ปราสาทอัปสร ตอนที่ ๘
https://ppantip.com/topic/36822356
ตอนที่ ๙ รอยสาป
ปิ่นสุดาสะดุ้งเฮือกจนสุดตัวคล้ายกับว่าถูกบางอย่างผลักเธอให้ออกมาจากโลกอีกใบหนึ่งที่ถูกฝังกลบด้วยกาลเวลา หญิงสาวลืมตาตื่นขึ้น หอบหายใจและกวาดสายตามองไปรอบๆ
แสงอาทิตย์ยามเช้าสาดกระทบกับผ้าเต็นท์ ข้างกายไร้ร่างของพิมพ์อัปสร ภายนอกได้ยินเสียงพูดคุยกันเบาๆ ของกลุ่มชายหนุ่มผู้นำทาง มีเสียงของคงยศเอ่ยแทรกอย่างแจ่มใส ปิ่นสุดาจึงลุกขึ้นและเปิดเต็นท์ออกไป
“อ้าว ตื่นแล้วเหรอยัยปิ่น รีบไปอาบน้ำอาบท่า พิมพ์เขารออยู่” สิ้นเสียงคงยศที่เอ่ยทัก พิมพ์อัปสรก็หันมาส่งยิ้มให้กับผู้เป็นเพื่อน ปิ่นสุดาจ้องมองขันน้ำและผ้าเช็ดตัวพร้อมกับเสื้อผ้าในถุงพลาสติกที่อีกฝ่ายถือไว้ จากนั้นจึงหันหลังกลับเข้าไปในเต้นท์และหยิบเอาข้าวของของตนออกมา
ทั้งคู่เดินลงมาอาบน้ำและล้างหน้ากันที่ลำธารสายเล็กๆ ขนาดกว้างเพียงสองเมตร นุ่งผ้าถุงกระโจมอกกันและปล่อยให้สายน้ำไหลผ่านร่างกายไปด้วยความสบายตัว
แต่ในขณะที่ปิ่นสุดากำลังพริ้มตาหลับอิงศีรษะซบกับหินก้อนหนึ่งอยู่นั้น จมูกก็กลับได้กลิ่นคาวประหลาด ครั้นเมื่อลืมตาขึ้นจึงเห็นว่าสายน้ำที่ไหลผ่านร่างเธอไปนั้นไม่ได้ใสสะอาด หากแต่เต็มไปด้วยเลือดสีแดงสด
หญิงสาวเต้นร้องโหยง ลุกพรวดขึ้นจากสายน้ำที่ลึกเพียงเข่า พิมพ์อัปสรที่กำลังเช็ดเนื้อเช็ดตัวอยู่บนฝั่งหันมาด้วยความตกใจ
“เป็นอะไรไปปิ่น...” ปิ่นสุดาหอบหายใจถี่ เอามือขยี้ตาสองสามครั้ง เมื่อเพ่งมองไปยังสายน้ำเบื้องหน้า ทุกอย่างก็กลับเป็นปกติ น้ำใสยังคงไหลเอื่อยไปตามวิถีของมัน... นี่เธอตาฝาดไปงั้นหรือ?
“เอ่อ ไม่มีอะไรหรอกพิมพ์” คนว่ากลืนน้ำลายลงคอเฮือกใหญ่ ก่อนเดินขึ้นจากฝั่งและตรงไปหยิบเอาผ้าขนหนูมาเช็ดหน้าเช็ดตา เมื่อทั้งสองกลับมายังจุดตั้งแค้มป์ เหล่าชายหนุ่มก็จัดการเก็บเต็นท์จนเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ทั้งคณะเริ่มออกเดินทางอีกครั้งในเวลาแปดโมงเช้า ในขณะที่อีกคณะหนึ่งใกล้จะเข้าเขตปราสาทในอีกไม่ช้า
ลูกหาบสองคนที่อยู่เวรเมื่อคืนนี้เอาแต่เดินเงียบตลอดทาง จนนายมิ่งจับสังเกตได้ ครั้นเมื่อบุตรชายของพรานทองดำผู้เดินรั้งท้ายดึงตัวลูกน้องทั้งสองที่ผิดสังเกตมาสืบถาม พวกมันจึงเล่าสิ่งที่เห็นทั้งหมดเมื่อคืนให้ฟัง
“จริงนะพี่ พวกข้าสองคนเห็นจริงๆ เป็นผู้หญิงสามคน แต่งตัวเหมือนนางรำ ไม่ใช่สิ...เหมือนนางอัปสราที่เราเคยเห็นรำถวายในงานพิธีน่ะ แบบนั้นเลย แล้วพอหมอกเคลื่อนเข้ามา พวกผู้หญิงสามคนนั้นก็หายไป...พูดแล้วยังขนลุกไม่หาย” ลูกหาบคนหนึ่งว่าขึ้น อีกคนที่อยู่ในเหตุการณ์หันไปมองรอบกายที่แวดล้อมด้วยต้นไม้รกทึบด้วยสายตาหวาดกลัว
“ไอ้นี่ ในป่าในเขาใครเขาให้พูดเรื่องแบบนี้” นายมิ่งหันมาเอ็ดใส่เสียงขรึม
