วันดับสูญ บทที่ 8 ท้าทาย

กระทู้สนทนา
8. ท้าทาย
 
         ลึกลงไปหลายสิบเมตรจากพื้นผิวดิน ภายในห้องสีขาวขนาดใหญ่ที่แทบจะเงียบสงัดจนราวกับไร้ซึ่งสิ่งและการเคลื่อนไหวใด ๆ คนกลุ่มหนึ่งในชุดกาวน์สีเดียวกันกับห้อง กำลังยืนสังเกตการณ์และรอคอยอยู่หน้าเครื่องเคลื่อนย้ายมวลสารปลายทาง 

         เมื่อสัญลักษณ์แจ้งเตือนสถานะ ว่าขั้นตอนและกระบวนการทั้งหมดในเครื่อง ได้เสร็จสิ้นลงโดยสมบูรณ์แล้วติดสว่างขึ้น ประตูจึงค่อยปลดล็อกก่อนที่จะเลื่อนเปิดขึ้นไปทางด้านบน เพื่อปล่อยให้ผู้ที่เพิ่งเดินทางมาถึงอย่างวิวัฒน์ได้ออกมาสู่ภายนอก

         ทว่าเมื่อแรกที่ได้ย่างก้าว ความรู้สึกวูบโหวงคล้ายคนที่กำลังหน้ามืดจวนเจียนจะเป็นลม รวมถึงสัมผัสการรับรู้ที่ยังคงพร่าเลือนจนทำให้กะระยะได้ไม่ถูกต้องแม่นยำอย่างเคย ก็ทำให้การลงน้ำหนักเพื่อเหยียบย่ำทรงตัวของเขานั้นผิดพลาดไป

         แต่ก่อนที่จะต้องหน้าคะมำล้มลงไปกองอยู่กับพื้น ก็ได้มืออันแข็งแรงของใครคนหนึ่งช่วยจับยึดแขนและฉุดพยุงร่างเอาไว้ได้ทัน รอดพ้นจากการที่จะต้องเจ็บตัวโดยใช่เหตุไปได้อย่างหวุดหวิด

         “คุณต้องระวังหน่อยนะครับดอกเตอร์วิวัฒน์ ตอนนี้ก็ยืนอยู่นิ่ง ๆ เฉย ๆ สักครู่หนึ่งก่อน พยายามมองตรงหรือหลับตาเข้าไว้ อย่างเพิ่งรีบร้อนเคลื่อนไหวหรือหันมองให้เร็วไปครับ”

         น้ำเสียงนุ่มทุ้มที่ได้ยินนั้น ฉาบเคลือบเอาไว้ด้วยร่องรอยของความอบอุ่นและเป็นมิตรอย่างชัดเจน เมื่อวิวัฒน์ตั้งหลักและกลับมายืนได้ด้วยแรงของตนเองอีกครั้งหนึ่ง จึงมองเห็นว่าผู้ที่เพิ่งช่วยเหลือจับประคองเขาไว้นั้น เป็นชายหนุ่มซึ่งน่าจะมีเชื้อสายเอเชียคนหนึ่ง

         กะประมาณเอาด้วยสายตา ชายที่เพิ่งพบกันครั้งแรกผู้นี้น่าจะมีอายุราว ๆ ยี่สิบห้าถึงสามสิบปี เส้นผมเล็กละเอียดสีดำสนิทเข้าทรงดูสะอาดสะอ้านเรียบร้อย คิ้วดกหนาที่ราวกับถูกขีดวาดจนแทบจะเป็นเส้นตรง ช่วยให้ดวงตาที่ถึงจะไม่ได้กลมโตแต่ก็ไม่ได้หรี่เล็กจนตี่ ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบแว่นรูปวงรีดูคมเข้มขึ้น

         จมูกเล็กเรียวเป็นสัน ริมฝีปากบางสีสดใสอย่างคนสุขภาพดี ทั้งหมดนั้นเขากันได้อย่างพอดี อีกทั้งยังช่วยเสริมส่งให้ใบหน้าเรียวรูปไข่และผิวสองสีของเขา ยิ่งโดดเด่นสะดุดตาขึ้นไปอีก

