เนื่องจาก"นม" เป็นสิ่งที่เรียกได้ว่า มีบทบาทในชีวิตประจำวันของพวกเราอย่างมาก ตั้งแต่เกิดมาก็เริ่มดื่มนมแม่ โตมาอาจดื่มนมวัวหรือรับประทานอาหารที่มีนมเป็นส่วนประกอบ วันนี้กลุ่มของพวกเราจึงอยากเผยแพร่ความรู้ที่ได้จากการไปศีกษาว่า แท้จริงแล้ว สิ่งที่คุณดื่มกันอยู่เป็นประจำนั้น มีอะไรมากกว่าที่คุณคิดแค่ไหน เรามาอ่านไปพร้อมๆกันนะ...
1.นมมาจากไหน
นม หมายถึงของเหลวสีขาวสะอาดซึ่งได้จากการรีดจากเต้านมของสัตว์ให้นมต่าง ๆ ที่มีสุขภาพดี ที่ประกอบด้วยสารอาหารที่ออกมาจากเต้านมของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม จะประกอบไปด้วยสารอาหารหลักที่จำเป็นสำหรับเด็กหรือสัตว์เกิดใหม่
การรีดนมการรีดนมแม่โคเป็นขั้นตอนสำคัญในการเก็บเกี่ยวผลลิตน้ำนม
การปฎิบัติต่อแม่โครีดนม
-ควรกระทำด้วยความนุ่มนวล สม่ำเสมอ
-ขณะรีดไม่ควรให้แม่โคตื่นตกใจ หรือมีความเครียดเพราะจะทำให้แม่โคให้นมลดลง
-การรีดนมควรจะมีเวลากำหนดแน่นอน ปกติรีดวันละ 2 ครั้ง กรณีที่แม่โคให้นมมากอาจจะรีดวันละ 3 ครั้ง กรณีที่รีดวันละ 2 ครั้ง ช่วงห่างของการรีดนมควรห่างกันประมาณ 12 ชั่วโมง
-ก่อนรีดนมต้องทำความสะอาดเต้านมโดยการเช็ดล้าง และกระตุ้นให้แม่โคปล่อยน้ำนม
-การรีดนมควรรีดให้เสร็จและหมดเต้าภายใน 5-7 นาที
-อุปกรณ์เครื่องใช้เกี่ยวกับการรีดนม ต้องสะอาด
-คนรีดนมต้องสะอาดและมีสุขภาพดี ไม่ควรเปลี่ยนคนรีดนมโดยไม่จำเป็น
2.การดื่มนมให้ถูกวิธี
-สำหรับวัยเด็ก (อายุ 1-12 ปี) ควรดื่มนม 3 แก้วต่อวัน แต่ถ้าเป็น
-วัยหนุ่มสาว (13-25 ปี) ควรดื่มนมวันละ 3-4 แก้ว
-สำหรับผู้ใหญ่ที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไป ควรดื่มนมไม่น้อยกว่าวัยละ 2 แก้ว
ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วทุกคนควรดื่มนมไม่น้อยกว่าวันละ 2 แก้ว แต่สำหรับหญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรควรดื่มนมไม่น้อยกว่าวันละ 3 แก้ว
3.ประโยชน์ของนม
นม เป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ครบถ้วนด้วยสารอาหารหลัก 5 หมู่
มีโปรตีนที่ประกอบด้วยกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย เช่น ทริปโตเฟน อาร์จินีน ลิวซีน ไอโซลิวซีน
มีไขมันที่เรียกว่า มันเนย ให้พลังงานสูง โดยมันเนย 1 กรัม ให้พลังงานถึง 9 แคลอรี
คาร์โบไฮเดรตคือ น้ำตาลแล็กโทส (Lactose) ให้พลังงานในอัตรา 1 กรัม ต่อ 4 แคลอรี
