เรื่องนี้เขียนโดยนัก(อยาก)เขียน 2 คน เราเขียนร่วมกัน,เนื้อเรื่องเดียวกัน,พล็อตเดียวกัน แต่สลับกันเขียน จะลงเว้นกันทุกๆ 4-5 วัน ภายใต้นามปากกา... เปลวลิขิต (เปลวอัคคี+ลายลิขิต) นะคะคุณผู้อ่าน
เปลวลิขิต
ตอนก่อนหน้า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
https://ppantip.com/topic/36921449
https://ppantip.com/topic/36928362/comment4-1
คุ้มสยองขวัญ
บทที่ 2
โรงเรียนคุ้มริมผาเป็นอาคารไม้ชั้นเดียว แบ่งเป็นห้องเรียนหกห้อง ห้องพักครูอีกหนึ่งห้อง มีโรงอาหารโล่งๆแยกต่างหาก ชานนท์คิดว่าโรงอาหารคงใช้เป็นสถานที่สารพัดประโยชน์ด้วย บางทีคงกลายเป็นห้องประชุม เพราะเห็นมีกระดานชานอ้อยตั้งอยู่ในนั้น
บ้านพักครูสองหลังแยกห่างออกมาจากอาคารเรียน อยู่ภายในพื้นที่หลังโรงเรียนซึ่งค่อนข้างรกร้าง หลังบ้านพักแทบจะติดกับภูผาตั้งตระหง่านสูงชัน ถัดจากนั้นไปไม่ไกลเป็นหน้าผามีหุบเหวลึก ซึ่งคงแทบไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เพราะดูแล้วน่าจะเป็นอันตราย ทำเลทางภูมิศาสตร์ของหมู่บ้านรวมทั้งโรงเรียนเล็กๆแห่งนี้ ช่างสมกับชื่อ‘คุ้มริมผา’เสียจริงๆ
ฝนหยุดตกแล้วแต่ท้องฟ้ายังมืดครึ้ม ชานนท์เดินตาม‘ครูชาติพนา’ ครูใหญ่โรงเรียนคุ้มริมผาขึ้นไปยังเรือนยกใต้ถุนสูงหนึ่งในสองหลัง แสงไฟปลายชายคายื่นปรกระเบียงสาดส่องลงมาให้เห็นขั้นบันได บ้านพักครูเก่าแก่หลังนี้ทำด้วยไม้ทั้งหลัง ใต้ถุนโล่งเปล่า บันไดไม้กระดานอายุครึ่งร้อยปีดังออดแอดเมื่อชายหนุ่มยํ่าเท้าขึ้น ครูใหญ่วัยห้าสิบแปดสับสวิทช์ไฟบนระเบียงเล็กหน้าประตูเมื่อขึ้นไปถึง หลอดนีออนสั้นสีหม่นกะพริบหลายครั้งก่อนจะส่องสว่างแสงทึมออกมาทำหน้าที่อย่างเหนื่อยหน่าย ร่างท้วมเจ้าเนื้อของครูชาติพนาหันมายิ้มให้กับชายหนุ่มที่ก้าวตามหลัง พร้อมกับเอ่ยขึ้น
“หลอดนี้ก็ติด มาลุ้นกันหน่อยสิว่าในห้องนอนจะติดไหม ฮึๆๆ...” ครูใหญ่หัวเราะอย่างอารมณ์ดี
เสียงบานประตูลั่นยามที่ถูกเปิดโดยมืออวบอูม ฟังเสียดหัวใจพิลึก ชานนท์ตามหลังครูชาติพนาเข้าไปในห้อง กลิ่นอับชื้นของฝาผนังบ้านคล้ายกับกลิ่นเปลือกไม้แช่น้ำ ไฟนีออนกลางห้องสว่างขึ้น หลอดนี้ไม่มีการกะพริบ คงเพราะอายุใช้งานยังน้อยกว่าหลอดข้างนอกนั่นเอง
“อ๊า โชคดี ไม่ต้องได้กลับไปถอดที่เรือนอีกหลังมาเปลี่ยนแล้วล่ะ” ชานนท์ยิ้มแย้มเมื่อได้ยินคำพูดของครูใหญ่ เขามองไปรอบห้องโล่งๆว่างเปล่าพลางนึกในใจ...