         โดยรวมแล้วก็ต้องถือว่าเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งเลยทีเดียว

         “ผมรู้สึกไม่ค่อยปกติแปลก ๆ แขนขาไม่มีแรงเลย เหมือนเรี่ยวแรงทั้งหมดถูกดูดหายไปจนไม่เหลือ ร่างกายก็คล้ายกับไม่ใช่ของตัวเองสักนิด มันไม่ยอมเคลื่อนไหวหรือขยับตามคำสั่งของผม”

         “อาการของคุณเป็นผลข้างเคียงจากการใช้เครื่องเคลื่อนย้ายมวลสารน่ะครับ คนส่วนใหญ่ที่เพิ่งเคยเดินทางด้วยวิธีนี้เป็นครั้งแรกก็มักจะมีอาการแบบนี้ แต่สักครู่หลังจากที่ร่างกายปรับตัวกลับเข้าสู่สมดุลได้แล้ว ทุกอย่างจะเป็นปกติเองครับ”

         หนุ่มแปลกหน้าอธิบายพร้อมทั้งระบายยิ้ม เพื่อให้อีกฝ่ายเห็นว่านี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่ต้องกังวลเลยสักนิด ก่อนที่เขาทำท่าเหมือนจะนึกอะไรออก

         “อ้อ ขอโทษที่ลืมแนะนำตัวครับ ผมชื่อศรัทธา เป็นเจ้าหน้าที่โครงการที่ประจำอยู่ที่นี่ และตอนนี้ผมก็ได้รับมอบหมายภารกิจพิเศษ ให้มารับและนำทางคุณไปยังฐานบัญชาการครับ”

         “สวัสดีครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ” ผู้มาเยือนค้อมศีรษะลงเล็กน้อยและกล่าวทักทายตามมารยาทกลับไปบ้าง หลังจากนั้นทั้งเขาและผู้ต้อนรับก็ต่างคนต่างเงียบ ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก

         กระทั่งครู่ใหญ่ ๆ ผ่านไป ประตูของเครื่องเคลื่อนย้ายมวลสารก็เลื่อนเปิดขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับการปรากฏกายของชายชราโทมัส ซึ่งก้าวออกมาจากภายในเครื่องด้วยสีหน้าเบิกบานในอารมณ์

         “ขอโทษที่ให้รอนานนะครับ เครื่องต้องใช้เวลาพอสมควรในการตั้งพารามิเตอร์เฉพาะบุคคล แล้วก็ยังต้องชาร์จพลังงานอีกนิดหน่อย อ้อ...ดอกเตอร์วิวัฒน์แล้วก็ศรัทธา พวกคุณสองคนรู้จักกันแล้วใช่ไหม”

         เห็นทั้งคู่พยักหน้าตอบรับก็ยิ้มอย่างพอใจ แล้วจึงหันหน้าไปทางหนุ่มลูกทีมของตนเอง “พวกเราพร้อมจะไปกับแล้วใช่ไหม ศรัทธา”

         “ครับ ดอกเตอร์โทมัส” ผู้ถูกถามซึ่งมีอาวุโสน้อยที่สุด ยืนยันหนักแน่นแข็งขันกับหัวหน้าโครงการ

         “ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเลยดีกว่า เผื่อจะมีเวลาให้ดอกเตอร์วิวัฒน์ได้เดินดูอะไรต่อมิอะไรนิดหน่อย ถือเสียว่าได้ปรับตัวทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมใหม่ แล้วก็เป็นการอุ่นเครื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปในตัวด้วย”