เกลือแร่หลายชนิด โดยเฉพาะแคลเซียมและฟอสฟอรัส ที่จำเป็นต่อการสร้างกระดูกและฟัน
มีวิตามินต่าง ๆ ครบถ้วน เช่น วิตามินเอ บี 1 บี 2 ไนอะซิน (Niacinไบโอทิน (Biotin) กรดโฟลิก วิตามินซี วิตามินอี วิตามินเค
4.โทษจากการดื่มนม
การดื่มนมนั้น หลายคนคิดว่าเป็นสิ่งที่ดี มีประโยชน์ แต่ในขณะเดียวกัน นมก็ก็ให้เกิดโทษได้เช่นกัน โดยเฉพาะเด็กทารกแรกเกิด ควรได้ดื่มนมมารดา นมมารดานั้น เป็นอาหารที่วิเศษที่สุดเหมาะที่สุดสำหรับทารกแรกเกิด เพราะจะมีสารอาหารครบถ้วน ในอัตราส่วนที่เหมาะสม นมวัวมีปริมาณโปรตีนมากกว่านมมนุษย์ถึง 3 เท่า เพราะนมวัวผลิตมาให้ลูกวัวซึ่งเป็นสัตว์ 4 กระเพาะ นอกจากนี้การดื่มนมมากเกินไป จะทำให้เป็นโรคกระดูกพรุนอีกด้วย เพราะนอกจากแคลเซียมแล้ว ในนมยังมีฟอสฟอรัส หากดื่มนมมากเดินไปร่างกายก็จะได้รับปริมาณฟอสฟอรัสมากเกินจำเป็น ซึ่งจะกระตุ้นต่อมพาราไทรอยด์ให้หลั่งฮอร์โมนออกมาสลายกระดูก จนเป็นเหตุให้มวลหรือเนื้อกระดูกบางลง ซึ่งที่จริงแล้วในอาหารไทย มีปริมาณแคลเซียมเพียงพอต่อวันอยู่แล้ว
5.สารอาหารในนมโค
โปรตีน ไขมัน คาโบไฮเดรต เกลือแร่
6.การแพ้นม
ภาวะขาดเอนไซม์แลคเตส
ปัญหาการขาดหรือการพร่อง เอนไซม์ หรือน้ำย่อยแลคเตส พบได้บ่อย ผู้ที่ขาดเอนไซม์แลคเตสจะมีปัญหาเมื่อกินนม (นมจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ที่สำคัญ คือ นมวัว) เนื่องจากนมมีส่วนประกอบสำคัญคือ น้ำตาลแลคโตส ซึ่งต้องอาศัยเอนไซม์แลคเตสในการย่อยจึงจะดูดซึมเข้าไปในผนังลำไส้ได้ การขาดหรือพร่องเอนไซม์นี้ทำให้เกิดอาการท้องเสีย ปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน
7.ชนิดของนม
-นมพาสเจอร์ไรซ์ คือกระบวนการทำลายเชื้อแบคทีเรียบางชนิด สำหรับนมที่ผ่านกรรมวิธีฆ่าเชื้อนี้จะมีคุณค่าสารอาหารเกือบเท่ากับ น้ำนมก่อนผ่านการฆ่าเชื้อ และรสชาติของนมจะใกล้เคียงกับ น้ำนมตามธรรมชาติมากกว่าวิธีอื่น จะใช้เวลาและอุณหภูมิที่แตกต่างกัน เช่น อุณหภูมิ 62.8 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 30 วินาที หรือ 77 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 15 วินาที จะสามารถทำลายแบคทีเรียได้บางชนิด ต้องเก็บผลิตภัณฑ์พาสเจอร์ไรซ์ไว้ที่อุณหภูมิต่ำ เพื่อป้องกันการเจริญของเชื้อแบคทีเรียชนิดอื่นๆ โดยนมพาสเจอร์ไรส์จะเก็บรักษาที่อุณหภูมิต่ำในตู้เย็นได้นาน 2 - 3 สัปดาห์