ก็ใช้ได้นะ แค่นี้ก็สุดยอดแล้วล่ะ
“ไม้กวาดกับผ้าถูพื้นอยู่ชานอาบน้ำหลังบ้านนะ เป็นไง พอทำใจได้ไหม” ครูชาติพนาพยายามชวนคุยเป็นกันเอง ชานนท์ตอบรับนอบน้อม เขายกมือไหว้ขอบคุณครูใหญ่ด้วยความพอใจ
ก่อนจะตามชายร่างท้วมมายังบ้านไร้คนพักหลังนี้ ชานนท์ได้เข้าไปรายงานตัวกับท่านมาก่อนแล้ว ครูใหญ่กับภรรยาพักอยู่อีกหลังใกล้ๆ กัน คุณสายทองภรรยาท่านมีท่าทีเอ็นดูเขาตั้งแต่รับไหว้และทักทาย นั่นเป็นสัญญาณบวกเรื่องแรก ตามมาด้วยความเอื้ออารีซึ่งเป็นอีกเรื่องที่สัมผัสได้จากครูใหญ่ชาติพนา วิถีชีวิตสองสามีภรรยาคู่นี้ดูเรียบง่ายและพอเพียงตามพระราชดำริของพ่อหลวง ชานนท์มองเห็นโทรทัศน์รุ่นเก่าซึ่งคนในเมืองเลิกใช้กันแล้ว ยังมีพัดลมติดเพดานอีกตัวที่หมุนเหวี่ยงอย่างเกียจคร้าน ซึ่งอดระแวงไม่ได้ว่ามันจะร่วงลงมาเมื่อไหร่กันหนอ ยามเมื่อสิ้นลม
จากคำแนะนำตัวและความเป็นอยู่ของท่าน ชานนท์มองเห็นรอบบ้านครูใหญ่ปลูกพืชผักสวนครัวรวมไปถึงไม้เถาไม้เลื้อยที่เก็บกินได้ทุกอย่าง ต้นแคกำลังออกดอกสีขาวพราวสะพรั่ง ต้นมะขามสูงเท่าหลังคาบ้านยังไร้ผล เพราะไม่ใช่หน้าของมัน เล้าไก่ริมรั้วเถาตำลึง มองเห็นไก่บ้านครอกใหญ่เงียบเสียงกระโตกกระตาก เนื่องจากฝนฟ้าไล่ให้เข้าเล้า ลูกเจี๊ยบหลายตัวจึงได้แต่ซุกใต้ปีกแม่เตรียมหลับไหล
ครูใหญ่พูดถึง‘พี่สุพจน์’หลายเรื่อง ทุกเรื่องราวเป็นเรื่องความทรงจำดีๆทั้งสิ้น ระหว่างพูดถึง ท่านชมเชยความมีน้ำใจของเพื่อนสุพจน์ไม่ขาดปาก ทำให้ชานนท์เองรู้สึกปลาบปลื้มใจแทน‘หัวหน้าจิตอาสา’ของเขาไปด้วย โดยเฉพาะคำพูดจากครูใหญ่ที่ว่า
...‘คนเสียสละด้วยใจจริงอย่างสุพจน์ นับวันคงจะหายากและเหลือน้อยลงทุกที ’ เขาเห็นจริงด้วยตามนั้น รวมทั้งเห็นจริงในตัวคนพูดด้วย ซึ่งท่านอาจไม่รู้ตัว แต่ท้ายประโยคกลับทำให้เขาอึ้งไปเพราะพูดไม่ออก เมื่อได้ยิน
...‘ อีกไม่นาน ชีวิตแบบในเมืองก็คงคืบคลานเข้ามากลืนวิถีชีวิตคนป่าคนเขาอย่างพวกเราในสักวัน ’...
“เดี๋ยวเด็กนักเรียนจะช่วยกันเอาเสื่อกับมุ้งหมอนมาให้นะ พวกเด็กๆ ดีใจกันมาก ที่จะได้เรียนหนังสือกับคุณครูคนใหม่ แถมยังรูปหล่อเสียด้วย ฮ่า ฮ่า” บอกแล้วก็หยอกเย้าเขาเล่นอย่างปรานี
“มื้อเย็นก็ไม่ต้องห่วง ผมกับสายทองจะเลี้ยงต้อนรับคุณเอง ฝีมือต้มโคล้งไก่ของเมียผมเด็ดอย่างงี้เลย”
ครูใหญ่ใจดีพูดกลั้วหัวเราะพร้อมยกนิ้วโป้งประกอบ ชานนท์หัวเราะตาม รู้สึกใจชื้นขึ้นมาเป็นกอง หลังห่อเหี่ยวจากสภาพขลุกขลักของการเดินทางอยู่นาน ไม่เลวเลยทีเดียวสำหรับการเริ่มต้นเป็นครูอาสาที่นี่ ชายหนุ่มรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากที่เจอผู้คนล้วนแต่ใจดีมีเมตตา รู้สึกอบอุ่นใจประหลาด ตั้งแต่แรกพบกันกับผู้หญิงสวยแปลกๆที่ชื่อ‘ซ่อนกลิ่น’คนนั้นด้วยซํ้า