         หลังจากที่ชายชราพูดจบ บุคคลทั้งสามก็ใช้ลิฟต์ที่ภายนอกห้องตรงสุดทางเดิน โดยสารกลับขึ้นมาสู่พื้นผิวดินอีกครั้ง พวกเขาผ่านบานประตูหลายชั้นด้วยคีย์การ์ดและการใส่รหัสหลายหลัก ซึ่งเป็นวิธีเดียวกันกับระบบรักษาความปลอดภัยก่อนหน้านี้

         จนในที่สุดเมื่อโผล่พ้นออกมาจากตัวอาคารได้สำเร็จ ภาพทิวทัศน์ของไม้ยืนต้นและพืชพรรณนานาอันทึมทึบรกครึ้มที่รายล้อม ก็ทำให้ใจของวิวัฒน์เต้นแรงด้วยเพราะทั้งแปลกใจและดีใจในเวลาเดียวกัน

         ที่รู้สึกแปลกใจก็เพราะป่าแบบนี้แทบจะหาไม่ได้บนโลกใบนี้อีกแล้ว และที่ดีใจก็เพราะว่ามันยังมีอยู่บนโลกใบนี้นี่ละ...มันทำให้เขาตื่นเต้นจนแทบอยากจะตะโกนออกมาดัง ๆ ทำให้ดีใจจนอยากจะหัวเราะออกมาให้สุดเสียง

         ยินดีกับความรู้สึกที่เกิดในใจ จนนึกอยากให้ใครคนหนึ่ง ซึ่งจู่ ๆ ภาพใบหน้าของเธอก็พลันปรากฏขึ้นมาดื้อ ๆ ในมโนภาพ ให้ได้ยืนข้างเคียงกัน สัมผัสเอาความสงบสุขและอิ่มเอมนี้ไว้ด้วยกันอย่างเคย

         “ที่นี่คือ...” อดีตครูหนุ่มเอ่ยปากถาม โดยสายตาซึ่งเต็มไปด้วยความหลงใหลได้ปลื้ม ยังไม่ละออกจากความร่มรื่นของสภาพแวดล้อม

         “ตอนนี้เราอยู่กันในป่าดงดิบครับ เป็นป่าบนเกาะส่วนตัวที่นอกจากพวกเราแล้ว ก็ไม่มีชาวพื้นถิ่น ไม่มีผู้อยู่อาศัย รวมถึงไม่มีคนจากภายนอกอื่นใดแม้สักคน” ศรัทธาตอบข้อสงสัยแก่ผู้มาใหม่ พร้อมทั้งผายมือให้ขึ้นโดยสารรถจิ๊ปที่จอดรอไว้อยู่ก่อนแล้ว

         “หากมองหาเกาะนี้ด้วยระบบดาวเทียม สิ่งที่คุณมองเห็นก็จะเป็นเพียงจุดเล็กจิ๋วจุดหนึ่งท่ามกลางมหาสมุทรอันเวิ้งว้างและกว้างใหญ่ไพศาลเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่ามันเล็กขนาดที่พร้อมจะถูกมองข้ามไปได้ทุกเมื่อ”

         ทำไมจึงต้องเป็นทีนี่ เลือกเกาะแห่งนี้ด้วยเพราะเหตุใด...โทมัสชิงอธิบายเสริม เพราะอ่านใจว่าอีกฝ่ายคงต้องถามคำถามทำนองนี้ออกมา และแน่นอนว่าย่อมต้องอยากรู้สิ่งที่เขากำลังจะบอกเล่าให้ฟัง

         “ดังนั้น...สถานที่แห่งนี้จึงเหมาะสมที่สุด ที่จะเอาใช้ทำอะไรอยู่เงียบ ๆ รวมถึงเอาไว้หลบและซ่อนอะไรก็ตามที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬาร แบบที่พวกเรากำลังทำกันอยู่ในขณะนี้ครับ”

         และถ้าหากมันบังเอิญถูกใครสักคนสังเกตเห็นขึ้นมาจริง ๆ ด้วยสายสัมพันธ์แบบผลประโยชน์ต่างตอบแทนซึ่งมีร่วมกันในระดับนานาชาติ ที่ทุกฝ่ายจะได้รับสิทธิอย่างทัดเทียมกัน ยิ่งโดยเฉพาะสิทธิแห่งการอยู่รอดด้วยแล้ว

