เรื่องนี้เขียนโดยนัก(อยาก)เขียน 2 คน เราเขียนร่วมกัน,เนื้อเรื่องเดียวกัน,พล็อตเดียวกัน แต่สลับกันเขียน จะลงเว้นกันทุกๆ 4-5 วัน ภายใต้นามปากกา... เปลวลิขิต (เปลวอัคคี+ลายลิขิต) นะคะคุณผู้อ่าน
เปลวลิขิต
ตอนก่อนหน้า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
https://ppantip.com/topic/36921449
https://ppantip.com/topic/36928362/comment4-1
https://ppantip.com/topic/36940436
https://ppantip.com/topic/36968517
คุ้มสยองขวัญ
บทที่ 4
มาถึงหน้าเรือนครูใหญ่ ว่าที่ครูคนใหม่กับว่าที่ลูกศิษย์อีกสามก็เห็นเจ้าของเรือนเดินจ้ำมาแจ้งเรื่องราวสำคัญให้ทราบ
คนสูงวัยกว่าแจ้งว่า พ่อแม่ของเด็กทั้งสามมาตามหาลูกถึงสี่ครั้งแล้ว เนื่องจากเวลาโพล้เพล้อย่างนี้คือเวลาที่ทุกคนในหมู่บ้านต้องกลับเข้าบ้านและปิดประตูหน้าต่างให้หมด โดยเฉพาะเด็กอย่างสมพงษ์ บรรจง และเด็กหญิงนงนุชด้วยแล้ว พ่อแม่พวกแกยิ่งแทบจะบังคับให้นอนทันทีตั้งแต่กินข้าวเย็นเสร็จ หลังจากนั้นก็ห้ามไม่ให้ออกจากบ้านเป็นอันขาด นี่เป็นอีกเรื่องที่ตอกย้ำความกังขาให้กับชานนท์ เรื่องคาใจที่ตั้งใจจะถามองครักษ์ตัวน้อยจึงเป็นอันต้องพับไปก่อน ไม่เป็นไร... รอถามเอากับครูใหญ่ก็ได้
ชานนท์ขอไถ่โทษโดยอาสาไปส่งเด็กๆ ที่บ้านเอง หลังพาไปส่งเขาก็รู้เพิ่มมาเพียงแค่ว่า พ่อของสมพงษ์ที่ชื่อเทิดเรียกลูกชายตัวน้อยว่าเจ้าป๊อด ส่วนบรรจงมีชื่อเล่นว่าโอ่ง พ่อแม่ออกมารับลูกหน้าบ้านเสร็จก็ปิดประตูเสียงดังโดยไม่กล่าวลาหรือเอ่ยทักทายเขาสักคำ ยังดีที่แม่ของเด็กหญิงผมเปียที่ชื่อเล่นว่านุช ซึ่งเขาพามาส่งเป็นคนสุดท้ายยังมีแก่ใจขอบคุณ แต่ก็ลนลานขอบคุณแล้วรุนหลังลูกสาวเข้าบ้านปิดประตูเงียบทันที
กลับถึงหน้าเรือนครูใหญ่อีกครั้ง คุณครูคนใหม่แวะรายงานเรื่องไปส่งเด็กก่อนขอตัวไปอาบน้ำอาบท่า เพื่อจะมาร่วมวงตามที่ครูชาติพนากำชับไว้ เขามองนาฬิกาข้อมือพลางนึกไปถึงบรรยากาศแปลกๆ ของชาวบ้าน เวลาแค่เพียงหกโมงเย็นหน่อยๆ ทำไมชาวบ้าน ผู้ใหญ่บ้าน แม้กระทั่งครูใหญ่ต่างหวาดระแวงกับม่านฟ้าหลัวที่ยังไม่มืดมิดลงเสียด้วยซ้ำ