ผู้หญิงคนนั้นบอกเขาว่า เธอออกมาหาเก็บสมุนไพรแล้วเกิดติดฝนอยู่ในถ้ำ ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกทึ่งกับชาวบ้านที่นี่มาก ดูเหมือนหมู่บ้านคุ้มริมผาแห่งนี้จะสงบสุขและปลอดภัย เพราะแม้กระทั่งผู้หญิงสาวก็ยังออกมาเดินหาของป่าคนเดียวในที่เปลี่ยวได้ โดยไม่ต้องกังวลถึงอันตรายอะไร
หลังรู้ว่าเขาคือครูคนใหม่ของโรงเรียนคุ้มริมผา พอฝนซาเม็ดลง เธอก็ยอมนั่งซ้อนจักรยานยนต์ของเขากลับออกจากถ้ำ ชายหนุ่มพาเธอลัดเลาะมาตามทางลัดที่เธอคอยบอก ก่อนจะทะลุออกด้านหลังโรงเรียนพอดี เขาขี่รถเลยมาส่งเธอที่หน้าประตูรั้วบ้านไม้หลังใหญ่โบราณ แลดูเงียบเหงาวังเวงดีจริงๆ บ้านหลังนั้นอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนเท่าไหร่นัก ประหลาดใจเล็กน้อยที่เธอบอกว่าอาศัยอยู่ในบ้านเพียงลำพัง แต่ยังไม่ทันจะซักถามอะไรต่อ เธอก็รีบเดินเข้าบ้านไปเสียก่อน
...ไม่เป็นไร คงมีโอกาสได้พบกับเธอใหม่ในสักวัน ชานนท์หมายมั่นในใจ
ครูใหญ่อยู่สนทนาด้วยอีกพักหนึ่ง แล้วจึงขอตัวกลับไปบ้าน ซึ่งก็คงจะไปจัดเตรียมเครื่องนอนให้เขานั่นเอง
ตะวันบ่ายคล้อยลงมากแล้ว ชานนท์วางมือจากถังน้ำและไม้ถูพื้น เพิ่งนึกได้ว่าเขาจะต้องไปแนะนำตัวกับผู้ใหญ่บ้านอีกคน จุดหมายอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนตามที่ครูใหญ่บอกทาง
ชายหนุ่มเข้าไปในห้องซึ่งเลือกเอาไว้เป็นห้องนอน ส่วนอีกห้องกะจะใช้เก็บข้าวของต่างๆหากมีเพิ่มขึ้นในวันหน้า เขายกกระเป๋าสองใบออกมาเทของรวมกัน ของใช้ส่วนตัวถูกจัดกองเป็นระเบียบข้างผนังด้านหนึ่ง ของแห้งถูกวางแผ่ออกเพื่อเล็งหาที่ที่มันควรอยู่ น้ำพริกตาแดงของโปรดฝีมือแม่ซึ่งเขาขาดไม่ได้ ถูกจัดวางใกล้กับกองเสื้อผ้าซึ่งพับเรียบร้อย...อยู่ตรงนี้แหละ เพราะของสำคัญต้องอยู่ใกล้ของเรียบร้อยพวกนี้สิ
สะดุ้งกับเสียงย่ำขั้นบันไดโครมๆ ขึ้นมาพร้อมเสียงหัวเราะคิกคักของเด็กๆ ก่อนที่ใบหน้าเล็กๆ สามหน้าจะโผล่ออกมาเมียงมองอยู่ที่บานประตูห้องนอน ชายหนุ่มหันไปมองแล้วยิ้มให้ คงเป็นเด็กนักเรียนที่ครูใหญ่ว่า
“เข้ามาสิครับเด็กๆ”
พอเห็นหนุ่มร่างสูงพูดด้วยแล้วพยักหน้าเรียก เด็กน้อยทั้งสามก็กรูกันเข้ามาหา ในมือหอบผ้าผ่อนมาด้วยพะรุงพะรัง เป็นเด็กผู้ชายตัวผอมเก้งก้างคนหนึ่งกับอีกคนอวบท้วมแก้มยุ้ย ส่วนเด็กผู้หญิงเพียงคนเดียวถักผมเปีย หน้าตาน่ารักน่าชัง คะเนว่าทุกคนน่าจะอายุประมาณสิบขวบ ทั้งสามมายืนยิ้มแป้นมองตาแป๋วตรงหน้าเขา
“ครูใหญ่ให้เอามุ้งกับหมอนมาให้ครับ/ค่ะ” ต่างคนต่างพูดพร้อมกันอย่างบังเอิญ ชูของในมือให้ดูสลอน เป็นมุ้งสีขาวกับหมอนหนึ่งใบ เสื่อกกหนึ่งผืน มีผ้าห่มยังดูใหม่อีกผืนหนึ่งด้วย
“ขอบใจมากหนุ่มสาว เก่งกันทุกคนเลย” ชานนท์อ้าแขนรับเครื่องนอนจากเด็กๆ “ชื่ออะไรกันมั่งล่ะเนี่ย” ว่าที่คุณครูคนใหม่ซักถามอย่างเอ็นดู
