ่า คนที่ตายคือตัวฉันเองเท่านั้น เค้าถามว่าจะให้เค้าทำยังไง ย้ายออกเลยมั้ย ลาออกจากงานเลยมั้ย เราบอกเราไม่ได้ต้องการอย่างงั้น ถ้าคุณไปแบบคราวก่อนฉันตายแน่ ครั้งก่อนกินไม่ได้ เป็นไทรอยด์ สภาพเป็นผี กินข้าวช้อนเดียวอิ่ม แต่เราก็รู้ว่าเราไม่มีสิทธิ์ขออะไร เราเลยบอกว่าแล้วแต่คุณ เราตามคุณ เลยยังอยู่บ้านเดียวกัน ทำงานที่เดียวกัน

วันต่อมาเค้าออกไปวัด เราก็นั่งร้องไห้ทั้งวัน เค้าก็พยายามบอกว่าไม่เป็นไรเค้าจะช่วยให้เราดีขึ้นแล้วค่อยไป แต่ใจเรายังยึดติด ยังคิดว่าเกิดอะไรขึ้น พอเค้ากลับมาแล้วอาบน้ำ เราไปดูโทรศัพท์แต่เราเปลี่ยนรหัส คือมันชัดมากแบบไม่ต้องพูดอะไร น้ำตาก็ไหลต่อทั้งวันทั้งคืน นอนไม่หลับ กิน Sleeping aid เพราะอยากหลับจะได้ไม่ต้องคิด กินไปหนึ่ง สอง สาม ก็ไม่หลับ จนถึงเม็ดที่แปดก็หลับได้ วันรุ่งขึ้นเป็นวันจันทร์ เราไปทำงานก็หน้าศพ สภาพเบลอ หัวใจเต้นแรง รู้สึกว่าการหายใจสั้นและไม่มีแรง และรู้ว่านี่คือผลของยา

นั่งทำงานและน้ำตาไหลทั้งวัน จน Keyboard พังไปอันเพราะน้ำเข้า (ถ้านายรู้นายคงโกรธ) เห็นเค้าคอยออกจากห้องไปพร้อมโทรศัพท์ ซึ่งสองสามวันก่อนยังปกติดี สติเริ่มแตก น้ำตาไหล อย่างต่อเนื่อง จนกลับบ้าน เรารู้สึกทุกอย่างเกิดขึ้นเร็ว เปลี่ยนปุบปับ

เค้าบอกว่ารักเรามาก เค้าก็เจ็บที่ต้องเลิกกับเรา แต่เค้าต้องอยู่กับความเป็นจริง ถ้าเค้าอยู่ที่นี่ไม่ได้เราสองคนก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ เค้าบอกเรามีดี การศึกษาดี การงานดี หน้าตาดี ทำไมยังเลือกอยู่กับเค้า ไปหาคนใหม่เถอะ เค้าจะเป็นเพื่อนที่ดีที่ดูแลเราไปตลอด ถ้าเค้ามีสถานะเค้าจะเปิดบริษัทแล้วช่วยเหลือเราได้ในอนาคต เราได้แต่ตอบว่าฉันไม่ได้ต้องการนะ ฉันบอกทุกคนรวมถึงคุณว่าอยู่ได้ก็อยู่ อยู่ไม่ได้ฉันก็กลับไปเรียนต่อแล้วกลับบ้าน ฉันคิดว่าคุณอยากอยู่ที่นี่เพราะคุณอยากอยู่กับฉัน (ตอนเริ่มคบกันเค้าบอกเค้าไม่อยากอยู่ที่นี่) เราสองยังกอดกัน เราได้แต่น้ำตาไหลเพราะไม่รู้ว่ารักจริงๆ หรือสงสาร

ผ่านมาอีกวันความบ้าบอในหัวเข้ามาอีกครั้งเพราะเห็นเค้าเดินเข้าออกพร้อมโทรศัพท์ตลอดเวลา พอเค้าถามงานและให้สอนเราก็สอนแบบไม่มีทางเข้าใจ เค้าขอตัวอย่าง code ที่เราทำเราก็ไม่ให้ เลยทะเลาะกันอีกรอบ เค้าบอกทำไมไม่แยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัว เค้าโมโหและพาลไปถึงว่าเราฆ่าเค้าเรื่องงานใช่มั้ย สติเรามา เราบอกว่าขอโทษและขอบคุณที่เตือนว่าเราต้องแยกเรื่องงานกับส่วนตัวให้ออก แต่มันไม่ได้ดีขึ้น และสิ่งที่ออกมาจากปากเค้าคือเค้าคิดในหัวว่าต้องออกจากงาน แล้วเค้าจะหางานยังไง...เราอึ้ง ไม่ได้ห่วงเรา แต่ห่วงตัวเอง!!