อาหารมื้อเย็นสำหรับต้อนรับเขาก็เช่นกัน หากเป็นวิถีชีวิตของคนในเมืองใหญ่ อย่าถามเลยว่าตอนนี้ถึงเวลามื้อเย็นหรือยัง เพราะนี่เพิ่งเป็นเวลาเดินทางกลับบ้านของคนในเมืองแทบจะทั้งสิ้น
เสียงออดแอดตามเท้าย่ำขึ้นบันไดทำให้ชานนท์เพิ่งรับรู้ถึงความวังเวงประหลาด บรรยากาศเย็นยะเยือกของหมู่บ้านคุ้มริมผาแทรกเข้ามาให้ต้องพลอยสังเกตเรื่องหยุมหยิมไปเสียแล้ว เริ่มตั้งแต่เสียงหมาหอนที่ดังแว่วมาจากท้ายหมู่บ้าน กระตุ้นอารมณ์หวาดผวาขึ้นมาตงิดๆ...หมาพวกนั้นหอนรับกันเป็นทอดๆ คล้ายกับว่ามันเห็นหรือได้ยินอะไรที่โสตประสาทของมนุษย์ไม่อาจรับรู้ ชานนท์แม้เป็นคนรุ่นใหม่ที่ไม่เคยเชื่อเรื่องลี้ลับ ไม่เคยเชื่อแม้กระทั่งเรื่องของภูตผีปีศาจในนิทานหลอกเด็ก แต่คราวนี้เขากลับรู้สึกว่าผิวหนังท่อนแขนของตัวเองกำลังเริ่มตึง ขนแขนซ้ายขวาทำท่าจะตั้งชี้...ไม่เอาน่าชานนท์
ถอดชุดซึ่งกรำฝุ่นมาทั้งวันออก อากาศท่ามกลางหุบเขาหนาวเย็นลงตามแสงตะวันลับลา ว่าที่คุณครูคนใหม่ห่อผ้าเช็ดตัวผืนเดียวมุ่งสู่ลานหลังบ้าน เขาเดินมาหยุดมองตุ่มน้ำด้วยความรู้สึกขนลุก ท่าทางน้ำในตุ่มคงเย็นดีพิลึก ขันพลาสติกสีหม่นลอยนิ่งข้างขอบตุ่มไม่ไหวติง
ปลดผ้าเปลือยร่างกำยำเสร็จ ชานนท์ก็จ้วงตักน้ำราดศีรษะลงมาให้ร่างกายปรับตัวกับความเยียบเย็น หยึ๋ยยย...เย็นแทรกถึงกระดูกเลย วู๊...
คืนนี้เดือนมืด ท้องฟ้ามีเพียงแสงดาวประปรายดูหงอยเหงา ดวงเดือนหลบหน้าหายคล้ายกับไม่ใยดีแสงดาว เสียงหรีดหริ่งกลางคืนแว่วมาเหมือนแย่งกันครวญเพลงราตรีของใครของมัน ลมเย็นพลิ้วผ่านร่างจนทำให้ครูหนุ่มต้องตักนํ้าล้างสบู่อย่างรีบเร่ง และเพียงไม่นาน เขาก็ห่อกายท่อนล่างด้วยผ้าเช็ดตัวเดินกลับเข้าห้องนอน
“ครูชานนท์คะ... ครูชานนท์”
แต่ยังไม่ทันย่างเข้าในห้องก็ต้องสะดุ้งกับเสียงหวานใสเย็นเยียบเข้าไปถึงขั้วหัวใจ ผ้าห่อกายหล่นวูบ ชายหนุ่มตะปบได้ทันก่อนที่มันจะร่วงลงสู่พื้น คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน เสียงคุ้นหูดังมาจากหน้าบันไดข้างล่างนี่เอง เขาตั้งสติฟัง ฉับพลันก็จำได้ว่าเป็นเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาเพิ่งรู้จักในถ้ำเมื่อตอนฝนตกนั่นเอง แววตาของชายหนุ่มทอประกายวาบ...ซ่อนกลิ่น
“ใครเหรอ?”
