ปราสาทอัปสร ตอนที่ ๗
https://ppantip.com/topic/36817115
ตอนที่ ๘ นักโทษ
คณะของรองศาสตราจารย์ดำรงเริ่มออกเดินทางในเวลาบ่ายสามโมง ผู้นำทางแจ้งว่าจะเข้าไปตั้งแคมป์กันที่เชิงผาริมลำห้วยที่อยู่ห่างออกไปอีกห้ากิโลเมตร พิมพ์อัปสรเดินเกือบท้ายขบวน ในหัวใจครวญคิดถึงแต่คเชนทร์เพียงเท่านั้น หวังเพียงให้เขารับรู้ถึงความปรารถนาดีของเธอ แม้จะเหนื่อยหนักสักเพียงใดแต่หญิงสาวก็ไม่ย่อท้อ จนกระทั่งทั้งหมดนั้นมาถึงจุดเชิงผาสูงที่มองเห็นทิวทัศน์เบื้องล่างอันเป็นลำธารสายใหญ่อันงดงามกำลังต้องแสงอาทิตย์ยามดัสดง
“เราไม่ทำห้างแล้วนอนบนต้นไม้หรือครับ?” คงยศเอ่ยถามขึ้นหลังทั้งหมดวางสัมภาระลงบนแผ่นหินใหญ่ที่ยื่นล้ำออกจากผืนดินสูง ปิ่นสุดาหยิบเอากระติกน้ำที่ติดอยู่หลังเป้ออกมาดื่ม ในขณะที่พิมพ์อัปสรพยายามโทร.หาคเชนทร์อีกครั้ง เมื่อไม่มีสัญญาณตอบรับเธอจึงใช้โทรศัพท์ค้นหาจุดที่ตั้งของเธอ ณ ขณะนี้และส่งกลับไปให้นางเฉิดฉวีที่คอยตามข่าวอยู่อย่างใกล้ชิด
“ระวังพวกสัตว์จะลงมากินน้ำหรือหาอาหารกันตอนดึกๆ เก็บอาหารที่มีกลิ่นไว้ ดึกๆ ได้ยินเสียงอะไรอย่างออกมานอกเต้นท์เด็ดขาด” พิมพ์อัปสรอ่านข้อความที่นางเฉิดฉวีพิมพ์ตอบมาเบาๆ แต่ในความเงียบงันของผืนป่านั้นทุกร่างกลับได้ยินแจ่มชัด คาวีหัวเราะน้อยๆ ก่อนวางขวดน้ำที่ดื่มแล้วลงบนแผ่นหิน
“ตอบคุณคงยศนะครับ คือมันฉุกละหุกน่ะครับเราเลยไม่ได้มีเวลาทำ อีกอย่างเส้นทางนี้ก็ไม่ค่อยมีคนเทียว นานๆ เราถึงจะมาสักที ห้างที่ใช้การได้ก็อยู่ห่างออกไปอีกสี่กิโลฯ ผมเกรงว่ากว่าเราจะเดินเข้าไปถึงก็คงมืดพอดี มันจะอันตราย ส่วนของคุณผู้หญิง ไม่ต้องกลัวหรอกครับ เดี๋ยวเราก่อกองไฟไว้ สัตว์ไม่กล้าเข้ามาแน่” คาวีตอบข้อซักถามเสียงเข้ม
“ให้ไปหาฟืนช่วยมั้ยคะ พิมพ์...ไปหาฟืนกัน” ปิ่นสุดาโพล่งขึ้นก่อนลุกขึ้นยืน พิมพ์อัปสรหันไปมองหน้าเหรอหรา คาวียิ้มให้กับปิ่นสุดา พยักหน้าส่งสัญญาณให้ลูกน้องคนหนึ่งคอยเดินตามสองสาวไปด้วย
ปิ่นสุดาก้มหากิ่งไม้แห้งมาเพื่อใช้เป็นฟืนเติมกองไฟที่จะต้องใช้ทั้งคืน ส่วนพิมพ์อัปสรก็เดินหาเจ้ากิ่งไม้แห้งอยู่ใกล้กัน ครู่หนึ่งสองสาวจึงได้กลิ่นหอมอ่อนละมุนของดอกไม้ป่าพัดเข้ามาจมูก พิมพ์อัปสรสูดเอากลิ่นหอมนั้นเข้าไปเต็มปอด พลางมองหาที่มาของกลิ่นดอกไม้หอมนั้นก่อนที่ปิ่นสุดาจะหันมองซ้ายขวาท่าทางลุกลี้ลุกลน