“อ้าว ก็พี่ถามฉันนิ แล้วนี่เราใกล้จะถึงจุดหมายแล้วใช่มั้ย ผมรู้สึกไม่ดียังไงบอกไม่ถูก ไม่อยากให้ไปถึงที่นั่นเลย ดีไม่ดีวิญญาณผีผู้หญิงสามคนนั้นอาจมาจากปราสาทหลังนั้นก็ได้”
“เดี๋ยวพอถึงจะรู้สึกดีแน่ พ่อกูบอกว่าในปราสาทมีพวกสมบัติเก่าๆ มากมาย พวกเครื่องทองและเพชรนิลจินดาไม่รู้เท่าไหร่” นายมิ่งพูดพร้อมยิ้มกริ่ม แต่ลูกหาบอีกคนก็สวนกลับมา
“ไหนพ่อทองดำเคยบอกพวกเราว่าห้ามแตะต้องสิ่งของในปราสาทไง ของพวกนั้นมันถูกสาป พี่ไม่กลัวเหรอ?”
“เฮอะ ใครจะกลัวก็กลัวไป ถ้ามัวแต่กลัวก็ไม่รวยกันพอดีโว้ย” นายมิ่งบอกด้วยสีหน้าเหรอหรา ก่อนรีบจ้ำอ้าวต่อ ไม่ทันรู้ว่าคเชนทร์ที่เดินห่างอยู่ไม่ไกลคอยรับฟังการสนทนานั้นอยู่เงียบๆ
เมื่อพ้นจากเขตป่ารกทึบออกมาแล้ว ทั้งหมดก็ได้พบกับลานทุ่งหญ้าคาขนาดกว้างเกือบห้าสิบไร่ คเชนทร์หันมาถามธงศักดิ์ด้วยความสงสัย จุดนี้ระบุในแผนที่ว่าเป็นป่ารกทึบนี่...
“สงสัยคงถูกแผ้วทางต้นไม้ไปหมดน่ะ พอข้ามทุ่งนี้ไปก็จะถึงปราสาทแล้ว” คนสนิทของชัชชัยเอ่ยบอก ก่อนจะตบไหล่คเชนทร์พร้อมรอยยิ้ม ชายหนุ่มรีบออกแรงก้าวขา เดินต่อไปด้วยความมุ่งมั่นจนในที่สุดเมื่อพ้นทุ่งหญ้าแล้วจึงตัดเข้าสู่หุบเขาอันรกทึบอีกครั้ง และปราสาทหินที่ถูกซ่อนตัวอยู่กลางป่าลึกก็ปรากฏต่อสายตาของคนทั้งหมด
ปราสาทหลังนั้นตั้งอยู่ในหุบเขารกทบอันลึกเร้น เรือนยอดของไม้ใหญ่แผ่ก้านแตกกิ่งบดบังความเข้มขลังอลังการนั้นไว้ภายใต้ร่มเงาอันอึมทึมหมองหม่น ศิลาแลงชโลมอาบด้วยน้ำฝนและแสงตะวันอันน้อยนิดมานานหลายศตวรรษเขียวครึ้มด้วยตะไคร่สดสีเขียวชอุ่ม เถาวัลย์มากมายเกาะเกี้ยวเลื้อยพันโอบรัดร่างศิลาไว้ประหนึ่งงูยักษ์ที่กำลังพันรัดเหยื่อ
ด้านหน้าของปราสาทหันหน้าไปทางทิศตะวันตก ด้านหน้า ซ้ายและขวา ปราสาทประธานปรากฏเป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีบรรณนาลัย ๑ หลัง ในด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ของปราสาทและสระน้ำที่อยู่ห่างออกไปอีกยี่สิบเมตร
คเชนทร์หวนนึกถึงข้อความในเอกสารที่เขาอ่านจากบันทึกการสำรวจเมื่อขณะรวบรวมข้อมูลของปราสาทตรงหน้านี้ ในขณะที่ทุกร่างต่างยืนนิ่งเงียบ ในสายตาจ้องมองปราสาทหินที่ถูกซุกซ่อนไว้ในป่ารกดุจต้องมนตร์สะกด ความเข้มขลังของมันสิงสถิตอยู่ในอณูอากาศที่แวดล้อม ปะปนไปด้วยความโศกเศร้าและเคียดแค้นติดตรึงฝังแน่นอยู่ในก้อนหินเหล่านั้น
ปราสาทอัปสร ตอนที่ ๙
https://ppantip.com/topic/36822356
ปิ่นสุดาสะดุ้งเฮือกจนสุดตัวคล้ายกับว่าถูกบางอย่างผลักเธอให้ออกมาจากโลกอีกใบหนึ่งที่ถูกฝังกลบด้วยกาลเวลา หญิงสาวลืมตาตื่นขึ้น หอบหายใจและกวาดสายตามองไปรอบๆ
แสงอาทิตย์ยามเช้าสาดกระทบกับผ้าเต็นท์ ข้างกายไร้ร่างของพิมพ์อัปสร ภายนอกได้ยินเสียงพูดคุยกันเบาๆ ของกลุ่มชายหนุ่มผู้นำทาง มีเสียงของคงยศเอ่ยแทรกอย่างแจ่มใส ปิ่นสุดาจึงลุกขึ้นและเปิดเต็นท์ออกไป
