วันดับสูญ บทที่ 10 ต้นแบบ

กระทู้สนทนา
10. ต้นแบบ
 
         “ศรัทธา คุณไปรับแขกคนสุดท้ายของเรามาเรียบร้อยแล้วหรือ”

         ชายหนุ่มเจ้าของชื่อซึ่งกำลังผลาญเวลาการรอคอยไปกับรสชาติขม ๆ ของกาแฟ และบทความดี ๆ บนโลกอินเทอร์เน็ตอยู่ตรงส่วนพักผ่อน เบนความสนใจของตัวเองจากหน้าจอแท็บเล็ตในมือไปยังบุคคลผู้เป็นเจ้าของเสียงเรียก ซึ่งมานั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวข้างกันกับเขาตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้

         “คุณสา” พอเห็นว่าผู้ที่กำลังสนทนาด้วยเป็นใคร ร่องรอยความแปลกใจก็ปรากฎให้เห็นผ่านทางสีหน้า วางอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ลงพร้อมตอบกลับไปอย่างกระตือรือร้น “ขอโทษครับ พอดีผมไม่ทันได้ฟัง เมื่อกี้คุณสาว่าอะไรนะครับ”

         พื้นที่พักผ่อนในส่วนนี้ถูกออกแบบมาโดยเน้นเรื่องความสะดวกสบาย ให้ผู้เข้าใช้บริการได้รู้สึกผ่อนคลายสบายใจเป็นหลัก ปล่อยวางความเครียดจากภาระหน้าที่อันหนักหน่วงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันสักครู่หนึ่ง ทอดกายและให้อิสระแก่หัวใจได้ล่องลอยเพลิดเพลินไปกับบรรยากาศสงบสุข โดยไม่ต้องคิดหรือพะวงเรื่องอื่นใดสักอึดใจก็ยังดี

         ผนังอาคารด้านหนึ่งถูกติดตั้งเป็นกระจกใสทั้งผืน โต๊ะยาวตรงจุดนี้ที่คู่สนทนาทั้งสองกำลังนั่งอยู่ด้วยกัน เป็นบริเวณที่ได้รับความนิยมมากกว่าส่วนอื่นของห้อง ด้วยเพราะนอกจากที่จะให้ความรู้สึกซึ่งโปร่งโล่งเป็นพิเศษแล้ว ก็ยังสามารถมองเห็นโลกภายนอกได้จากมุมกว้าง ได้เสพแสงสีสภาพบรรยากาศของธรรมชาติจากมุมสูงอีกด้วยนั่นเอง

         ดวงอาทิตย์แผดแสงแรงกล้า กลุ่มเมฆขาวลอยล่องกระจายตัวบนท้องฟ้าสีสด ที่มีสีฟ้าสดใสเสียจนชวนแสบตา อนุภาคฝุ่นทรายลอยขึ้นสูงฟุ้งกระจายปั่นป่วน ทิวไม้โบกสะบัดขยับเคลื่อนไหวตามแต่ทิศทางที่สายลมจะพัดพา

         สายตาหญิงสาวเหม่อมองผ่านบานกระจกใสออกไปคล้ายคนจิตใจเลื่อนลอย ริมฝีปากขยับคล้ายต้องการจะเอื้อนเอ่ยอะไรสักอย่าง แต่สุดท้ายแล้วก็กลับเก็บกลืนถ้อยคำนั้นไว้ แล้วทอดถอนใจด้วยอารมณ์ซึ่งไม่ทราบความหมายออกมาแทน

         “เปล่า...ช่างเถอะ ไม่มีอะไรสำคัญหรอก” พูดลอย ๆ ให้คำพูดนั้นละลายหายไปในอากาศ ก่อนที่เธอจะลุกขึ้นและเดินจากไป

         ‘คุณสา’ หรือ ‘รริสา’ ที่ศรัทธาเพิ่งได้พูดคุยไปนั้น เป็นเจ้าหน้าที่ระดับบริหารขององค์กรที่มีอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ ตั้งแต่องค์กรแห่งนี้ถูกก่อตั้งมา