“ได้ยินเสียงเหมือนคนร้องไห้ แล้วก็เสียงลากอะไรสักอย่าง...” เธอเอ่ยเสียงแผ่วจนพิมพ์อัปสรต้องหรี่ตามองด้วยความขนลุกซู่อย่างไม่ทราบสาเหตุ ชายผู้ติดตามมาด้วยเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับกระซิบบอกเสียงเข้ม
“ผมว่าพอแล้วหละครับ ที่เหลือผมกับเพื่อนจะหาเอง เรากลับกันดีกว่า” คนที่เข้ามาแทรกทำให้ปิ่นสุดาสะดุ้งน้อยๆ คล้ายหลุดออกมาจากภวังค์บางอย่าง เธอหันไปมองหน้าพิมพ์อัปสรที่จ้องมองด้วยแววตาสนเท่ห์ เมื่อเห็นว่าร่างหนาของชายหนุ่มคนนั้นเดินดุ่มนำหน้าไปแล้วจึงรีบสาวเท้าเดินตามไปในที่สุด
เต็นท์ถูกกางขึ้นสามหลัง ลูกน้องทั้งสามของคาวีนอนด้วยกัน ส่วนคาวี รองศาสตราจารย์ดำรงและคงยศนอนอีกเต็นท์ ปิ่นสุดาและพิมพ์อัปสรนอนเต็นท์ที่สาม กองไฟถูกก่อขึ้นให้แสงสว่างตั้งแต่อาทิตย์ยังไม่ลับฟ้า ทุกคนถูกกำชับจากผู้นำทางว่าหากจะออกไปจากบริเวณตั้งแค้มป์ต้องพาเพื่อนไปด้วยหนึ่งคนเสมอ
“ทางเส้นนี้เคยใช้เป็นทางสัญจรสมัยโบราณด้วยใช่มั้ยครับอาจารย์...” คำพูดของคงยศที่หันไปถามรองศาสตราจารย์ดำรงทำให้ทุกร่างต้องหันขวับไปมองหน้าเขา ชายสูงวัยยิ้มน้อยๆ ก่อนเอ่ยขึ้นท่ามกลางวงล้อมของทั้งคณะที่นั่งล้อมกองไฟเล็กๆ อยู่
“ทางสัญจรก็ด้วย ทางขนหินมาสร้างปราสาทก็ด้วย”
“ปราสาทของพระนางศรีสิขเรศใช่มั้ยคะ” ปิ่นสุดาแทรกขึ้น พิมพ์อัปสรหันไปมองเธอด้วยความสนใจและรู้สึกว่าตนนั้นขลาดเขลาและไม่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังจะไปค้นหานี้เลยสักอย่าง หากแต่พอปิ่นสุดาเอ่ยชื่อนั้นขึ้นมา หัวใจเธอก็กลับเต้นแรงขึ้น ภาพในความฝันอันพิลาศนั้นปรากฏในมโนจิตอีกครั้ง ถ้อยคำที่เหล่านางกำนัลพร่ำเรียกเธอในความฝันนั้นก็คือ
“พระนางศรีสิขเรศ...” พิมพ์อัปสรลากเสียงค้าง รองศาสตราจารย์ดำรงหันมาหรี่ตามองหญิงสาวด้วยสีหน้าที่มิอาจบอกได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“มีอะไรรึเปล่าพิมพ์” คงยศกระเถิบกายเข้ามาใกล้คนที่มองเหม่อไปยังกองไฟตรงหน้า พิมพ์อัปสรสะดุ้งน้อยๆ ก่อนหันมาส่งยิ้มให้กับทุกร่าง ใบหน้าสวยหวานระบายแต้มด้วยรอยยิ้ม หวนนึกไปถึงความฝันครั้งไปชมปราสาทหินพนมรุ้งจากนั้นจึงเล่าให้ทุกคนฟังอย่างไม่ปิดบัง
“พิมพ์เคยฝันถึงเธอค่ะ ตอนไปที่พนมรุ้งไงยศ ที่พิมพ์บอกว่าพิมพ์ฝัน พิมพ์ฝันถึงพระนางศรีสิขเรศ”