จำต้องร้องถามออกไปอย่างนั้นเพื่อความแน่ใจ อีกอย่างก็เพื่อถ่วงเวลาใส่เสื้อผ้าแต่งตัวให้เรียบร้อย รู้สึกยินดีจนอดแปลกใจตัวเองไม่ได้ ภาพหญิงสาวที่พบกันโดยบังเอิญในสถานที่ลับลี้ยังคงติดตา ใบหน้าสวยหวานอีกทั้งนัยน์ตาเหงาเศร้าคู่นั้นก่อให้เกิดความรู้สึกอยากค้นหา มีอะไรซ่อนอยู่ในใจของเธอหนอ อยากรู้เสียจริง บางเสี้ยวเวลาที่ผ่านมา ชายหนุ่มยังแอบภาวนาขอให้ได้พบเธออีกสักครั้ง และแล้วจู่ๆ เธอก็มาหาเขาถึงบ้านอย่างไม่คาดคิด
“ซ่อนกลิ่น...เอ่อ แก้มเองค่ะ” เสียงตอบรับยืนยันว่าใช่เธอจริงๆ ด้วย
“อ้อ คุณแก้มนั่นเอง รอแป๊บนึงนะครับ ขอเวลาเดี๋ยวเดียวครับ”
เขารีบส่งเสียงบอก ลุกลี้ลุกลนคว้าเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ตัวใหม่มาสวม หยิบกระจกเล็กมาจัดผมเผ้าลวกๆ และแม้จะนึกยินดีแต่ขณะเดียวกันคำถามก็แวบเข้ามาในใจ
อ้าว แล้วทำไมซ่อนกลิ่นถึงออกจากบ้านยามค่ำมืดได้ล่ะ? ขณะที่ชาวบ้านแทบทั้งหมู่บ้านดูเหมือนจะปิดบ้านเข้านอนกันหมดแล้ว เธอไม่กลัวอะไรเหมือนคนเหล่านั้นกลัวหรือยังไง
ชายหนุ่มคิดพลางรีบสาวเท้าออกจากห้องลงมาพบเธอตรงชานพักบันได ชานนท์มองเห็นหญิงสาวยังอยู่ในชุดผ้าถุงสีครึ้มสวมเสื้อม่อฮ่อมสีเดียวกัน คล้ายกันกับชุดที่เขาเจอเธอในถํ้าไม่มีผิด ซ่อนกลิ่นยังใส่ชุดเดิมอยู่อย่างนั้นหรือ...ไม่ใช่แน่ น่าจะเป็นชุดที่เธอชอบใส่ประจำมากกว่า เวลาล่วงเลยมาจนป่านนี้ เธอก็ต้องอาบนํ้าอาบท่าแต่งตัวใหม่แล้วสิ
เขายิ้มทักทายนำมาก่อน อดทึ่งไม่ได้กับใบหน้าที่ช่างงามผุดผาดยามต้องแสงไฟรำไร ซ่อนกลิ่นสวยบริสุทธิ์ราวกับดอกไม้ป่า ขัดใจก็แต่ผมยาวสยายกรอมเสี้ยวหน้านวลนั่น ที่มักชอบมาปิดบังแก้มขาวเนียนของเธอบ่อยๆ ทำให้เสี้ยวหน้านั้นแลดูลึกลับในยามที่เธออยู่ในมุมสลัว ยามนั้นซ่อนกลิ่นกลับมีความสวยที่แปลกแตกต่างออกไป
“ขอโทษที่ให้รอครับ คุณแก้ม”
ชายหนุ่มขอโทษขณะเพ่งมองเธอในม่านรางเลา เอ่ยทักทายเรียกชื่อเล่นเธอเพื่อแสดงความสนิทสนม รู้สึกถึงความแปลกใหม่ในใจตัวเอง คล้ายอยากรู้จักเธอให้มากกว่านี้ มากกว่าคนที่บังเอิญผ่านทางมาพบกันเท่านั้น หญิงสาวมีสิ่งสะดุดใจชนิดที่เขาไม่เคยรู้สึกกับผู้หญิงคนไหนมาก่อน เขาก้าวเท้าลงบันไดไปหาเมื่อเห็นเธอถืออะไรบางอย่างในมือ ดูเหมือนเธอจะเอามันมาให้เขา ซึ่งก็จริงตามคาด หญิงสาวชูถ้วยใบย่อมห่อด้วยถุงผ้าสีทึมให้เขาดู