         ด้วยรูปร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อและกางเกงเข้ารูปทะมัดทะแมง เส้นผมยาวสีอ่อนที่ถูกมัดรวบไว้อย่างง่าย ๆ และดวงตาคมเฉี่ยวคู่สวย ซึ่งกรอบแว่นทรงรีไม่อาจปิดบังซ่อนเร้นความงดงามเอาไว้ได้ ทำให้ใครต่อใครต่างก็ต้องสะดุดตาเมื่อแรกเห็น

         แต่นั่นก็ยังไม่เท่ากับภาพลักษณ์ที่เป็นคนเอาจริงเอาจังกับทุกเรื่อง ขยันขันแข็งอย่างที่ไม่เคยเกี่ยงงอนหรือแสดงความย่อท้อออกมาให้ได้เห็น และเมื่อมันมาประกอบรวมเข้ากับความเฉลียวฉลาดในแบบหาตัวจับได้ยาก

         นั่นจึงทำให้ทุกคนต่างก็ต้องประทับใจ ชื่นชมและยอมรับนับถือในตัวเธอ อย่างที่ไม่อาจหาเหตุผลหรือข้ออ้างใด ๆ มาเป็นข้อปฏิเสธหรือโต้แย้งได้เลย

         จึงไม่น่าแปลกใจอะไรสักนิด ที่สาวเก่งผู้นี้จะเติบโตและเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้อย่างรวดเร็ว จนกลายมาเป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ระดับผู้บริหารขององค์กรได้ทั้งที่ยังอายุน้อยเพียงเท่านี้

         ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ได้ร่วมงานกัน ศรัทธาไม่เคยคุยกับรริสาเรื่องอื่นใดเลยนอกไปเสียจากเรื่องงาน และถ้าความทรงจำของเขาไม่ได้ผิดเพี้ยนหรือย่ำแย่จนเกินไป เขาก็จำได้ว่าไม่เคยเห็นเธอเข้ามานั่งพักกินดื่มอะไรที่ห้องนี้เลยสักครั้ง

         แต่วันนี้เขากลับได้เห็นเธอทำทั้งสองอย่างที่ว่ามาพร้อมกันเสียอย่างนั้น ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาอดที่จะนึกแปลกใจไม่ได้จริง ๆ

         ปัดความสงสัยกับเรื่องซึ่งหาสาระไม่ได้ในหัวทิ้งไป เหลือบตามองนาฬิกาแขวนผนัง น่าจะใกล้เวลาที่ดอกเตอร์โทมัสเสร็จธุระและติดต่อกลับมาแล้ว กดปิดหน้าจอแท็บเล็ต ยกถ้วยกาแฟดื่มเครื่องดื่มที่เหลือในนั้นรวดเดียวหมด แล้วจึงถือทั้งถ้วยทั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์นำไปเก็บยังจุดที่ถูกจัดไว้

         พร้อมในการถูกเรียกตัวได้ตลอดเวลา เตรียมรอรับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาที่คงจะถูกส่งมาถึงในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้านี้
 

         ตั้งแต่วินาทีที่วิวัฒน์ได้กระจ่างถึงสาเหตุแห่งความเคลือบแคลงภายในใจของตน บรรยากาศของห้องบัญชาการซึ่งแต่เดิมฉาบเคลือบไว้ด้วยความเคร่งขรึมอยู่แล้ว ก็กลับยิ่งเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่เลวร้ายมากขึ้นอย่างน่าใจหาย

         ชายชราโทมัสผู้รอบรู้ที่ยังคงพูดอธิบายอะไรต่อมิอะไรต่อไป อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยหรือนึกเอะใจอะไรเลยสักนิด นั่นกลับกลายเป็นยิ่งเพิ่มความน่าอึดอัด ทำให้ความหงุดหงิดเพิ่มพูนจนพลุ่งพล่านในอารมณ์เป็นทบทวีขึ้นไปอีก

         ความเดือดดาลแผ่ขยายลุกลาม แผดเผาข้างในกายจนทั้งร่างลนลานรุ่มร้อน มันมากขึ้นและยังคงมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ราวกับจะไม่มีวันถึงจุดสิ้นสุดถ้าหากไม่ได้ปลดปล่อยระบายมันออกมา