“เฮ้ย...พูดเป็นเล่น” คงยศตบขาตัวเองฉาดใหญ่ ก่อนที่พวกผู้ชายจะหัวเราะร่ากัน รวมทั้งปิ่นสุดา
“จริงนะยศ พระนางศรีสิขเรศเดินทางไปชมการบวงสรวงปราสาทหินแห่งหนึ่ง แล้วจากนั้นพระนางก็มีรับสั่งให้สร้างปราสาทอีกหลังที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลกัน”
“นี่ไอ้เชนเล่าให้พิมพ์ฟังเหรอ ?” คงยศหรี่ตามองหญิงสาวข้างกายก่อนที่เธอจะผลิยิ้มกว้าง รองศาสตราจารย์ดำรงเริ่มจ้องมองพิมพ์อัปสรด้วยความสนใจ
“ก็บอกว่าเราฝัน...ในฝันเราเห็นปิ่น เห็นยศ เห็นเชน แต่งตัวเป็นคนโบราณในสมัยก่อน มันยังติดตาเราอยู่เลยนะยศ” พอพิมพ์อัปสรพูดจบคงยศก็ถึงกับนิ่ง
ไป หากแต่ปิ่นสุดากับยิ้มเยาะอย่างนึกขบขัน เธอจ้องหน้าพิมพ์อัปสรก่อนเอ่ยถามเสียงใสอย่างเห็นเป็นเรื่องตลกเสียมากกว่าจะมาเคร่งเครียด
“แล้วเห็นตัวเองมั้ยล่ะพิมพ์...ในฝันของเธอ” พิมพ์อัปสรหันไปมองหน้าปิ่นสุดา แววตาสะท้อนกับแสงไฟเบื้องหน้าทอประกายประหลาดจนปิ่นสุดาที่สบสายตาอยู่อีกฟากต้องรู้สึกครั่นคราม
“ฉันมองไม่เห็นตัวเอง รู้แต่ว่านั่งอยู่บนตั่งไม้ พวกคนที่นั่งอยู่แวดล้อมเรียกฉันว่า พระนาง...”
ปราสาทอัปสร ตอนที่ ๘
https://ppantip.com/topic/36817115
คณะของรองศาสตราจารย์ดำรงเริ่มออกเดินทางในเวลาบ่ายสามโมง ผู้นำทางแจ้งว่าจะเข้าไปตั้งแคมป์กันที่เชิงผาริมลำห้วยที่อยู่ห่างออกไปอีกห้ากิโลเมตร พิมพ์อัปสรเดินเกือบท้ายขบวน ในหัวใจครวญคิดถึงแต่คเชนทร์เพียงเท่านั้น หวังเพียงให้เขารับรู้ถึงความปรารถนาดีของเธอ แม้จะเหนื่อยหนักสักเพียงใดแต่หญิงสาวก็ไม่ย่อท้อ จนกระทั่งทั้งหมดนั้นมาถึงจุดเชิงผาสูงที่มองเห็นทิวทัศน์เบื้องล่างอันเป็นลำธารสายใหญ่อันงดงามกำลังต้องแสงอาทิตย์ยามดัสดง
“เราไม่ทำห้างแล้วนอนบนต้นไม้หรือครับ?” คงยศเอ่ยถามขึ้นหลังทั้งหมดวางสัมภาระลงบนแผ่นหินใหญ่ที่ยื่นล้ำออกจากผืนดินสูง ปิ่นสุดาหยิบเอากระติกน้ำที่ติดอยู่หลังเป้ออกมาดื่ม ในขณะที่พิมพ์อัปสรพยายามโทร.หาคเชนทร์อีกครั้ง เมื่อไม่มีสัญญาณตอบรับเธอจึงใช้โทรศัพท์ค้นหาจุดที่ตั้งของเธอ ณ ขณะนี้และส่งกลับไปให้นางเฉิดฉวีที่คอยตามข่าวอยู่อย่างใกล้ชิด