“ผมชื่อสมพงษ์ครับ เจ้าอ้วนนี่ชื่อบรรจง ส่วนยัยเปียนี่ชื่อนงนุชครับ” คนผอมกว่าเพื่อนรายงานเจื้อยแจ้ว สองคนที่ถูกกล่าวถึงยืนยิ้มแป้นข้างๆ ส่วนคนรายงาน ชานนท์มองเห็นฟันหลอซ้ายขวาในปาก รู้สึกทึ่งในใจที่เด็กน้อยยังสามารถพูดได้ชัดเจน ชายหนุ่มกวักมือบอกให้เด็กๆ นั่งลง
“เดี๋ยวค่ะ เดี๋ยวหนูปูเสื่อให้คุณครูก่อน” เด็กหญิงผมเปียยกมือห้าม พลางช่วยจัดการดึงปลายเสื่อคนละข้างกับคนร่วงอวบ สมพงษ์จัดหมอนกับผ้าห่มวางลงอย่างเป็นระเบียบ ท่าทางของเด็กๆ ทะมัดทะแมงราวกับผู้ใหญ่
น่าทึ่งเสียจริง...ชานนท์นึกเอ็นดูเด็กๆในใจมากขึ้น เขารู้ในทันทีว่าเด็กๆ เหล่านี้ได้รับการอบรมจากที่บ้านมาเป็นอย่างดี อีกอย่าง โรงเรียนแห่งนี้ก็คงมีส่วนหล่อหลอมความเอื้ออารีให้กับเด็กนักเรียนไม่มากก็น้อย ความไร้เดียงสาราวกับต้นกล้าในป่า ถูกบ่มเพาะความดีงามให้เห็นอย่างสัมผัสได้ เด็กทั้งสามนั่งลงนอกปลายเสื่อ นั่นก็เป็นอีกเรื่องที่สัมผัสได้ถึงการรู้จักกาลเทศะของเด็กๆ ชานนท์อดยิ้มกว้างไม่ได้เมื่อมองเห็น
“คุณครูจะไปบ้านพ่อผู้ใหญ่เหรอคะ” เด็กหญิงผมเปียเอ่ยถามเสียงใสขณะที่ชายหนุ่มนั่งลงบนเสื่อ
“ใช่ครับ...พวกเรารู้ได้ไงเนี่ย”
“ครูใหญ่บอกค่ะ” นงนุชเป็นคนตอบ เด็กหญิงพูดจาฉะฉานแสดงให้เห็นถึงความฉลาด
“ให้พวกเราไปส่งไหมครับ/ค่ะ”เป็นความบังเอิญอีกครั้งที่เด็กๆ พูดพร้อมกันโดยไม่ได้ตั้งใจ ก่อนจะหันมามองหน้ากันแล้วหัวเราะร่วน
“เอาสิ เอ่อ... แล้วที่บ้านพวกเรา พ่อแม่จะไม่เป็นห่วงเอาเหรอ” เห็นความตั้งใจอยากช่วยเหลือเต็มเปี่ยม ชานนท์เผลอตกลงอย่างง่ายดายแต่ก็อดเป็นห่วงทางบ้านของเด็กๆไม่ได้
“ไม่เป็นไรครับครู วันนี้พ่อแม่พวกเราไปช่วยงานบ้านป้าแม้นครับ ลูกสาวป้าแม้นออกลูกครับ” คราวนี้เด็กร่างอวบ ท่าทางขี้อายกว่าเพื่อนเป็นคนตอบ
“พวกเราจะไปเป็นองครักษ์ให้คุณครูเองครับ แถวนั้นหมามันดุ” สมพงษ์เสริมขึ้น
“คนก็ดุ ยัยกาหลงไง แต่องครักษ์อย่างพวกเราไม่กลัวหรอก หนูอยากจะไปกวนโมโหยัยกาหลงด้วยคนค่ะ”
เด็กหญิงผมเปียบอกอย่างแก่นแก้ว ชานนท์หัวเราะหึ หึ เห็นท่าทางนักเรียนของเขาแล้ว การสอนหนังสือที่นี่คงสนุกไม่เลวเลยทีเดียว ขำกับคำว่าองครักษ์ เขาเอ่ยถามเด็กหญิง
“แล้วใครกันเหรอ ที่ชื่อกาหลง”
“ยัยปากจัด ใจร้าย ชอบรังแกเด็ก ลูกสาวพ่อผู้ใหญ่ที่คุณครูกำลังจะไปหาไงคะ”
เอ็นดูความไร้เดียงสาของเด็กตัวน้อยก็จริง แต่ชายหนุ่มก็อดคิดไม่ได้ว่า ความเฮี้ยวของทั้งสามก็คงจะมีไม่น้อยไปกว่ากันแน่ นึกลังเลว่าจะเอายังไงดี ขณะที่ได้ข้อมูลเพิ่มจากสมพงษ์คนตัวผอมว่า
“ผมกับเจ้าอ้วนมีจักรยานมาคนละคันครับ ส่วนยัยเปียเดี๋ยวให้ซ้อนท้ายรถผมไปก็ได้ เราจะนำหน้าคุณครูไปก่อน เพราะรถสวยของครูต้องแซงพวกเราก่อนถึงบ้านพ่อผู้ใหญ่แน่ๆ” เด็กชายสรุปเสร็จสรรพ ท่าทางมุ่งมั่น “ใช่มั๊ย? องค์หญิง”
