ปราสาทอัปสร ตอนที่ ๑๐

กระทู้สนทนา
ปราสาทอัปสร ตอนที่ ๙
https://ppantip.com/topic/36833707





ตอนที่ ๑๐ ปีศาจอัปสร


    บนโคปุระนั้นคือทับหลังที่สลักลงบนแผ่นหินจนมองเห็นเค้าโครงอย่างเด่นชัด เป็นรูปกาลหรือสิงหมุข ใบหน้าอันน่าเกรงขามของอสูรที่ตระหง่านเด่นอยู่บนแผ่นหินสะกดให้ผู้ที่กำลังยกไฟฉายขึ้นสาดส่องมองดูต้องหยุดชะงัก ในคัมภีร์ปัทมปุราณะ หน้ากาลนั้นเกิดขึ้นเมื่อครั้งยักษ์ชลันธรผู้ได้รับพรจากพระอิศวรกลับมาท้ารบพระองค์ พระอิศวรทรงกริ้วมากจึงเปิดพระเนตรที่ ๓ เกิดอสูรตนหนึ่งผู้มีความหิวโหย ยักษ์ชลันธรเกิดความกลัวและขอร้องพระอิศวรไม่ให้อสูรตนนั้นกิน อสูรตนนั้นจึงกลืนกินตัวเองจนหมดเหลือแค่ใบหน้า พระอิศวรมหาเทพเกิดความสงสารจึงให้กาลไปอยู่หน้าประตูเพื่อคอยดูแลผู้คนเข้าออกด้วยถือเป็นผู้กลืนกินกาลเวลา และอีกหลายตำนานล้วนกล่าวว่า หน้ากาลนั้นมาจากสิงห์ หรือสิงหมุข ผู้เป็นเทพสูงสุด สามารถทำลายความชั่วร้ายลงได้ เทพผู้สถิตเพื่อปกปักรักษาปราสาท ไม่ได้ป้องกันไม่ให้สิ่งชั่วร้ายอันใดล่วงล้ำกล้ำกรายเข้ามา หากแต่คอยข่มอำนาจของปีศาจที่ถูกกักขังไว้ในปราสาทไม่ให้ออกมาพบอิสระ...

    ชัชชัยใช้ให้ลูกหาบคนหนึ่งปีนขึ้นไปบนขอบหินที่หักพักลงมาข้างโคปุระ ใช้ลิ่มตอกลงไปบนแผ่นหินเพื่อนำทับหลังนั้นออกมาด้วยความระมัดระวัง เสียงวัตถุดังกระทบแผ่นหินนั้นทำให้ธงศักดิ์ตื่นขึ้น เขามุดหัวออกมาจากเต็นท์ เพ่งสายตาไปยังปราสาทเบื้องหน้าในขณะที่คเชนทร์หลับใหลไปเพราะยาสลบที่ผสมอยู่ในน้ำดื่ม ทุกคนในที่นี่รู้ว่าการมาครั้งนี้ของชัชชัยไม่ได้เพื่อต้องการสำรวจปราสาทเพื่องานวิชาการอะไรนั่น เขาเป็นนักล่าสมบัติมือทอง และเขาจะไม่ยอมเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ไปแม้แต่วินาทีเดียว

    ธงศักดิ์เริ่มหรี่ตามองกลุ่มของชัชชัยด้วยความรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึง เมื่อแสงจันทร์คืนใกล้เต็มดวงสาดแสงลงมาบนพื้นดิน แลเห็นเป็นเงาของสตรีกำลังยืนมองทั้งกลุ่มอยู่ที่ด้านหน้าปราสาท เงานั้นค่อยๆ เคลื่อนเข้าไปใกล้ชายทั้งสามอย่างช้าๆ พร้อมกับอณูอากาศที่เย็นเยียบลงทุกขณะ