-นมสดสเตอร์ไรซ์ บรรจุในกระป๋องโลหะปิดสนิท กระบวนการผลิตใช้ความร้อนสูง 110 – 116 องศาเซลเซียส เวลา 30 นาที เพื่อทำลายเชื้อจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรค และอาหารเน่าเสียในอุณหภูมิการเก็บรักษาปกติได้ (อุณหภูมิห้องปกติ เก็บได้ 1 – 2 ปี)
-นมข้นหวาน มีขั้นตอนการผลิตเริ่มต้นคล้ายนมข้นไม่หวาน คือต้องมีการระเหยน้ำออก หรือละลายนมผงขาดมันเนย ผสมกับไขมันเนยหรือไขมันปาล์มตามอัตราส่วนดังกล่าว แล้วจึงเติมน้ำตาลลงไปประมาณร้อยละ 45 จะเห็นว่านมข้นหวานมีน้ำตาล ในปริมาณสูงมาก จึงต้องมีการผสมน้ำในปริมาณมากก่อนบริโภค ทำให้คุณค่าทางโภชนาการโดยเฉพาะโปรตีนจานมจะต่ำกว่า น้ำนมสดมาก นมข้นหวาน จึงไม่เหมาะสำหรับเลี้ยงทารก หรือใช้เพื่อประโยชน์ในการเสริมคุณค่าอาหารเช่นเดียวกับน้ำนมสดธรรมดา
-นมยูเอชที (UHT) ย่อมาจาก ultra-high-temperature processing เป็นวิธีการฆ่าเชื้อสำหรับอาหาร โดยผ่านกระบวนการให้ความร้อนสูงเป็นเวลาสั้นๆ ประมาณ 1 - 2 วินาทีที่อุณหภูมิ 135 องศาเซลเซียส (275 องศาฟาเรนไฮต์) ในปัจจุบันยังใช้ถนอมอาหารอื่นๆ เช่น น้ำผลไม้ ครีม โยเกิร์ต ไวน์ โดยนมยูเอชทีสามารถเก็บรักษาไว้ที่อุณหภูมิห้องได้นาน 6 - 9 เดือน
8.ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากนม
-นมเปรี้ยว หรือ โยเกิร์ต เป็นอาหารที่ให้คุณค่าทางโภชนาการดีกว่านมสด โดยสามารถแยกนมเปรี้ยว ออกเป็น 2 ชนิด คือ นมเปรี้ยวที่มีลักษณะเป็นน้ำ และนมเปรี้ยวที่มีลักษณะเหลวข้นที่เรียกว่า โยเกิร์ต นมเปรี้ยว หรือ โยเกิร์ต ทำจากนมชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น นมสด นมพร่องมันเนย หรือ นมถั่วเหลือง โดยการใช้แบคทีเรีย แลคโตบาซิลัส เอซิโดซิส และ สเตรปโตคอคคัส เทอร์โมฟิลลัส เป็นหลักใส่ลงไปหมักผลิตภัณฑ์นมต่างๆ แบคทีเรียเหล่านี้ช่วยย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมให้เป็นกรดแลคติค ทำให้มีภาวะกรดและมีรสเปรี้ยว
-เนยแข็ง หรือ ชีส (cheese) คือ ผลิตภัณฑ์จากนมซึ่งสามารถผลิตได้จากนมวัวหรือแพะ เป็นต้น ผ่านกระบวนการคัดแยกโปรตีน แล้วนำโปรตีนของนมมาทำการผสมเชื้อรา หรือแบคทีเรีย หรือสารอื่นๆ แตกต่างกันไปตามแต่ละประเภทของเนยแข็ง ซึ่งแตกต่างจากเนยที่ทำมาจากไขมันของนมมีคุณค่าทางโภชนาการไม้แพ้น้ำนมวัว
เป็นไงกันบ้าง พวกเราหวังว่า คุณคงได้รับความรู้เพิ่มขึ้นไม่มากก็น้อย และสามารถนำความรู้นี้ไปปรับใช้ในการดำเนินชีวิตได้