         บุคคลผู้แพร่งพรายรวมถึงข้อมูลที่รั่วไหลทั้งหมด ก็จะถูกลบกลบฝังให้หายสิ้นไปอย่างรวดเร็วและไร้ร่องรอยแน่นอน...แม้อีกฝ่ายไม่ได้พูดออกมา แต่วิวัฒน์ก็รู้ดีว่าองค์กรที่เขาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย มีพลังอำนาจยิ่งใหญ่ในระดับแบบที่ว่ามา และสามารถทำเรื่องเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย

         “เอาละ ก่อนอื่นผมคงต้องขออนุญาตพูดว่า ยินดีต้อนรับนักเดินทางคนล่าสุดและเป็นคนสุดท้ายของเราครับ ดอกเตอร์วิวัฒน์” ผู้นำโครงการกล่าวหลังจากที่ทุกคนเข้าประจำตำแหน่งกันพร้อมบนรถแล้ว “และต่อจากนี้ เราจะพาคุณไปพบกับสิ่งที่เรียกว่า ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของมวลมนุษยชาติอย่างแท้จริงครับ”

         สิ้นประโยคจากชายผู้เป็นหัวหน้า ศรัทธาที่เสียบกุญแจรถไว้อยู่แล้วก็บิดสตาร์ตเครื่องยนต์ ก่อนจะควบคุมบังคับให้ยานพาหนะขับเคลื่อนสี่ล้อ เคลื่อนตัวไปสู่อ้อมกอดหนาทึบของธรรมชาติแห่งความเขียวขจีอันยิ่งใหญ่

         ผืนป่ารกครึ้มไปด้วยไม้ยืนต้นน้อยใหญ่ อีกทั้งระเกะระกะกีดขวางไปด้วยวัชพืชนานาพรรณ เส้นทางที่ใช้สัญจรซ้ำ ๆ เป็นประจำจนกลายเป็นถนนธรรมชาติ ซึ่งราบเรียบและเดินทางได้สะดวกกว่าบริเวณอื่น ก็ยังคงสูงต่ำและขรุขระเสียจนรถจี๊ปเคลื่อนตัวไปได้อย่างเชื่องช้า

         แสงแดดส่องทะลุผ่านชั้นกิ่งใบที่แผ่ขยายปกคลุมไปทั่ว จนลงมาถึงผืนดินเบื้องล่างได้อย่างยากลำบาก สายลมนิ่งจนแทบไร้การสะบัดพัดโบกของสิ่งใด ให้ความรู้สึกที่ชวนหวาดหวั่นกระวนกระวายและเยือกเย็นสงบสุขในเวลาเดียวกัน

         บทเพลงหลากตัวโน๊ตหลายท่วงทำนองของนกน้อยนานาชนิด บรรเลงขับกล่อมให้ได้ยินอยู่เป็นระยะจากตรงกิ่งไม้และบนฟ้า เหล่าแมลงซึ่งประสานเสียงระงมอยู่ตามพื้นดินและที่หลบซ่อนต่างพากันเงียบยามเมื่อรถแล่นผ่าน

         สัตว์ที่กำลังแทะเล็มหญ้าอ่อน เก็บกินหน่อและผลไม้อย่างสบายใจคลายอารมณ์ ต่างก็หยุดเคี้ยวเอื้องแล้วหันมาตั้งคอมอง ส่วนที่กำลังปีนป่ายก็ห้อยโหนตัวเองค้างคาไว้อย่างนั้น เพื่อคอยเฝ้าสังเกตการณ์สิ่งที่ผิดไปจากปกติ ซึ่งทำให้พวกมันไม่แน่ใจและนึกระแวงในความปลอดภัยของตนเอง