“ใช่” เสียงเล็กแหลมตอบชัดเจน พร้อมสายตาแป๋วแหววเอาจริง
สังหรณ์ใจกับการไปแนะนำตัวอย่างบอกไม่ถูก แต่รอยยิ้มแป้นสลอนตรงหน้าก็ทำให้สรุปได้ว่า เขาควรมีองครักษ์ทั้งสามไปด้วยเสียแล้วล่ะ
“อืม เย็นมากแล้ว งั้นเราก็ควรไปกันตอนนี้ซะเลย”
เสียงไชโยดังขึ้นพร้อมเพรียงกันจากเหล่าองครักษ์ตัวน้อยทั้งสาม
(มีต่อ)
คุ้มสยองขวัญ ตอนที่ 2
ตอนก่อนหน้า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
บทที่ 2
โรงเรียนคุ้มริมผาเป็นอาคารไม้ชั้นเดียว แบ่งเป็นห้องเรียนหกห้อง ห้องพักครูอีกหนึ่งห้อง มีโรงอาหารโล่งๆแยกต่างหาก ชานนท์คิดว่าโรงอาหารคงใช้เป็นสถานที่สารพัดประโยชน์ด้วย บางทีคงกลายเป็นห้องประชุม เพราะเห็นมีกระดานชานอ้อยตั้งอยู่ในนั้น
บ้านพักครูสองหลังแยกห่างออกมาจากอาคารเรียน อยู่ภายในพื้นที่หลังโรงเรียนซึ่งค่อนข้างรกร้าง หลังบ้านพักแทบจะติดกับภูผาตั้งตระหง่านสูงชัน ถัดจากนั้นไปไม่ไกลเป็นหน้าผามีหุบเหวลึก ซึ่งคงแทบไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เพราะดูแล้วน่าจะเป็นอันตราย ทำเลทางภูมิศาสตร์ของหมู่บ้านรวมทั้งโรงเรียนเล็กๆแห่งนี้ ช่างสมกับชื่อ‘คุ้มริมผา’เสียจริงๆ
ฝนหยุดตกแล้วแต่ท้องฟ้ายังมืดครึ้ม ชานนท์เดินตาม‘ครูชาติพนา’ ครูใหญ่โรงเรียนคุ้มริมผาขึ้นไปยังเรือนยกใต้ถุนสูงหนึ่งในสองหลัง แสงไฟปลายชายคายื่นปรกระเบียงสาดส่องลงมาให้เห็นขั้นบันได บ้านพักครูเก่าแก่หลังนี้ทำด้วยไม้ทั้งหลัง ใต้ถุนโล่งเปล่า บันไดไม้กระดานอายุครึ่งร้อยปีดังออดแอดเมื่อชายหนุ่มยํ่าเท้าขึ้น ครูใหญ่วัยห้าสิบแปดสับสวิทช์ไฟบนระเบียงเล็กหน้าประตูเมื่อขึ้นไปถึง หลอดนีออนสั้นสีหม่นกะพริบหลายครั้งก่อนจะส่องสว่างแสงทึมออกมาทำหน้าที่อย่างเหนื่อยหน่าย ร่างท้วมเจ้าเนื้อของครูชาติพนาหันมายิ้มให้กับชายหนุ่มที่ก้าวตามหลัง พร้อมกับเอ่ยขึ้น
“หลอดนี้ก็ติด มาลุ้นกันหน่อยสิว่าในห้องนอนจะติดไหม ฮึๆๆ...” ครูใหญ่หัวเราะอย่างอารมณ์ดี
เสียงบานประตูลั่นยามที่ถูกเปิดโดยมืออวบอูม ฟังเสียดหัวใจพิลึก ชานนท์ตามหลังครูชาติพนาเข้าไปในห้อง กลิ่นอับชื้นของฝาผนังบ้านคล้ายกับกลิ่นเปลือกไม้แช่น้ำ ไฟนีออนกลางห้องสว่างขึ้น หลอดนี้ไม่มีการกะพริบ คงเพราะอายุใช้งานยังน้อยกว่าหลอดข้างนอกนั่นเอง
“อ๊า โชคดี ไม่ต้องได้กลับไปถอดที่เรือนอีกหลังมาเปลี่ยนแล้วล่ะ” ชานนท์ยิ้มแย้มเมื่อได้ยินคำพูดของครูใหญ่ เขามองไปรอบห้องโล่งๆว่างเปล่าพลางนึกในใจ...ก็ใช้ได้นะ แค่นี้ก็สุดยอดแล้วล่ะ
“ไม้กวาดกับผ้าถูพื้นอยู่ชานอาบน้ำหลังบ้านนะ เป็นไง พอทำใจได้ไหม” ครูชาติพนาพยายามชวนคุยเป็นกันเอง ชานนท์ตอบรับนอบน้อม เขายกมือไหว้ขอบคุณครูใหญ่ด้วยความพอใจ