“แก้มเอาเนื้อย่างมาฝากครูนนท์ค่ะ”
เสียงหวานเยือกเย็นเอ่ยบอก ชานนท์มองของฝากในมือหญิงสาวก่อนเปิดยิ้มกว้าง สัมผัสได้ถึงความเอื้อเฟื้อตรงหน้า นี่คือการแสดงน้ำใจใสซื่อของชาวบ้านในชนบทที่มักมีต่อแขกต่างถิ่น มิใช่เฉพาะแต่ซ่อนกลิ่นเท่านั้นหรอก ชายหนุ่มได้รับความรู้สึกเช่นนี้มาตลอดตั้งแต่เริ่มทำงานจิตอาสา นํ้าใจที่มอบต่อผู้มีศักดิ์อันควรให้เกียรติพบเห็นได้เสมอ ซึ่งน้อยนักที่จะได้เห็นจากสังคมคนในเมืองกรุง
“โอว...ขอบคุณมากครับ แต่ไม่น่าลำบากยามมืดคํ่าเลยครับ” ตอบขอบคุณเธอแล้วเผลอพูดอย่างห่วงใย แต่พอพูดจบก็นึกได้ว่าเสียมารยาท ชายหนุ่มเกรงเธอจะแปลความหมายไปผิดๆ จึงรีบพูดเสริมขึ้น
“เอ้อ ได้ยินว่าที่นี่ค่ำมืดเขาไม่ออกจากบ้านกัน...ใช่ไหมครับ”
แสงไฟบนระเบียงส่องกระทบแววประหลาดในดวงตาคู่งามแวบหนึ่ง แล้วรอยยิ้มหวานก็แย้มส่งมาให้ ศีรษะได้รูปส่ายน้อยๆ
“แก้มไม่เป็นไรหรอกค่ะ พอดีว่า...แก้มทำเนื้อย่างไว้เยอะแยะเลยอยากเอามาให้ครูนนท์ได้ลองชิมดู แก้มเอามาเผื่อครูชาติด้วยนะคะ”
บอกเขาเบาๆ แล้วพยักหน้าไปที่ห่อผ้าในมือ ชายหนุ่มจึงเอื้อมมือไปรับมันมาจากมือเธอ วินาทีที่ปลายนิ้วของทั้งสองสัมผัสกันโดยบังเอิญ หนุ่มสาวตาสบกันครู่หนึ่ง ดวงตาหวานเศร้าหลุบมองมือตัวเองก่อนปล่อยมือจากห่อผ้า
“ค่ำเร็วจริงๆ เอ้อ งั้นแก้มคงต้องขอตัวกลับก่อน ทานให้อร่อยนะคะ แล้วค่อยพบกันใหม่ค่ะ”
สายลมเย็นพัดกรูเกรียวเข้ามา เรือนผมยาวของหญิงสาวปลิวไสวสยายออกอย่างนิ่มนวล กลิ่นหอมของดอกไม้ชนิดหนึ่งโชยแทรกมาแตะจมูก ชานนท์สูดกลิ่นหอมนั้นเข้าปอด เขาจำกลิ่นนั้นได้...ดอกซ่อนกลิ่น
(มีต่อ)
คุ้มสยองขวัญ 4
ตอนก่อนหน้า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
บทที่ 4
มาถึงหน้าเรือนครูใหญ่ ว่าที่ครูคนใหม่กับว่าที่ลูกศิษย์อีกสามก็เห็นเจ้าของเรือนเดินจ้ำมาแจ้งเรื่องราวสำคัญให้ทราบ
คนสูงวัยกว่าแจ้งว่า พ่อแม่ของเด็กทั้งสามมาตามหาลูกถึงสี่ครั้งแล้ว เนื่องจากเวลาโพล้เพล้อย่างนี้คือเวลาที่ทุกคนในหมู่บ้านต้องกลับเข้าบ้านและปิดประตูหน้าต่างให้หมด โดยเฉพาะเด็กอย่างสมพงษ์ บรรจง และเด็กหญิงนงนุชด้วยแล้ว พ่อแม่พวกแกยิ่งแทบจะบังคับให้นอนทันทีตั้งแต่กินข้าวเย็นเสร็จ หลังจากนั้นก็ห้ามไม่ให้ออกจากบ้านเป็นอันขาด นี่เป็นอีกเรื่องที่ตอกย้ำความกังขาให้กับชานนท์ เรื่องคาใจที่ตั้งใจจะถามองครักษ์ตัวน้อยจึงเป็นอันต้องพับไปก่อน ไม่เป็นไร... รอถามเอากับครูใหญ่ก็ได้