ขอบคุณที่อ่านบทความของพวกเราจนจบ หากคุณชอบ อย่าลืมคอมเมนต์ให้กำลังใจพวกเราด้านล่างนี้เลยหรือแชร์กระทู้ของเราให้คนอื่นที่ยังไม่รู้ได้รับรู้ก็จะเป็นการขอบพระคุณอย่างยิ่ง
มารู้จัก "นม" ให้มากขึ้นกันน
1.นมมาจากไหน
นม หมายถึงของเหลวสีขาวสะอาดซึ่งได้จากการรีดจากเต้านมของสัตว์ให้นมต่าง ๆ ที่มีสุขภาพดี ที่ประกอบด้วยสารอาหารที่ออกมาจากเต้านมของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม จะประกอบไปด้วยสารอาหารหลักที่จำเป็นสำหรับเด็กหรือสัตว์เกิดใหม่
การรีดนมการรีดนมแม่โคเป็นขั้นตอนสำคัญในการเก็บเกี่ยวผลลิตน้ำนม
การปฎิบัติต่อแม่โครีดนม
-ควรกระทำด้วยความนุ่มนวล สม่ำเสมอ
-ขณะรีดไม่ควรให้แม่โคตื่นตกใจ หรือมีความเครียดเพราะจะทำให้แม่โคให้นมลดลง
-การรีดนมควรจะมีเวลากำหนดแน่นอน ปกติรีดวันละ 2 ครั้ง กรณีที่แม่โคให้นมมากอาจจะรีดวันละ 3 ครั้ง กรณีที่รีดวันละ 2 ครั้ง ช่วงห่างของการรีดนมควรห่างกันประมาณ 12 ชั่วโมง
-ก่อนรีดนมต้องทำความสะอาดเต้านมโดยการเช็ดล้าง และกระตุ้นให้แม่โคปล่อยน้ำนม
-การรีดนมควรรีดให้เสร็จและหมดเต้าภายใน 5-7 นาที
-อุปกรณ์เครื่องใช้เกี่ยวกับการรีดนม ต้องสะอาด
-คนรีดนมต้องสะอาดและมีสุขภาพดี ไม่ควรเปลี่ยนคนรีดนมโดยไม่จำเป็น
2.การดื่มนมให้ถูกวิธี
-สำหรับวัยเด็ก (อายุ 1-12 ปี) ควรดื่มนม 3 แก้วต่อวัน แต่ถ้าเป็น
-วัยหนุ่มสาว (13-25 ปี) ควรดื่มนมวันละ 3-4 แก้ว
-สำหรับผู้ใหญ่ที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไป ควรดื่มนมไม่น้อยกว่าวัยละ 2 แก้ว
ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วทุกคนควรดื่มนมไม่น้อยกว่าวันละ 2 แก้ว แต่สำหรับหญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรควรดื่มนมไม่น้อยกว่าวันละ 3 แก้ว
3.ประโยชน์ของนม
นม เป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ครบถ้วนด้วยสารอาหารหลัก 5 หมู่
มีโปรตีนที่ประกอบด้วยกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย เช่น ทริปโตเฟน อาร์จินีน ลิวซีน ไอโซลิวซีน
มีไขมันที่เรียกว่า มันเนย ให้พลังงานสูง โดยมันเนย 1 กรัม ให้พลังงานถึง 9 แคลอรี
คาร์โบไฮเดรตคือ น้ำตาลแล็กโทส (Lactose) ให้พลังงานในอัตรา 1 กรัม ต่อ 4 แคลอรี
เกลือแร่หลายชนิด โดยเฉพาะแคลเซียมและฟอสฟอรัส ที่จำเป็นต่อการสร้างกระดูกและฟัน
มีวิตามินต่าง ๆ ครบถ้วน เช่น วิตามินเอ บี 1 บี 2 ไนอะซิน (Niacinไบโอทิน (Biotin) กรดโฟลิก วิตามินซี วิตามินอี วิตามินเค