         จนในที่สุด...เขาก็ไม่อาจเก็บกดซ่อนเร้นเปลวเพลิงแห่งปีศาจร้าย ซึ่งกำลังโหมกระพืออยู่ภายในใจของตนเองเอาไว้อีกต่อไปได้ไหว

         “ดอกเตอร์โทมัส” น้ำเสียงแข็งกร้าวเน้นหนักในทุกพยางค์คำพูดนั้น ตั้งใจแสดงให้อีกฝ่ายได้เห็นถึงความจริงจัง กับสิ่งที่เขากำลังจะเอ่ยและถามต่อจากนี้ “คุณปิดบังอะไรผมอยู่ครับ”

         ชายชราซึ่งหยุดค้างคำทันทีที่ถูกอีกฝ่ายพูดแทรก เริ่มจับสังเกตถึงความผิดปกติในตัวคู่สนทนาได้ เขาใช้เวลาไปอึดใจหนึ่งเพื่อหยุดคิดพิจารณาถึงสถานการณ์อันพลิกผันที่กำลังเกิดขึ้น ก่อนจะใช้วินาทีถัดมาเพื่อเอ่ยปากถามหยั่งเชิง หลังจากที่ยอมรับกับตนเองว่า หาความแปลกแยกผิดปกติจากส่วนไหนหรือช่วงเวลาใดในการสนทนาไม่พบเลยสักนิด

         “ผมเกรงว่าจะไม่เข้าใจสิ่งที่คุณถาม ที่ว่ามานั่น...คุณหมายถึงอะไรอย่างนั้นหรือครับ ดอกเตอร์วิวัฒน์” แม้จะรับรู้ได้ถึงความไม่แน่นอนที่กำลังเป็นอยู่ ทว่าโทมัสก็ยังสงบพอที่จะเก็บอาการประหวั่นใจเอาไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม นิ่งพอที่จะระบายยิ้มอันผ่อนคลายออกมาได้อย่างแนบเนียน

         “ไม่ คุณรู้” ไม่ทันสิ้นคำของอีกฝ่ายดี น้ำเสียงแววตาที่ตั้งใจทำให้ดุดันแข็งกร้าวขึ้นของชายหนุ่มก็รุกไล่ต้อนต่อเนื่อง โดยหวังให้ชายชรายอมจำนนและพูดความจริงกับเขาในคำถามต่อจากนี้

         การหยุดจังหวะครู่หนึ่งแล้วตามด้วยการพูดให้ช้าลง โดยเว้นวรรคเน้นหนักในทุกพยางค์คำพูดนั้น สร้างผลกระทบทางใจและทำให้คู่สนทนาเกิดความปั่นป่วน สั่นคลอนไปจนถึงความเชื่อมั่นได้ไม่น้อยเลย “คุณเลือกผมมาทำไม เหตุผลอะไรกันแน่ครับที่คุณเลือกผม ดอกเตอร์โทมัส”

         ซึ่งมันก็เป็นไปตามนั้น แววตาของโทมัสที่เคยแสดงออกถึงความมั่นใจในตัวเองเสมอมา เริ่มมีแวววูบไหวหวั่นวิตกฉายออกมาให้ได้เห็น หัวคิ้วทั้งสองขมวดเข้าหากันจนยับย่นอย่างคนที่กำลังใช้ความคิดและลังเลอย่างหนัก

         ชายชราปรับสีหน้าให้กลับมาเรียบเฉย ควบคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุด ก่อนที่จะตอบออกมา

         “คุณเองก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้วนี่ครับ ดอกเตอร์วิวัฒน์ ผมคิดว่าผมเคยบอกคุณไปแล้ว เราเลือกคุณก็เพราะคุณเป็นเจ้าของผลงานวิจัยเหตุแห่งการดับสูญของโลก มันทำให้เราตื่นตัวและเตรียมการอะไรต่าง ๆ ได้มาจนถึงทุกวันนี้ ความปราดเปรื่องของคุณนั้นจำเป็น และมีค่ามากพอที่เราจะต้องพาไปด้วยครับ”