“ระวังพวกสัตว์จะลงมากินน้ำหรือหาอาหารกันตอนดึกๆ เก็บอาหารที่มีกลิ่นไว้ ดึกๆ ได้ยินเสียงอะไรอย่างออกมานอกเต้นท์เด็ดขาด” พิมพ์อัปสรอ่านข้อความที่นางเฉิดฉวีพิมพ์ตอบมาเบาๆ แต่ในความเงียบงันของผืนป่านั้นทุกร่างกลับได้ยินแจ่มชัด คาวีหัวเราะน้อยๆ ก่อนวางขวดน้ำที่ดื่มแล้วลงบนแผ่นหิน
“ตอบคุณคงยศนะครับ คือมันฉุกละหุกน่ะครับเราเลยไม่ได้มีเวลาทำ อีกอย่างเส้นทางนี้ก็ไม่ค่อยมีคนเทียว นานๆ เราถึงจะมาสักที ห้างที่ใช้การได้ก็อยู่ห่างออกไปอีกสี่กิโลฯ ผมเกรงว่ากว่าเราจะเดินเข้าไปถึงก็คงมืดพอดี มันจะอันตราย ส่วนของคุณผู้หญิง ไม่ต้องกลัวหรอกครับ เดี๋ยวเราก่อกองไฟไว้ สัตว์ไม่กล้าเข้ามาแน่” คาวีตอบข้อซักถามเสียงเข้ม
“ให้ไปหาฟืนช่วยมั้ยคะ พิมพ์...ไปหาฟืนกัน” ปิ่นสุดาโพล่งขึ้นก่อนลุกขึ้นยืน พิมพ์อัปสรหันไปมองหน้าเหรอหรา คาวียิ้มให้กับปิ่นสุดา พยักหน้าส่งสัญญาณให้ลูกน้องคนหนึ่งคอยเดินตามสองสาวไปด้วย
ปิ่นสุดาก้มหากิ่งไม้แห้งมาเพื่อใช้เป็นฟืนเติมกองไฟที่จะต้องใช้ทั้งคืน ส่วนพิมพ์อัปสรก็เดินหาเจ้ากิ่งไม้แห้งอยู่ใกล้กัน ครู่หนึ่งสองสาวจึงได้กลิ่นหอมอ่อนละมุนของดอกไม้ป่าพัดเข้ามาจมูก พิมพ์อัปสรสูดเอากลิ่นหอมนั้นเข้าไปเต็มปอด พลางมองหาที่มาของกลิ่นดอกไม้หอมนั้นก่อนที่ปิ่นสุดาจะหันมองซ้ายขวาท่าทางลุกลี้ลุกลน
“ได้ยินเสียงเหมือนคนร้องไห้ แล้วก็เสียงลากอะไรสักอย่าง...” เธอเอ่ยเสียงแผ่วจนพิมพ์อัปสรต้องหรี่ตามองด้วยความขนลุกซู่อย่างไม่ทราบสาเหตุ ชายผู้ติดตามมาด้วยเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับกระซิบบอกเสียงเข้ม
“ผมว่าพอแล้วหละครับ ที่เหลือผมกับเพื่อนจะหาเอง เรากลับกันดีกว่า” คนที่เข้ามาแทรกทำให้ปิ่นสุดาสะดุ้งน้อยๆ คล้ายหลุดออกมาจากภวังค์บางอย่าง เธอหันไปมองหน้าพิมพ์อัปสรที่จ้องมองด้วยแววตาสนเท่ห์ เมื่อเห็นว่าร่างหนาของชายหนุ่มคนนั้นเดินดุ่มนำหน้าไปแล้วจึงรีบสาวเท้าเดินตามไปในที่สุด
เต็นท์ถูกกางขึ้นสามหลัง ลูกน้องทั้งสามของคาวีนอนด้วยกัน ส่วนคาวี รองศาสตราจารย์ดำรงและคงยศนอนอีกเต็นท์ ปิ่นสุดาและพิมพ์อัปสรนอนเต็นท์ที่สาม กองไฟถูกก่อขึ้นให้แสงสว่างตั้งแต่อาทิตย์ยังไม่ลับฟ้า ทุกคนถูกกำชับจากผู้นำทางว่าหากจะออกไปจากบริเวณตั้งแค้มป์ต้องพาเพื่อนไปด้วยหนึ่งคนเสมอ
“ทางเส้นนี้เคยใช้เป็นทางสัญจรสมัยโบราณด้วยใช่มั้ยครับอาจารย์...” คำพูดของคงยศที่หันไปถามรองศาสตราจารย์ดำรงทำให้ทุกร่างต้องหันขวับไปมองหน้าเขา ชายสูงวัยยิ้มน้อยๆ ก่อนเอ่ยขึ้นท่ามกลางวงล้อมของทั้งคณะที่นั่งล้อมกองไฟเล็กๆ อยู่