4.โทษจากการดื่มนม
การดื่มนมนั้น หลายคนคิดว่าเป็นสิ่งที่ดี มีประโยชน์ แต่ในขณะเดียวกัน นมก็ก็ให้เกิดโทษได้เช่นกัน โดยเฉพาะเด็กทารกแรกเกิด ควรได้ดื่มนมมารดา นมมารดานั้น เป็นอาหารที่วิเศษที่สุดเหมาะที่สุดสำหรับทารกแรกเกิด เพราะจะมีสารอาหารครบถ้วน ในอัตราส่วนที่เหมาะสม นมวัวมีปริมาณโปรตีนมากกว่านมมนุษย์ถึง 3 เท่า เพราะนมวัวผลิตมาให้ลูกวัวซึ่งเป็นสัตว์ 4 กระเพาะ นอกจากนี้การดื่มนมมากเกินไป จะทำให้เป็นโรคกระดูกพรุนอีกด้วย เพราะนอกจากแคลเซียมแล้ว ในนมยังมีฟอสฟอรัส หากดื่มนมมากเดินไปร่างกายก็จะได้รับปริมาณฟอสฟอรัสมากเกินจำเป็น ซึ่งจะกระตุ้นต่อมพาราไทรอยด์ให้หลั่งฮอร์โมนออกมาสลายกระดูก จนเป็นเหตุให้มวลหรือเนื้อกระดูกบางลง ซึ่งที่จริงแล้วในอาหารไทย มีปริมาณแคลเซียมเพียงพอต่อวันอยู่แล้ว
5.สารอาหารในนมโค
โปรตีน ไขมัน คาโบไฮเดรต เกลือแร่
6.การแพ้นม
ภาวะขาดเอนไซม์แลคเตส
ปัญหาการขาดหรือการพร่อง เอนไซม์ หรือน้ำย่อยแลคเตส พบได้บ่อย ผู้ที่ขาดเอนไซม์แลคเตสจะมีปัญหาเมื่อกินนม (นมจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ที่สำคัญ คือ นมวัว) เนื่องจากนมมีส่วนประกอบสำคัญคือ น้ำตาลแลคโตส ซึ่งต้องอาศัยเอนไซม์แลคเตสในการย่อยจึงจะดูดซึมเข้าไปในผนังลำไส้ได้ การขาดหรือพร่องเอนไซม์นี้ทำให้เกิดอาการท้องเสีย ปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน
7.ชนิดของนม
-นมพาสเจอร์ไรซ์ คือกระบวนการทำลายเชื้อแบคทีเรียบางชนิด สำหรับนมที่ผ่านกรรมวิธีฆ่าเชื้อนี้จะมีคุณค่าสารอาหารเกือบเท่ากับ น้ำนมก่อนผ่านการฆ่าเชื้อ และรสชาติของนมจะใกล้เคียงกับ น้ำนมตามธรรมชาติมากกว่าวิธีอื่น จะใช้เวลาและอุณหภูมิที่แตกต่างกัน เช่น อุณหภูมิ 62.8 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 30 วินาที หรือ 77 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 15 วินาที จะสามารถทำลายแบคทีเรียได้บางชนิด ต้องเก็บผลิตภัณฑ์พาสเจอร์ไรซ์ไว้ที่อุณหภูมิต่ำ เพื่อป้องกันการเจริญของเชื้อแบคทีเรียชนิดอื่นๆ โดยนมพาสเจอร์ไรส์จะเก็บรักษาที่อุณหภูมิต่ำในตู้เย็นได้นาน 2 - 3 สัปดาห์
-นมสดสเตอร์ไรซ์ บรรจุในกระป๋องโลหะปิดสนิท กระบวนการผลิตใช้ความร้อนสูง 110 – 116 องศาเซลเซียส เวลา 30 นาที เพื่อทำลายเชื้อจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรค และอาหารเน่าเสียในอุณหภูมิการเก็บรักษาปกติได้ (อุณหภูมิห้องปกติ เก็บได้ 1 – 2 ปี)