ชานนท์ขอไถ่โทษโดยอาสาไปส่งเด็กๆ ที่บ้านเอง หลังพาไปส่งเขาก็รู้เพิ่มมาเพียงแค่ว่า พ่อของสมพงษ์ที่ชื่อเทิดเรียกลูกชายตัวน้อยว่าเจ้าป๊อด ส่วนบรรจงมีชื่อเล่นว่าโอ่ง พ่อแม่ออกมารับลูกหน้าบ้านเสร็จก็ปิดประตูเสียงดังโดยไม่กล่าวลาหรือเอ่ยทักทายเขาสักคำ ยังดีที่แม่ของเด็กหญิงผมเปียที่ชื่อเล่นว่านุช ซึ่งเขาพามาส่งเป็นคนสุดท้ายยังมีแก่ใจขอบคุณ แต่ก็ลนลานขอบคุณแล้วรุนหลังลูกสาวเข้าบ้านปิดประตูเงียบทันที
กลับถึงหน้าเรือนครูใหญ่อีกครั้ง คุณครูคนใหม่แวะรายงานเรื่องไปส่งเด็กก่อนขอตัวไปอาบน้ำอาบท่า เพื่อจะมาร่วมวงตามที่ครูชาติพนากำชับไว้ เขามองนาฬิกาข้อมือพลางนึกไปถึงบรรยากาศแปลกๆ ของชาวบ้าน เวลาแค่เพียงหกโมงเย็นหน่อยๆ ทำไมชาวบ้าน ผู้ใหญ่บ้าน แม้กระทั่งครูใหญ่ต่างหวาดระแวงกับม่านฟ้าหลัวที่ยังไม่มืดมิดลงเสียด้วยซ้ำ
อาหารมื้อเย็นสำหรับต้อนรับเขาก็เช่นกัน หากเป็นวิถีชีวิตของคนในเมืองใหญ่ อย่าถามเลยว่าตอนนี้ถึงเวลามื้อเย็นหรือยัง เพราะนี่เพิ่งเป็นเวลาเดินทางกลับบ้านของคนในเมืองแทบจะทั้งสิ้น
เสียงออดแอดตามเท้าย่ำขึ้นบันไดทำให้ชานนท์เพิ่งรับรู้ถึงความวังเวงประหลาด บรรยากาศเย็นยะเยือกของหมู่บ้านคุ้มริมผาแทรกเข้ามาให้ต้องพลอยสังเกตเรื่องหยุมหยิมไปเสียแล้ว เริ่มตั้งแต่เสียงหมาหอนที่ดังแว่วมาจากท้ายหมู่บ้าน กระตุ้นอารมณ์หวาดผวาขึ้นมาตงิดๆ...หมาพวกนั้นหอนรับกันเป็นทอดๆ คล้ายกับว่ามันเห็นหรือได้ยินอะไรที่โสตประสาทของมนุษย์ไม่อาจรับรู้ ชานนท์แม้เป็นคนรุ่นใหม่ที่ไม่เคยเชื่อเรื่องลี้ลับ ไม่เคยเชื่อแม้กระทั่งเรื่องของภูตผีปีศาจในนิทานหลอกเด็ก แต่คราวนี้เขากลับรู้สึกว่าผิวหนังท่อนแขนของตัวเองกำลังเริ่มตึง ขนแขนซ้ายขวาทำท่าจะตั้งชี้...ไม่เอาน่าชานนท์
ถอดชุดซึ่งกรำฝุ่นมาทั้งวันออก อากาศท่ามกลางหุบเขาหนาวเย็นลงตามแสงตะวันลับลา ว่าที่คุณครูคนใหม่ห่อผ้าเช็ดตัวผืนเดียวมุ่งสู่ลานหลังบ้าน เขาเดินมาหยุดมองตุ่มน้ำด้วยความรู้สึกขนลุก ท่าทางน้ำในตุ่มคงเย็นดีพิลึก ขันพลาสติกสีหม่นลอยนิ่งข้างขอบตุ่มไม่ไหวติง
ปลดผ้าเปลือยร่างกำยำเสร็จ ชานนท์ก็จ้วงตักน้ำราดศีรษะลงมาให้ร่างกายปรับตัวกับความเยียบเย็น หยึ๋ยยย...เย็นแทรกถึงกระดูกเลย วู๊...