ก่อนจะตามชายร่างท้วมมายังบ้านไร้คนพักหลังนี้ ชานนท์ได้เข้าไปรายงานตัวกับท่านมาก่อนแล้ว ครูใหญ่กับภรรยาพักอยู่อีกหลังใกล้ๆ กัน คุณสายทองภรรยาท่านมีท่าทีเอ็นดูเขาตั้งแต่รับไหว้และทักทาย นั่นเป็นสัญญาณบวกเรื่องแรก ตามมาด้วยความเอื้ออารีซึ่งเป็นอีกเรื่องที่สัมผัสได้จากครูใหญ่ชาติพนา วิถีชีวิตสองสามีภรรยาคู่นี้ดูเรียบง่ายและพอเพียงตามพระราชดำริของพ่อหลวง ชานนท์มองเห็นโทรทัศน์รุ่นเก่าซึ่งคนในเมืองเลิกใช้กันแล้ว ยังมีพัดลมติดเพดานอีกตัวที่หมุนเหวี่ยงอย่างเกียจคร้าน ซึ่งอดระแวงไม่ได้ว่ามันจะร่วงลงมาเมื่อไหร่กันหนอ ยามเมื่อสิ้นลม
จากคำแนะนำตัวและความเป็นอยู่ของท่าน ชานนท์มองเห็นรอบบ้านครูใหญ่ปลูกพืชผักสวนครัวรวมไปถึงไม้เถาไม้เลื้อยที่เก็บกินได้ทุกอย่าง ต้นแคกำลังออกดอกสีขาวพราวสะพรั่ง ต้นมะขามสูงเท่าหลังคาบ้านยังไร้ผล เพราะไม่ใช่หน้าของมัน เล้าไก่ริมรั้วเถาตำลึง มองเห็นไก่บ้านครอกใหญ่เงียบเสียงกระโตกกระตาก เนื่องจากฝนฟ้าไล่ให้เข้าเล้า ลูกเจี๊ยบหลายตัวจึงได้แต่ซุกใต้ปีกแม่เตรียมหลับไหล
ครูใหญ่พูดถึง‘พี่สุพจน์’หลายเรื่อง ทุกเรื่องราวเป็นเรื่องความทรงจำดีๆทั้งสิ้น ระหว่างพูดถึง ท่านชมเชยความมีน้ำใจของเพื่อนสุพจน์ไม่ขาดปาก ทำให้ชานนท์เองรู้สึกปลาบปลื้มใจแทน‘หัวหน้าจิตอาสา’ของเขาไปด้วย โดยเฉพาะคำพูดจากครูใหญ่ที่ว่า...‘คนเสียสละด้วยใจจริงอย่างสุพจน์ นับวันคงจะหายากและเหลือน้อยลงทุกที ’ เขาเห็นจริงด้วยตามนั้น รวมทั้งเห็นจริงในตัวคนพูดด้วย ซึ่งท่านอาจไม่รู้ตัว แต่ท้ายประโยคกลับทำให้เขาอึ้งไปเพราะพูดไม่ออก เมื่อได้ยิน ...‘ อีกไม่นาน ชีวิตแบบในเมืองก็คงคืบคลานเข้ามากลืนวิถีชีวิตคนป่าคนเขาอย่างพวกเราในสักวัน ’...
“เดี๋ยวเด็กนักเรียนจะช่วยกันเอาเสื่อกับมุ้งหมอนมาให้นะ พวกเด็กๆ ดีใจกันมาก ที่จะได้เรียนหนังสือกับคุณครูคนใหม่ แถมยังรูปหล่อเสียด้วย ฮ่า ฮ่า” บอกแล้วก็หยอกเย้าเขาเล่นอย่างปรานี
“มื้อเย็นก็ไม่ต้องห่วง ผมกับสายทองจะเลี้ยงต้อนรับคุณเอง ฝีมือต้มโคล้งไก่ของเมียผมเด็ดอย่างงี้เลย”
ครูใหญ่ใจดีพูดกลั้วหัวเราะพร้อมยกนิ้วโป้งประกอบ ชานนท์หัวเราะตาม รู้สึกใจชื้นขึ้นมาเป็นกอง หลังห่อเหี่ยวจากสภาพขลุกขลักของการเดินทางอยู่นาน ไม่เลวเลยทีเดียวสำหรับการเริ่มต้นเป็นครูอาสาที่นี่ ชายหนุ่มรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากที่เจอผู้คนล้วนแต่ใจดีมีเมตตา รู้สึกอบอุ่นใจประหลาด ตั้งแต่แรกพบกันกับผู้หญิงสวยแปลกๆที่ชื่อ‘ซ่อนกลิ่น’คนนั้นด้วยซํ้า
ผู้หญิงคนนั้นบอกเขาว่า เธอออกมาหาเก็บสมุนไพรแล้วเกิดติดฝนอยู่ในถ้ำ ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกทึ่งกับชาวบ้านที่นี่มาก ดูเหมือนหมู่บ้านคุ้มริมผาแห่งนี้จะสงบสุขและปลอดภัย เพราะแม้กระทั่งผู้หญิงสาวก็ยังออกมาเดินหาของป่าคนเดียวในที่เปลี่ยวได้ โดยไม่ต้องกังวลถึงอันตรายอะไร