แล้วเราก็ยังนั่งร้องไห้ต่อ นั่งฟังเพลงเศร้าตอกย้ำตัวเอง นั่งรถกลับบ้านก็ร้องไห้ไม่แคร์ใคร พยายามนึกถึงสิ่งดีๆ ที่เค้าทำ เค้าเป็นคนดีคนนึงที่คอยสนับสนุนและให้คำปรึกษาเวลาเรามีปัญหา แต่ก็ยังเสียใจร้องไห้ต่อไป นึกถึงวันดีๆ อนาคตที่เคยวาดกันไว้ แล้วก็ร้องไห้ต่อไป กลับไปถึงบ้านเค้าก็เตรียมอาหารไว้ให้เพราะคิดว่าเราจะหิว เราก็ร้องไห้ต่อไปพร้อมกินเกี๋ยวที่เค้าต้มให้ไปชิ้นครึ่ง แล้วก็หลับไปพร้อมเค้ากอดเราและเราก็ร้องไห้ต่อไป

ขึ้นอีกวัน เรายังคงหน้าเป็นศพ เหม่อได้ทุกที่ทุกเวลา พยายามนึกถึงคำพูดพี่คนนึงว่า ต่อให้เราเป็น citizen เค้าก็ไม่อยู่กับเรา พยายามเอาความคิดว่าไม่ว่ายังไงเค้าก็ไม่คิดจะอยู่กับเรามาตอกย้ำตัวเอง มาทำงานแต่ก็เปิด pantip อ่าน น้ำตาก็ไหล อ่านจนถึงจุดนึงคิดได้..."ร้องทำไม" ร้องจนตายต่อหน้าเค้า เค้าก็ไม่สนใจ คราวนี้เลิกร้องเลย แต่ยังซึมยังเสียใจ กินไม่ได้แต่ไม่ร้อง

วันรุ่งขึ้น (วันนี้) ตอนเช้าไปหาหมอเพราะไม่สบาย พอหมอตรวจเลือดอะไรเสร็จหมอถามมีปัญหาอย่างอื่นมั้ย เราเลยบอกว่าน้ำหนักเราลดเพราะเราเลิกกับแฟน หมอถามเท่าไร เราบอก 6-7 ปอนด์ ใน 6 วัน หมอตกใจแล้วซักเพิ่มทั้งอาการทางร่างกายและจิตใจ หมอเป็นห่วง หมอบอกดูไม่รู้เพราะสภาพดี (เลิกร้องไห้แล้วหน้าเลยดี) หมอ (ผู้หญิง) คุยกับเราแบบผู้ใหญ่เอ็นดูเด็กคนนึง หมอบอกว่าถ้าเป็นลูกสาวหมอ หมอจะให้เอาตัวเองออกมาจากสิ่งแวดล้อมเดิมๆ และผู้ชายคนนี้ เราพูดจริงๆ ว่าเราไม่เคยคิดว่าจะเจอหมอแบบนี้ที่ไหนในโลก (อาจจะมีแต่ไม่เคยเจอ) สุดท้ายหมอบอกหมอยังต้องดูแลคนไข้แต่ให้ email ส่วนตัวไว้เพื่อติดต่อนอกเวลางาน ก่อนกลับหมอกอดเรา 1 ที กอดแน่นๆ เราน้ำตาไหล คนไม่เคยรู้จักกัน ฟังเรา กอดเรา ถึงแม้เราจะยังเศร้า แต่มันเป็นเรื่องดีๆ ที่ทำให้เรายิ้มได้

เราร่ายมายาว ถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นในระหว่างที่เราอยู่ไทย เราอาจจะไม่เป็นอะไรมากเพราะมีคน support มากมาย แต่เมื่อเกิดที่นี่ เราไม่มีใครมากมาย นิสัยเราไม่ชอบเล่าเรื่องให้ใครฟังมากและไม่อยากให้เค้ามาเสียเวลากับเรื่องของเรา เราไม่อยากบอกพ่อแม่ให้เค้าเป็นห่วง เราไม่เคยคิดว่าเราจะผ่านไปได้ และผ่านไปได้เร็วขนาดนี้ ของแถมที่ได้มาคือน้ำหนักลดดีมากกกก และเราจะได้กลับมาใส่เสื้อผ้าเก่าๆได้อีกครั้ง ยิ้ม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่