         ความสดใสเขียวขจีและสิ่งมีชีวิตหลากหลายที่ยังมีให้เห็นอยู่อย่างเหลือเฟือที่นี่ บ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี และมันก็ทำให้วิวัฒน์ที่ได้มาสัมผัสกับบรรยากาศแบบนี้ด้วยตัวเองนึกสะท้อนอยู่ลึก ๆ ในใจ

         ป่าช่วยปรับสภาพและรักษาสมดุลให้แก่โลก ทำให้สภาพแวดล้อมของโลกใบนี้เหมาะที่จะอยู่อาศัย แล้วด้วยเหตุใดสิ่งที่มีประโยชน์อันเป็นคุณอนันต์ถึงเพียงนี้ จึงได้ลดขนาดและจำนวนลงอย่างรวดเร็วในระยะเวลาเพียงสั้น ๆ เท่านั้น

         ถึงไม่ต้องตอบแต่ทุกคนก็รู้แก่ใจดีอยู่แล้ว...นั่นก็หมายรวมถึงเขาด้วยเช่นกัน

         “ผมมีคำถามครับ” อดีตครูหนุ่มสลัดเรื่องราวในหัวทิ้งไป แล้วเลือกที่จะหันมาใช้เวลาในการโดยสารไปกับการพูดคุยแทน “ทำไมถึงต้องสร้างเครื่องเคลื่อนย้ายมวลสารไว้ในป่าให้ห่างไกลจากฐานบัญชาการ แล้วต้องมาลำบากในการเดินทางต่อด้วยรถยนต์แบบนี้ครับ”

         เป็นจริงตามการตั้งข้อสังเกตของวิวัฒน์ เพราะหากคิดด้วยตรรกะทั่วไปตามปกติแล้ว ไม่ว่าใครก็คงมีความเห็นตรงกันว่า การสร้างเครื่องเคลื่อนย้ายมวลสารไว้ที่จุดหมายปลายทาง ย่อมดีกว่าทุก ๆ ด้านในแง่ของทั้งการบริหารทรัพยากรและเวลา

         “เป็นคำถามที่ดีมากเลยครับ อันที่จริงแล้วมันก็มีหลายเหตุผลทีเดียว ที่ทำให้เราตัดสินใจแบบนี้” ชายชราโทมัสยิ้มอย่างนึกนิยมให้กับคำถามพื้น ๆ ที่เพิ่งมีคนสังเกตและถามเขาเป็นครั้งแรกอย่างนี้

         ผู้นำโครงการสูดหายใจลึก ก่อนจะผ่อนลมออกมายาว ๆ แล้วจึงเริ่มอธิบาย

         “สาเหตุหลัก ๆ ก็คือ ขณะเดินเครื่องเคลื่อนย้ายมวลสาร คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและคลื่นเชิงกลมากมายจะถูกปลดปล่อยออกมา ซึ่งคลื่นเหล่านี้จะไปรบกวนการทำงานของอุปกรณ์เครื่องมืออื่น ๆ ในบริเวณเดียวกันครับ”

         ด้วยเหตุนี้เครื่องเคลื่อนย้ายมวลสารจึงต้องถูกติดตั้งอยู่ในห้องใต้ดิน โดยสำหรับเครื่องต้นทางในตัวเมืองซึ่งมีสถานที่ค่อนข้างจำกัดแล้ว ก็จำเป็นต้องติดตั้งให้อยู่ลึกลงไปจากพื้นโลกมาก ๆ จนกระทั่งคลื่นที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากเครื่อง เบาบางและอ่อนกำลังลงจนไม่มีผลต่ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของคนอื่นที่อยู่ในบริเวณนั้น

         แต่สำหรับเครื่องปลายทางที่อยู่ในสถานที่ห่างไกลและร้างผู้คน อีกทั้งยังมีอาณาบริเวณอย่างเหลือเฟือแบบนี้ การติดตั้งให้ห่างออกมาจากจุดเป้าหมาย จะช่วยให้ไม่ต้องสร้างห้องใต้ดินที่ลึกลงไปมากนัก
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่