หลังรู้ว่าเขาคือครูคนใหม่ของโรงเรียนคุ้มริมผา พอฝนซาเม็ดลง เธอก็ยอมนั่งซ้อนจักรยานยนต์ของเขากลับออกจากถ้ำ ชายหนุ่มพาเธอลัดเลาะมาตามทางลัดที่เธอคอยบอก ก่อนจะทะลุออกด้านหลังโรงเรียนพอดี เขาขี่รถเลยมาส่งเธอที่หน้าประตูรั้วบ้านไม้หลังใหญ่โบราณ แลดูเงียบเหงาวังเวงดีจริงๆ บ้านหลังนั้นอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนเท่าไหร่นัก ประหลาดใจเล็กน้อยที่เธอบอกว่าอาศัยอยู่ในบ้านเพียงลำพัง แต่ยังไม่ทันจะซักถามอะไรต่อ เธอก็รีบเดินเข้าบ้านไปเสียก่อน...ไม่เป็นไร คงมีโอกาสได้พบกับเธอใหม่ในสักวัน ชานนท์หมายมั่นในใจ
ครูใหญ่อยู่สนทนาด้วยอีกพักหนึ่ง แล้วจึงขอตัวกลับไปบ้าน ซึ่งก็คงจะไปจัดเตรียมเครื่องนอนให้เขานั่นเอง
ตะวันบ่ายคล้อยลงมากแล้ว ชานนท์วางมือจากถังน้ำและไม้ถูพื้น เพิ่งนึกได้ว่าเขาจะต้องไปแนะนำตัวกับผู้ใหญ่บ้านอีกคน จุดหมายอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนตามที่ครูใหญ่บอกทาง
ชายหนุ่มเข้าไปในห้องซึ่งเลือกเอาไว้เป็นห้องนอน ส่วนอีกห้องกะจะใช้เก็บข้าวของต่างๆหากมีเพิ่มขึ้นในวันหน้า เขายกกระเป๋าสองใบออกมาเทของรวมกัน ของใช้ส่วนตัวถูกจัดกองเป็นระเบียบข้างผนังด้านหนึ่ง ของแห้งถูกวางแผ่ออกเพื่อเล็งหาที่ที่มันควรอยู่ น้ำพริกตาแดงของโปรดฝีมือแม่ซึ่งเขาขาดไม่ได้ ถูกจัดวางใกล้กับกองเสื้อผ้าซึ่งพับเรียบร้อย...อยู่ตรงนี้แหละ เพราะของสำคัญต้องอยู่ใกล้ของเรียบร้อยพวกนี้สิ
สะดุ้งกับเสียงย่ำขั้นบันไดโครมๆ ขึ้นมาพร้อมเสียงหัวเราะคิกคักของเด็กๆ ก่อนที่ใบหน้าเล็กๆ สามหน้าจะโผล่ออกมาเมียงมองอยู่ที่บานประตูห้องนอน ชายหนุ่มหันไปมองแล้วยิ้มให้ คงเป็นเด็กนักเรียนที่ครูใหญ่ว่า
“เข้ามาสิครับเด็กๆ”
พอเห็นหนุ่มร่างสูงพูดด้วยแล้วพยักหน้าเรียก เด็กน้อยทั้งสามก็กรูกันเข้ามาหา ในมือหอบผ้าผ่อนมาด้วยพะรุงพะรัง เป็นเด็กผู้ชายตัวผอมเก้งก้างคนหนึ่งกับอีกคนอวบท้วมแก้มยุ้ย ส่วนเด็กผู้หญิงเพียงคนเดียวถักผมเปีย หน้าตาน่ารักน่าชัง คะเนว่าทุกคนน่าจะอายุประมาณสิบขวบ ทั้งสามมายืนยิ้มแป้นมองตาแป๋วตรงหน้าเขา
“ครูใหญ่ให้เอามุ้งกับหมอนมาให้ครับ/ค่ะ” ต่างคนต่างพูดพร้อมกันอย่างบังเอิญ ชูของในมือให้ดูสลอน เป็นมุ้งสีขาวกับหมอนหนึ่งใบ เสื่อกกหนึ่งผืน มีผ้าห่มยังดูใหม่อีกผืนหนึ่งด้วย
“ขอบใจมากหนุ่มสาว เก่งกันทุกคนเลย” ชานนท์อ้าแขนรับเครื่องนอนจากเด็กๆ “ชื่ออะไรกันมั่งล่ะเนี่ย” ว่าที่คุณครูคนใหม่ซักถามอย่างเอ็นดู
“ผมชื่อสมพงษ์ครับ เจ้าอ้วนนี่ชื่อบรรจง ส่วนยัยเปียนี่ชื่อนงนุชครับ” คนผอมกว่าเพื่อนรายงานเจื้อยแจ้ว สองคนที่ถูกกล่าวถึงยืนยิ้มแป้นข้างๆ ส่วนคนรายงาน ชานนท์มองเห็นฟันหลอซ้ายขวาในปาก รู้สึกทึ่งในใจที่เด็กน้อยยังสามารถพูดได้ชัดเจน ชายหนุ่มกวักมือบอกให้เด็กๆ นั่งลง