    ลูกหาบคนหนึ่งโยนค้อนกับลิ่มลงบนพื้นหิน ใช้สองมือโอบแผ่นหินอันเป็นทับหลังลงมาพร้อมกับสหายที่อยู่อีกฟากหนึ่งของโคปุระ ก่อนที่จะรู้สึกเหมือนมีมือเย็นเยียบจับข้อเท้าไว้ อณูความกลัวแล่นปราดเข้าเกาะกุมร่าง เขาร้องโหยง เบิกตาโพลง ปล่อยมือออกจากทับหลัง อีกฝ่ายมิอาจทานแรงน้ำหนักของแผ่นหินได้จึงล้มครืนลงบนพื้นไปพร้อมกับแผ่นทับหลังสิงหมุข

    ชัชชัยขบกรามแน่น ก่อนเตะเข้าไปที่ชายโครงของลูกหาบทั้งสองอย่างแรง ก้มลงนั่งและจับแผ่นทับหลังที่แตกเป็นเสี่ยงๆ ตรงหน้าด้วยความโกรธเคืองและเสียดายอย่างถึงที่สุด

    “นี่พวกแกทำอะไรลงไป รู้รึเปล่าว่ามันมีค่ามากแค่ไหน” ชัชชัยกำมือแน่นด้วยสีหน้าเดือดดาล ลูกหาบทั้งสองหันมามองหน้ากันด้วยความกลัว ก่อนที่เสียงหัวเราะอันเย้ยหยันจะดังก้องออกมาจากด้านในปราสาท

         เกลียวเมฆดำเคลื่อนคล้อยเข้าบดบังแสงจันทราเบื้องบนเมื่ออำนาจของผู้พิทักษ์เสื่อมคลายลง ลมเย็นพัดกรูเข้ามารอบปราสาท ชัชชัยลุกขึ้นและยังไม่ละความพยายาม เขากระชากร่างของลูกหาบทั้งสองให้ลุกตาม ก่อนผลักให้เดินตรงไปยังปราสาทด้านใน

        “นายจะเข้าไปเหรอครับ ผมไม่...ไม่กล้า...เอาไว้พรุ่งนี้เช้าค่อยไปไม่ได้เหรอนาย” ลูกหาบคนหนึ่งร้องขึ้นด้วยความหวาดกลัวเมื่อมองเข้าไปในด้านปราสาทที่มืดมิด อีกคนที่รู้สึกเหมือนถูกมือใครบางคนจับข้อเท้าเมื่อครู่สั่นศีรษะมองไปรอบๆ ด้วยความหวาดหวั่น ชัชชัยก้มลงหยิบเอาไฟฉายสองกระบอกในเป้และส่งให้ลูกหาบทั้งสอง บีบบังคับด้วยสายตาจนกระทั่งชายหนุ่มต้องจำใจเดินผ่านซากปรักหักพักเข้าไปสู่ปรางค์องค์หลักที่ยังคงสภาพแข็งแรง

          หนุ่มใหญ่ไม่ได้สนใจประวัติศาสตร์ของสถานที่ซึ่งเขากำลังเหยียบย่ำอยู่นี้ว่ามันมีอายุยาวนานเพียงใดแล้ว ไม่ได้สนใจด้วยว่าใครเป็นผู้สร้างมัน และสร้างมันด้วยเพราะเหตุใด หรือว่ามีสิ่งใดที่สิงสถิตอยู่ภายในปราสาทที่เขากำลังก้าวล่วงเข้าไปนี้ หากมันถูกลบหายออกไปจากประวัติศาสตร์ในรัชสมัยของพระเจ้าสุริยจักร นั่นแสดงว่ามันต้องมีบางอย่างที่ไม่ธรรมดาที่ซุกซ่อนไว้ภายใน อาจเป็นสมบัติล้ำค่า เครื่องทองหรือเทวรูปพระอิศวรอันงดงามหล่อสำริด ตัณหาที่โลภโมโทสันนั่นเองที่ลวงล่อให้เขามายังที่นี่