คืนนี้เดือนมืด ท้องฟ้ามีเพียงแสงดาวประปรายดูหงอยเหงา ดวงเดือนหลบหน้าหายคล้ายกับไม่ใยดีแสงดาว เสียงหรีดหริ่งกลางคืนแว่วมาเหมือนแย่งกันครวญเพลงราตรีของใครของมัน ลมเย็นพลิ้วผ่านร่างจนทำให้ครูหนุ่มต้องตักนํ้าล้างสบู่อย่างรีบเร่ง และเพียงไม่นาน เขาก็ห่อกายท่อนล่างด้วยผ้าเช็ดตัวเดินกลับเข้าห้องนอน
“ครูชานนท์คะ... ครูชานนท์”
แต่ยังไม่ทันย่างเข้าในห้องก็ต้องสะดุ้งกับเสียงหวานใสเย็นเยียบเข้าไปถึงขั้วหัวใจ ผ้าห่อกายหล่นวูบ ชายหนุ่มตะปบได้ทันก่อนที่มันจะร่วงลงสู่พื้น คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน เสียงคุ้นหูดังมาจากหน้าบันไดข้างล่างนี่เอง เขาตั้งสติฟัง ฉับพลันก็จำได้ว่าเป็นเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาเพิ่งรู้จักในถ้ำเมื่อตอนฝนตกนั่นเอง แววตาของชายหนุ่มทอประกายวาบ...ซ่อนกลิ่น
“ใครเหรอ?”
จำต้องร้องถามออกไปอย่างนั้นเพื่อความแน่ใจ อีกอย่างก็เพื่อถ่วงเวลาใส่เสื้อผ้าแต่งตัวให้เรียบร้อย รู้สึกยินดีจนอดแปลกใจตัวเองไม่ได้ ภาพหญิงสาวที่พบกันโดยบังเอิญในสถานที่ลับลี้ยังคงติดตา ใบหน้าสวยหวานอีกทั้งนัยน์ตาเหงาเศร้าคู่นั้นก่อให้เกิดความรู้สึกอยากค้นหา มีอะไรซ่อนอยู่ในใจของเธอหนอ อยากรู้เสียจริง บางเสี้ยวเวลาที่ผ่านมา ชายหนุ่มยังแอบภาวนาขอให้ได้พบเธออีกสักครั้ง และแล้วจู่ๆ เธอก็มาหาเขาถึงบ้านอย่างไม่คาดคิด
“ซ่อนกลิ่น...เอ่อ แก้มเองค่ะ” เสียงตอบรับยืนยันว่าใช่เธอจริงๆ ด้วย
“อ้อ คุณแก้มนั่นเอง รอแป๊บนึงนะครับ ขอเวลาเดี๋ยวเดียวครับ”
เขารีบส่งเสียงบอก ลุกลี้ลุกลนคว้าเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ตัวใหม่มาสวม หยิบกระจกเล็กมาจัดผมเผ้าลวกๆ และแม้จะนึกยินดีแต่ขณะเดียวกันคำถามก็แวบเข้ามาในใจ
อ้าว แล้วทำไมซ่อนกลิ่นถึงออกจากบ้านยามค่ำมืดได้ล่ะ? ขณะที่ชาวบ้านแทบทั้งหมู่บ้านดูเหมือนจะปิดบ้านเข้านอนกันหมดแล้ว เธอไม่กลัวอะไรเหมือนคนเหล่านั้นกลัวหรือยังไง
ชายหนุ่มคิดพลางรีบสาวเท้าออกจากห้องลงมาพบเธอตรงชานพักบันได ชานนท์มองเห็นหญิงสาวยังอยู่ในชุดผ้าถุงสีครึ้มสวมเสื้อม่อฮ่อมสีเดียวกัน คล้ายกันกับชุดที่เขาเจอเธอในถํ้าไม่มีผิด ซ่อนกลิ่นยังใส่ชุดเดิมอยู่อย่างนั้นหรือ...ไม่ใช่แน่ น่าจะเป็นชุดที่เธอชอบใส่ประจำมากกว่า เวลาล่วงเลยมาจนป่านนี้ เธอก็ต้องอาบนํ้าอาบท่าแต่งตัวใหม่แล้วสิ