         “จนถึงตอนนี้คุณก็ยังไม่พูดความจริง แต่นั่นก็มากพอแล้วที่จะบอกอะไรได้หลาย ๆ อย่าง” คำตอบที่ได้รับทำเอาวิวัฒน์ถึงกับต้องแค่นยิ้มออกมา “ในสายตาของคุณ...ผมคงเป็นเพียงแค่เด็กไร้เดียงสา ที่จะพูดจะบอกให้เชื่ออะไรก็ได้สินะครับ”

         ไม่หรอก เขารู้ดีว่าชายหนุ่มผู้ซึ่งกำลังยืนอยู่ต่อหน้าเขา มีพันธุกรรมที่ยอดเยี่ยมขนาดไหน รู้ดีกว่าใครทั้งหมดว่าเขาผู้นี้เก่งกาจและฉลาดหลักแหลมเพียงใด...ชายชราโทมัสเก็บคำตอบเหล่านี้เอาไว้โดยไม่ได้พูดออกไป

         “คุณต้องการอะไร อยากรู้เรื่องอะไรกันแน่ครับ ดอกเตอร์วิวัฒน์” ถามกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉยและน้ำเสียงราบเรียบ ซึ่งให้ความรู้สึกที่ผิดแผกแตกต่างไปจากตัวของเขาเมื่อไม่กี่นาทีก่อนอย่างสิ้นเชิง

         รอยยิ้มน้อย ๆ ปรากฏขึ้นตรงมุมปากของวิวัฒน์ เขาหลับตาลงครู่หนึ่งคล้ายกำลังรวบรวมความคิด แม้จะรู้สึกเจ็บใจนิดหน่อยกับสิ่งที่กำลังจะพูด ทว่านั่นคือความจริงที่เขายอมรับ

         เรียบเรียงทุกอย่างในหัวสมอง แล้วจึงค่อยลืมตาพร้อมทั้งพูดออกมา “ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในขณะนี้ก็คือ องค์กรแห่งนี้ไม่จำเป็นต้องมีผมเลยสักนิด หลังจากพวกคุณเริ่มรู้ตัวและเตรียมการมาจนถึงเวลานี้ พวกคุณก็ไม่จำเป็นต้องมีผมอีกแล้ว”

         ตั้งแต่ที่วิวัฒน์ได้เหยียบย่างเข้ามาสู่ภายในโลกที่คล้ายแปลกแยก ในดินแดนซึ่งมีเทคโนโลยีอันแตกต่างเหนือจินตนาการแห่งนี้ ทุกอย่างนั้นช่างงดงามและสมบูรณ์แบบไปเสียหมดในความคิดของเขา

         ไม่ใช่การเดินทางตามแบบปกติธรรมดา หากแต่เป็นการเคลื่อนย้ายในชั่วพริบตา ไม่ใช่การรักษ์โลกด้วยวิธีเดิม ๆ แต่เป็นการสรรหาและสร้างโลกใบใหม่ที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ ไม่ใช่การโคลนนิ่งที่ต้องอาศัยโชคเป็นหนึ่งในปัจจัยร่วมแห่งความสำเร็จ หากแต่เป็นการสร้างชีวิตที่ไร้ข้อผิดพลาด

         ยังไม่นับรวมยานอวกาศความเร็วสูงน่าเหลือเชื่อ การเก็บรวบรวมสารพันธุกรรมจากสิ่งมีชีวิตทั่วทั้งโลก และการติดต่อกับเหล่าผู้เชี่ยวชาญ นักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการจากสาขาต่าง ๆ ที่เขายังมองไม่เห็นจุดผิดพลาดใด ๆ เลยสักนิด

         ในขณะที่กำลังฟังชายหนุ่มพูดไปเรื่อย ๆ โทมัสก็เริ่มเชื่อมโยงจนเข้าถึงและคาดเดาความคิดของคู่สนทนาได้เป็นผลสำเร็จ ในวินาทีนั้น ความหวั่นวิตกก็พลันแผ่พุ่งเข้าคุกคามจิตใจของชายชรา