“อ้าว ตื่นแล้วเหรอยัยปิ่น รีบไปอาบน้ำอาบท่า พิมพ์เขารออยู่” สิ้นเสียงคงยศที่เอ่ยทัก พิมพ์อัปสรก็หันมาส่งยิ้มให้กับผู้เป็นเพื่อน ปิ่นสุดาจ้องมองขันน้ำและผ้าเช็ดตัวพร้อมกับเสื้อผ้าในถุงพลาสติกที่อีกฝ่ายถือไว้ จากนั้นจึงหันหลังกลับเข้าไปในเต้นท์และหยิบเอาข้าวของของตนออกมา
ทั้งคู่เดินลงมาอาบน้ำและล้างหน้ากันที่ลำธารสายเล็กๆ ขนาดกว้างเพียงสองเมตร นุ่งผ้าถุงกระโจมอกกันและปล่อยให้สายน้ำไหลผ่านร่างกายไปด้วยความสบายตัว
แต่ในขณะที่ปิ่นสุดากำลังพริ้มตาหลับอิงศีรษะซบกับหินก้อนหนึ่งอยู่นั้น จมูกก็กลับได้กลิ่นคาวประหลาด ครั้นเมื่อลืมตาขึ้นจึงเห็นว่าสายน้ำที่ไหลผ่านร่างเธอไปนั้นไม่ได้ใสสะอาด หากแต่เต็มไปด้วยเลือดสีแดงสด
หญิงสาวเต้นร้องโหยง ลุกพรวดขึ้นจากสายน้ำที่ลึกเพียงเข่า พิมพ์อัปสรที่กำลังเช็ดเนื้อเช็ดตัวอยู่บนฝั่งหันมาด้วยความตกใจ
“เป็นอะไรไปปิ่น...” ปิ่นสุดาหอบหายใจถี่ เอามือขยี้ตาสองสามครั้ง เมื่อเพ่งมองไปยังสายน้ำเบื้องหน้า ทุกอย่างก็กลับเป็นปกติ น้ำใสยังคงไหลเอื่อยไปตามวิถีของมัน... นี่เธอตาฝาดไปงั้นหรือ?
“เอ่อ ไม่มีอะไรหรอกพิมพ์” คนว่ากลืนน้ำลายลงคอเฮือกใหญ่ ก่อนเดินขึ้นจากฝั่งและตรงไปหยิบเอาผ้าขนหนูมาเช็ดหน้าเช็ดตา เมื่อทั้งสองกลับมายังจุดตั้งแค้มป์ เหล่าชายหนุ่มก็จัดการเก็บเต็นท์จนเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ทั้งคณะเริ่มออกเดินทางอีกครั้งในเวลาแปดโมงเช้า ในขณะที่อีกคณะหนึ่งใกล้จะเข้าเขตปราสาทในอีกไม่ช้า
ลูกหาบสองคนที่อยู่เวรเมื่อคืนนี้เอาแต่เดินเงียบตลอดทาง จนนายมิ่งจับสังเกตได้ ครั้นเมื่อบุตรชายของพรานทองดำผู้เดินรั้งท้ายดึงตัวลูกน้องทั้งสองที่ผิดสังเกตมาสืบถาม พวกมันจึงเล่าสิ่งที่เห็นทั้งหมดเมื่อคืนให้ฟัง
“จริงนะพี่ พวกข้าสองคนเห็นจริงๆ เป็นผู้หญิงสามคน แต่งตัวเหมือนนางรำ ไม่ใช่สิ...เหมือนนางอัปสราที่เราเคยเห็นรำถวายในงานพิธีน่ะ แบบนั้นเลย แล้วพอหมอกเคลื่อนเข้ามา พวกผู้หญิงสามคนนั้นก็หายไป...พูดแล้วยังขนลุกไม่หาย” ลูกหาบคนหนึ่งว่าขึ้น อีกคนที่อยู่ในเหตุการณ์หันไปมองรอบกายที่แวดล้อมด้วยต้นไม้รกทึบด้วยสายตาหวาดกลัว
“ไอ้นี่ ในป่าในเขาใครเขาให้พูดเรื่องแบบนี้” นายมิ่งหันมาเอ็ดใส่เสียงขรึม
“อ้าว ก็พี่ถามฉันนิ แล้วนี่เราใกล้จะถึงจุดหมายแล้วใช่มั้ย ผมรู้สึกไม่ดียังไงบอกไม่ถูก ไม่อยากให้ไปถึงที่นั่นเลย ดีไม่ดีวิญญาณผีผู้หญิงสามคนนั้นอาจมาจากปราสาทหลังนั้นก็ได้”
“เดี๋ยวพอถึงจะรู้สึกดีแน่ พ่อกูบอกว่าในปราสาทมีพวกสมบัติเก่าๆ มากมาย พวกเครื่องทองและเพชรนิลจินดาไม่รู้เท่าไหร่” นายมิ่งพูดพร้อมยิ้มกริ่ม แต่ลูกหาบอีกคนก็สวนกลับมา
“ไหนพ่อทองดำเคยบอกพวกเราว่าห้ามแตะต้องสิ่งของในปราสาทไง ของพวกนั้นมันถูกสาป พี่ไม่กลัวเหรอ?”