เขายิ้มทักทายนำมาก่อน อดทึ่งไม่ได้กับใบหน้าที่ช่างงามผุดผาดยามต้องแสงไฟรำไร ซ่อนกลิ่นสวยบริสุทธิ์ราวกับดอกไม้ป่า ขัดใจก็แต่ผมยาวสยายกรอมเสี้ยวหน้านวลนั่น ที่มักชอบมาปิดบังแก้มขาวเนียนของเธอบ่อยๆ ทำให้เสี้ยวหน้านั้นแลดูลึกลับในยามที่เธออยู่ในมุมสลัว ยามนั้นซ่อนกลิ่นกลับมีความสวยที่แปลกแตกต่างออกไป
“ขอโทษที่ให้รอครับ คุณแก้ม”
ชายหนุ่มขอโทษขณะเพ่งมองเธอในม่านรางเลา เอ่ยทักทายเรียกชื่อเล่นเธอเพื่อแสดงความสนิทสนม รู้สึกถึงความแปลกใหม่ในใจตัวเอง คล้ายอยากรู้จักเธอให้มากกว่านี้ มากกว่าคนที่บังเอิญผ่านทางมาพบกันเท่านั้น หญิงสาวมีสิ่งสะดุดใจชนิดที่เขาไม่เคยรู้สึกกับผู้หญิงคนไหนมาก่อน เขาก้าวเท้าลงบันไดไปหาเมื่อเห็นเธอถืออะไรบางอย่างในมือ ดูเหมือนเธอจะเอามันมาให้เขา ซึ่งก็จริงตามคาด หญิงสาวชูถ้วยใบย่อมห่อด้วยถุงผ้าสีทึมให้เขาดู
“แก้มเอาเนื้อย่างมาฝากครูนนท์ค่ะ”
เสียงหวานเยือกเย็นเอ่ยบอก ชานนท์มองของฝากในมือหญิงสาวก่อนเปิดยิ้มกว้าง สัมผัสได้ถึงความเอื้อเฟื้อตรงหน้า นี่คือการแสดงน้ำใจใสซื่อของชาวบ้านในชนบทที่มักมีต่อแขกต่างถิ่น มิใช่เฉพาะแต่ซ่อนกลิ่นเท่านั้นหรอก ชายหนุ่มได้รับความรู้สึกเช่นนี้มาตลอดตั้งแต่เริ่มทำงานจิตอาสา นํ้าใจที่มอบต่อผู้มีศักดิ์อันควรให้เกียรติพบเห็นได้เสมอ ซึ่งน้อยนักที่จะได้เห็นจากสังคมคนในเมืองกรุง
“โอว...ขอบคุณมากครับ แต่ไม่น่าลำบากยามมืดคํ่าเลยครับ” ตอบขอบคุณเธอแล้วเผลอพูดอย่างห่วงใย แต่พอพูดจบก็นึกได้ว่าเสียมารยาท ชายหนุ่มเกรงเธอจะแปลความหมายไปผิดๆ จึงรีบพูดเสริมขึ้น
“เอ้อ ได้ยินว่าที่นี่ค่ำมืดเขาไม่ออกจากบ้านกัน...ใช่ไหมครับ”
แสงไฟบนระเบียงส่องกระทบแววประหลาดในดวงตาคู่งามแวบหนึ่ง แล้วรอยยิ้มหวานก็แย้มส่งมาให้ ศีรษะได้รูปส่ายน้อยๆ
“แก้มไม่เป็นไรหรอกค่ะ พอดีว่า...แก้มทำเนื้อย่างไว้เยอะแยะเลยอยากเอามาให้ครูนนท์ได้ลองชิมดู แก้มเอามาเผื่อครูชาติด้วยนะคะ”
บอกเขาเบาๆ แล้วพยักหน้าไปที่ห่อผ้าในมือ ชายหนุ่มจึงเอื้อมมือไปรับมันมาจากมือเธอ วินาทีที่ปลายนิ้วของทั้งสองสัมผัสกันโดยบังเอิญ หนุ่มสาวตาสบกันครู่หนึ่ง ดวงตาหวานเศร้าหลุบมองมือตัวเองก่อนปล่อยมือจากห่อผ้า
“ค่ำเร็วจริงๆ เอ้อ งั้นแก้มคงต้องขอตัวกลับก่อน ทานให้อร่อยนะคะ แล้วค่อยพบกันใหม่ค่ะ”
สายลมเย็นพัดกรูเกรียวเข้ามา เรือนผมยาวของหญิงสาวปลิวไสวสยายออกอย่างนิ่มนวล กลิ่นหอมของดอกไม้ชนิดหนึ่งโชยแทรกมาแตะจมูก ชานนท์สูดกลิ่นหอมนั้นเข้าปอด เขาจำกลิ่นนั้นได้...ดอกซ่อนกลิ่น
(มีต่อ)