“เดี๋ยวค่ะ เดี๋ยวหนูปูเสื่อให้คุณครูก่อน” เด็กหญิงผมเปียยกมือห้าม พลางช่วยจัดการดึงปลายเสื่อคนละข้างกับคนร่วงอวบ สมพงษ์จัดหมอนกับผ้าห่มวางลงอย่างเป็นระเบียบ ท่าทางของเด็กๆ ทะมัดทะแมงราวกับผู้ใหญ่
น่าทึ่งเสียจริง...ชานนท์นึกเอ็นดูเด็กๆในใจมากขึ้น เขารู้ในทันทีว่าเด็กๆ เหล่านี้ได้รับการอบรมจากที่บ้านมาเป็นอย่างดี อีกอย่าง โรงเรียนแห่งนี้ก็คงมีส่วนหล่อหลอมความเอื้ออารีให้กับเด็กนักเรียนไม่มากก็น้อย ความไร้เดียงสาราวกับต้นกล้าในป่า ถูกบ่มเพาะความดีงามให้เห็นอย่างสัมผัสได้ เด็กทั้งสามนั่งลงนอกปลายเสื่อ นั่นก็เป็นอีกเรื่องที่สัมผัสได้ถึงการรู้จักกาลเทศะของเด็กๆ ชานนท์อดยิ้มกว้างไม่ได้เมื่อมองเห็น
“คุณครูจะไปบ้านพ่อผู้ใหญ่เหรอคะ” เด็กหญิงผมเปียเอ่ยถามเสียงใสขณะที่ชายหนุ่มนั่งลงบนเสื่อ
“ใช่ครับ...พวกเรารู้ได้ไงเนี่ย”
“ครูใหญ่บอกค่ะ” นงนุชเป็นคนตอบ เด็กหญิงพูดจาฉะฉานแสดงให้เห็นถึงความฉลาด
“ให้พวกเราไปส่งไหมครับ/ค่ะ”เป็นความบังเอิญอีกครั้งที่เด็กๆ พูดพร้อมกันโดยไม่ได้ตั้งใจ ก่อนจะหันมามองหน้ากันแล้วหัวเราะร่วน
“เอาสิ เอ่อ... แล้วที่บ้านพวกเรา พ่อแม่จะไม่เป็นห่วงเอาเหรอ” เห็นความตั้งใจอยากช่วยเหลือเต็มเปี่ยม ชานนท์เผลอตกลงอย่างง่ายดายแต่ก็อดเป็นห่วงทางบ้านของเด็กๆไม่ได้
“ไม่เป็นไรครับครู วันนี้พ่อแม่พวกเราไปช่วยงานบ้านป้าแม้นครับ ลูกสาวป้าแม้นออกลูกครับ” คราวนี้เด็กร่างอวบ ท่าทางขี้อายกว่าเพื่อนเป็นคนตอบ
“พวกเราจะไปเป็นองครักษ์ให้คุณครูเองครับ แถวนั้นหมามันดุ” สมพงษ์เสริมขึ้น
“คนก็ดุ ยัยกาหลงไง แต่องครักษ์อย่างพวกเราไม่กลัวหรอก หนูอยากจะไปกวนโมโหยัยกาหลงด้วยคนค่ะ”
เด็กหญิงผมเปียบอกอย่างแก่นแก้ว ชานนท์หัวเราะหึ หึ เห็นท่าทางนักเรียนของเขาแล้ว การสอนหนังสือที่นี่คงสนุกไม่เลวเลยทีเดียว ขำกับคำว่าองครักษ์ เขาเอ่ยถามเด็กหญิง
“แล้วใครกันเหรอ ที่ชื่อกาหลง”
“ยัยปากจัด ใจร้าย ชอบรังแกเด็ก ลูกสาวพ่อผู้ใหญ่ที่คุณครูกำลังจะไปหาไงคะ”
เอ็นดูความไร้เดียงสาของเด็กตัวน้อยก็จริง แต่ชายหนุ่มก็อดคิดไม่ได้ว่า ความเฮี้ยวของทั้งสามก็คงจะมีไม่น้อยไปกว่ากันแน่ นึกลังเลว่าจะเอายังไงดี ขณะที่ได้ข้อมูลเพิ่มจากสมพงษ์คนตัวผอมว่า
“ผมกับเจ้าอ้วนมีจักรยานมาคนละคันครับ ส่วนยัยเปียเดี๋ยวให้ซ้อนท้ายรถผมไปก็ได้ เราจะนำหน้าคุณครูไปก่อน เพราะรถสวยของครูต้องแซงพวกเราก่อนถึงบ้านพ่อผู้ใหญ่แน่ๆ” เด็กชายสรุปเสร็จสรรพ ท่าทางมุ่งมั่น “ใช่มั๊ย? องค์หญิง”
“ใช่” เสียงเล็กแหลมตอบชัดเจน พร้อมสายตาแป๋วแหววเอาจริง
สังหรณ์ใจกับการไปแนะนำตัวอย่างบอกไม่ถูก แต่รอยยิ้มแป้นสลอนตรงหน้าก็ทำให้สรุปได้ว่า เขาควรมีองครักษ์ทั้งสามไปด้วยเสียแล้วล่ะ
“อืม เย็นมากแล้ว งั้นเราก็ควรไปกันตอนนี้ซะเลย”
เสียงไชโยดังขึ้นพร้อมเพรียงกันจากเหล่าองครักษ์ตัวน้อยทั้งสาม
(มีต่อ)