“เฮอะ ใครจะกลัวก็กลัวไป ถ้ามัวแต่กลัวก็ไม่รวยกันพอดีโว้ย” นายมิ่งบอกด้วยสีหน้าเหรอหรา ก่อนรีบจ้ำอ้าวต่อ ไม่ทันรู้ว่าคเชนทร์ที่เดินห่างอยู่ไม่ไกลคอยรับฟังการสนทนานั้นอยู่เงียบๆ
เมื่อพ้นจากเขตป่ารกทึบออกมาแล้ว ทั้งหมดก็ได้พบกับลานทุ่งหญ้าคาขนาดกว้างเกือบห้าสิบไร่ คเชนทร์หันมาถามธงศักดิ์ด้วยความสงสัย จุดนี้ระบุในแผนที่ว่าเป็นป่ารกทึบนี่...
“สงสัยคงถูกแผ้วทางต้นไม้ไปหมดน่ะ พอข้ามทุ่งนี้ไปก็จะถึงปราสาทแล้ว” คนสนิทของชัชชัยเอ่ยบอก ก่อนจะตบไหล่คเชนทร์พร้อมรอยยิ้ม ชายหนุ่มรีบออกแรงก้าวขา เดินต่อไปด้วยความมุ่งมั่นจนในที่สุดเมื่อพ้นทุ่งหญ้าแล้วจึงตัดเข้าสู่หุบเขาอันรกทึบอีกครั้ง และปราสาทหินที่ถูกซ่อนตัวอยู่กลางป่าลึกก็ปรากฏต่อสายตาของคนทั้งหมด
ปราสาทหลังนั้นตั้งอยู่ในหุบเขารกทบอันลึกเร้น เรือนยอดของไม้ใหญ่แผ่ก้านแตกกิ่งบดบังความเข้มขลังอลังการนั้นไว้ภายใต้ร่มเงาอันอึมทึมหมองหม่น ศิลาแลงชโลมอาบด้วยน้ำฝนและแสงตะวันอันน้อยนิดมานานหลายศตวรรษเขียวครึ้มด้วยตะไคร่สดสีเขียวชอุ่ม เถาวัลย์มากมายเกาะเกี้ยวเลื้อยพันโอบรัดร่างศิลาไว้ประหนึ่งงูยักษ์ที่กำลังพันรัดเหยื่อ
ด้านหน้าของปราสาทหันหน้าไปทางทิศตะวันตก ด้านหน้า ซ้ายและขวา ปราสาทประธานปรากฏเป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีบรรณนาลัย ๑ หลัง ในด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ของปราสาทและสระน้ำที่อยู่ห่างออกไปอีกยี่สิบเมตร
คเชนทร์หวนนึกถึงข้อความในเอกสารที่เขาอ่านจากบันทึกการสำรวจเมื่อขณะรวบรวมข้อมูลของปราสาทตรงหน้านี้ ในขณะที่ทุกร่างต่างยืนนิ่งเงียบ ในสายตาจ้องมองปราสาทหินที่ถูกซุกซ่อนไว้ในป่ารกดุจต้องมนตร์สะกด ความเข้มขลังของมันสิงสถิตอยู่ในอณูอากาศที่แวดล้อม ปะปนไปด้วยความโศกเศร้าและเคียดแค้นติดตรึงฝังแน่นอยู่ในก้อนหินเหล่านั้น