-นมข้นหวาน มีขั้นตอนการผลิตเริ่มต้นคล้ายนมข้นไม่หวาน คือต้องมีการระเหยน้ำออก หรือละลายนมผงขาดมันเนย ผสมกับไขมันเนยหรือไขมันปาล์มตามอัตราส่วนดังกล่าว แล้วจึงเติมน้ำตาลลงไปประมาณร้อยละ 45 จะเห็นว่านมข้นหวานมีน้ำตาล ในปริมาณสูงมาก จึงต้องมีการผสมน้ำในปริมาณมากก่อนบริโภค ทำให้คุณค่าทางโภชนาการโดยเฉพาะโปรตีนจานมจะต่ำกว่า น้ำนมสดมาก นมข้นหวาน จึงไม่เหมาะสำหรับเลี้ยงทารก หรือใช้เพื่อประโยชน์ในการเสริมคุณค่าอาหารเช่นเดียวกับน้ำนมสดธรรมดา
-นมยูเอชที (UHT) ย่อมาจาก ultra-high-temperature processing เป็นวิธีการฆ่าเชื้อสำหรับอาหาร โดยผ่านกระบวนการให้ความร้อนสูงเป็นเวลาสั้นๆ ประมาณ 1 - 2 วินาทีที่อุณหภูมิ 135 องศาเซลเซียส (275 องศาฟาเรนไฮต์) ในปัจจุบันยังใช้ถนอมอาหารอื่นๆ เช่น น้ำผลไม้ ครีม โยเกิร์ต ไวน์ โดยนมยูเอชทีสามารถเก็บรักษาไว้ที่อุณหภูมิห้องได้นาน 6 - 9 เดือน
8.ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากนม
-นมเปรี้ยว หรือ โยเกิร์ต เป็นอาหารที่ให้คุณค่าทางโภชนาการดีกว่านมสด โดยสามารถแยกนมเปรี้ยว ออกเป็น 2 ชนิด คือ นมเปรี้ยวที่มีลักษณะเป็นน้ำ และนมเปรี้ยวที่มีลักษณะเหลวข้นที่เรียกว่า โยเกิร์ต นมเปรี้ยว หรือ โยเกิร์ต ทำจากนมชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น นมสด นมพร่องมันเนย หรือ นมถั่วเหลือง โดยการใช้แบคทีเรีย แลคโตบาซิลัส เอซิโดซิส และ สเตรปโตคอคคัส เทอร์โมฟิลลัส เป็นหลักใส่ลงไปหมักผลิตภัณฑ์นมต่างๆ แบคทีเรียเหล่านี้ช่วยย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมให้เป็นกรดแลคติค ทำให้มีภาวะกรดและมีรสเปรี้ยว
-เนยแข็ง หรือ ชีส (cheese) คือ ผลิตภัณฑ์จากนมซึ่งสามารถผลิตได้จากนมวัวหรือแพะ เป็นต้น ผ่านกระบวนการคัดแยกโปรตีน แล้วนำโปรตีนของนมมาทำการผสมเชื้อรา หรือแบคทีเรีย หรือสารอื่นๆ แตกต่างกันไปตามแต่ละประเภทของเนยแข็ง ซึ่งแตกต่างจากเนยที่ทำมาจากไขมันของนมมีคุณค่าทางโภชนาการไม้แพ้น้ำนมวัว
เป็นไงกันบ้าง พวกเราหวังว่า คุณคงได้รับความรู้เพิ่มขึ้นไม่มากก็น้อย และสามารถนำความรู้นี้ไปปรับใช้ในการดำเนินชีวิตได้
ขอบคุณที่อ่านบทความของพวกเราจนจบ หากคุณชอบ อย่าลืมคอมเมนต์ให้กำลังใจพวกเราด้านล่างนี้เลยหรือแชร์กระทู้ของเราให้คนอื่นที่ยังไม่รู้ได้รับรู้ก็จะเป็นการขอบพระคุณอย่างยิ่ง