    ลูกหาบทั้งสองหยุดยืนที่หน้าปรางค์องค์หลัก เบื้องหน้านั้นคือความมืดมิดดุจขุมนรก ไอเย็นแปลกประหลาดแผ่ห้อมล้อมรอบตัวจนหนาวยะเยือกจับขั้วหัวใจ ก่อนที่ชัชชัยที่เดินตามหลังมาจะสาดไฟฉายขึ้นไปยังทับหลังบนกรอบประตู

    บนแผ่นหินทรายนั้นสลักรูปนางอัปสรสามนาง ชัชชัยหรี่ตามองดูอย่างพินิจครู่หนึ่ง เขาไม่เคยเห็นทับหลังที่สลักภาพนางอัปสรมาก่อน ปราสาทแห่งนี้อาจเป็นที่แรก... ในดวงตาบนภาพสลักที่ยังคงสมบูรณ์แบบและงดงามนั้นคล้ายกำลังจ้องมองผู้มาเยือนอยู่อย่างเงียบๆ

    “เข้าไปสิวะ...” ชัชชัยดุนหลังลูกหาบทั้งสอง ทั้งคู่หันมามองหน้ากันพร้อมกับกลืนน้ำลายลงคอเฮือกใหญ่ แต่พอก้าวขาเข้าไปไม่ทันไรฝูงค้างคาวก็บินพรึบแตกออกมาจนทั้งหมดต้องย่อตัวลงพื้นด้วยความตกใจ

    “ไม่เอาแล้วนาย...ผมไม่กล้าเข้าไป” ลูกหาบทางซ้ายกลัวจนฉี่ราด อีกคนก็ทำท่าว่าจะร้องไห้ ชัชชัยลุกขึ้นและใช้เท้าเตะทั้งสองคนเข้าไปฉาดใหญ่ ก่อนเสนอเงินให้ฟ่อนใหญ่หากมันทั้งสองกล้าเข้าไป ทั้งคู่จึงค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างเก้ๆ กังๆ

    แสงไฟฉายค่อยๆ สาดลงไปยังแผ่นหินที่ผ่านกาลเวลามานานนับพันปี ภายในตัวปราสาทเต็มไปด้วยกลิ่นอับจากมูลค้างคาว ทั้งหมดล่วงผ่านพ้นกรอบประตูเข้ามาในที่สุด ก่อนที่แสงไฟฉายจะสาดไปกระทบกับเทวรูปหินของนางอัปสราตนหนึ่งที่ผนังฝั่งซ้าย

    ชัชชัยใจเต้นถี่ยิบด้วยความดีใจ เขาสาดไฟฉายตรงไปยังเทวรูปนั้นตามันวาวในขณะที่ลูกหาบทั้งสองจ้องหน้ากันด้วยความตื่นเต้นปนหวาดหวั่น หนุ่มใหญ่สาวเท้าเดินตรงเข้าไปหาเทวรูปล้ำค่า ใช้ไฟฉายส่องสำรวจดูอย่างพินิจ

    เทวรูปนางอัปสรทำจากสำริด ขนาดสูงเกือบสองเมตรเท่าคนจริง ข้อมือ ข้อเท้า ใต้คอและเหนือศีรษะประดับด้วยเครื่องประดับทองอันประณีตงดงาม ชัชชัยยิ้มกระหยิ่มใจ ก่อนสั่งให้ลูกหาบคนหนึ่งนำถุงผ้ามาให้ตน

    ชัชชัยเอื้อมมือไปจับที่กำไลข้อมือซ้ายของรูปปั้นนางอัปสรตรงหน้า พยายามถอดกำไลนั้นออกแต่ก็ไม่เป็นผล เขากัดฟันอย่างหัวเสีย ถอดเอาเป้สะพายหลังออกมาวางกับพื้นพร้อมกับควานหาเลื่อยเล็กๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่