         เพราะมันจะทำให้ทุกอย่างทุกเรื่องราวที่ดำเนินมา กลายเป็นอยู่ผิดที่ผิดทางและผิดเวลาไปหมด ซึ่งนั่นอาจก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่อยู่นอกเหนือการคาดการณ์ สิ่งที่ชายชราหวังและอยากให้เป็นอาจเปลี่ยนแปลง จนบางทีมันอาจเคลื่อนไปสู่กรณีที่เลวร้ายอันไม่อาจคาดเดา

         ทว่าในขณะนี้ สิ่งที่โทมัสทำได้ก็เหลือเพียงแค่การสงบนิ่งและฟังเท่านั้น นั่นเป็นเพราะตั้งแต่ในวินาทีแรกที่ชายหนุ่มรู้สึกตัว ทุกอย่างที่ว่ามาก็เกินแก้ไขและอยู่นอกเหนือการควบคุมของเขาไปเสียแล้ว

         “ด้วยเครือข่ายขององค์กรแห่งนี้ ที่สามารถทำได้ถึงระดับที่ว่ามาทั้งหมด ภายในระยะเวลาเพียงแค่หลักสิบปี ไม่นับรวมถึงการปฏิบัติงานในทุกขั้นตอนอย่างมีแบบแผน รัดกุมและไร้ข้อผิดพลาดให้เห็นสักนิด”

         วิวัฒน์หยุดจังหวะหน่อยหนึ่ง เขม็งมองลึกเข้าไปในดวงตาของผู้ที่ประจันหน้าอยู่ด้วยกัน คล้ายต้องการจับการเปลี่ยนแปลงที่อาจปรากฏให้เห็นภายในนั้น ก่อนจะเริ่มพูดอีกครั้งเพื่อเข้าสู่บทสรุปของตนเอง

         “ถ้าทุกอย่างมันพร้อมและสมบูรณ์แบบขนาดนั้น เป็นไปได้หรือครับว่าตลอดนับสิบปีที่ผ่านมา องค์กรแห่งนี้จะตามหาตัวผมไม่พบ ไม่เลย...คุณก็รู้ว่ามันไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอน ถ้าเช่นนั้นแล้ว ในวันนี้ที่คุณให้ผมมาอยู่ที่นี่ คุณต้องการอะไรจากผมกันแน่ครับ ดอกเตอร์โทมัส”

         จนถึงคำพูดประโยคนี้ของดอกเตอร์หนุ่ม ก็ไม่เหลือทางใดให้หลบหลีกบ่ายเบี่ยงได้อีกแล้ว ความสมเหตุสมผลและสอดคล้องลงตัวที่ชายหนุ่มยกมาทั้งหมดนี้ ทำให้ชายชราต้องยอมรับโดยปราศจากเงื่อนไขอย่างสิ้นเชิง

         เมื่อภาพเส้นทางออกมากมายผุดขึ้นมาในหัว แต่ไม่ว่าจะลองเดินไปตามเส้นทางใด ต่อหน้าชายผู้เปรื่องปราดในการคิดวิเคราะห์ เชี่ยวชาญในการจับและจำแนกแยกแยะ แม้กระทั่งรายละเอียดที่เล็กที่สุดได้อย่างน่าเหลือเชื่อผู้นี้ สุดท้ายแล้วทุกทางที่ว่ามาก็จะมาบรรจบที่ทางตันจุดเดียวกันอยู่ดี

         ไม่มีประโยชน์ที่จะทำเรื่องอื่นใดให้เรื่องราวต้องแย่ลงไปกว่าที่เป็นอยู่ ถึงแม้จะเร็วกว่าแผนที่วางไว้ไปมาก แต่มันก็น่าจะดีที่สุดแล้วสำหรับสถานการณ์ในขณะนี้ คงถึงเวลาแล้วที่ดอกเตอร์หนุ่มวิวัฒน์จะได้รู้และเข้าใจในความจริงทั้งหมด

         แม้จะมีความลังเลหวาดหวั่นเคลือบแฝงอยู่ภายในใจ แต่ชายชราก็เลือกที่จะทำตามความคิดสรุปรวบยอดของตนเอง นั่นเพราะเขาเห็นว่ามันเหมาะสมที่สุดแล้ว

         “เชิญตามผมมาครับ” พูดพลางเดินนำออกจากห้องบัญชาการไป
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่