“ทางสัญจรก็ด้วย ทางขนหินมาสร้างปราสาทก็ด้วย”
“ปราสาทของพระนางศรีสิขเรศใช่มั้ยคะ” ปิ่นสุดาแทรกขึ้น พิมพ์อัปสรหันไปมองเธอด้วยความสนใจและรู้สึกว่าตนนั้นขลาดเขลาและไม่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังจะไปค้นหานี้เลยสักอย่าง หากแต่พอปิ่นสุดาเอ่ยชื่อนั้นขึ้นมา หัวใจเธอก็กลับเต้นแรงขึ้น ภาพในความฝันอันพิลาศนั้นปรากฏในมโนจิตอีกครั้ง ถ้อยคำที่เหล่านางกำนัลพร่ำเรียกเธอในความฝันนั้นก็คือ
“พระนางศรีสิขเรศ...” พิมพ์อัปสรลากเสียงค้าง รองศาสตราจารย์ดำรงหันมาหรี่ตามองหญิงสาวด้วยสีหน้าที่มิอาจบอกได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“มีอะไรรึเปล่าพิมพ์” คงยศกระเถิบกายเข้ามาใกล้คนที่มองเหม่อไปยังกองไฟตรงหน้า พิมพ์อัปสรสะดุ้งน้อยๆ ก่อนหันมาส่งยิ้มให้กับทุกร่าง ใบหน้าสวยหวานระบายแต้มด้วยรอยยิ้ม หวนนึกไปถึงความฝันครั้งไปชมปราสาทหินพนมรุ้งจากนั้นจึงเล่าให้ทุกคนฟังอย่างไม่ปิดบัง
“พิมพ์เคยฝันถึงเธอค่ะ ตอนไปที่พนมรุ้งไงยศ ที่พิมพ์บอกว่าพิมพ์ฝัน พิมพ์ฝันถึงพระนางศรีสิขเรศ”
“เฮ้ย...พูดเป็นเล่น” คงยศตบขาตัวเองฉาดใหญ่ ก่อนที่พวกผู้ชายจะหัวเราะร่ากัน รวมทั้งปิ่นสุดา
“จริงนะยศ พระนางศรีสิขเรศเดินทางไปชมการบวงสรวงปราสาทหินแห่งหนึ่ง แล้วจากนั้นพระนางก็มีรับสั่งให้สร้างปราสาทอีกหลังที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลกัน”
“นี่ไอ้เชนเล่าให้พิมพ์ฟังเหรอ ?” คงยศหรี่ตามองหญิงสาวข้างกายก่อนที่เธอจะผลิยิ้มกว้าง รองศาสตราจารย์ดำรงเริ่มจ้องมองพิมพ์อัปสรด้วยความสนใจ
“ก็บอกว่าเราฝัน...ในฝันเราเห็นปิ่น เห็นยศ เห็นเชน แต่งตัวเป็นคนโบราณในสมัยก่อน มันยังติดตาเราอยู่เลยนะยศ” พอพิมพ์อัปสรพูดจบคงยศก็ถึงกับนิ่ง
ไป หากแต่ปิ่นสุดากับยิ้มเยาะอย่างนึกขบขัน เธอจ้องหน้าพิมพ์อัปสรก่อนเอ่ยถามเสียงใสอย่างเห็นเป็นเรื่องตลกเสียมากกว่าจะมาเคร่งเครียด
“แล้วเห็นตัวเองมั้ยล่ะพิมพ์...ในฝันของเธอ” พิมพ์อัปสรหันไปมองหน้าปิ่นสุดา แววตาสะท้อนกับแสงไฟเบื้องหน้าทอประกายประหลาดจนปิ่นสุดาที่สบสายตาอยู่อีกฟากต้องรู้สึกครั่นคราม
“ฉันมองไม่เห็นตัวเอง รู้แต่ว่านั่งอยู่บนตั่งไม้ พวกคนที่นั่งอยู่แวดล้อมเรียกฉันว่า พระนาง...”