ปราสาทอัปสร ตอนที่ ๒
https://ppantip.com/topic/36712020
ตอนที่ ๓
พิมพ์อัปสรวางคัพเค้กสองชิ้นลงใส่กล่องอย่างตั้งใจ บรรจงปิดมันและนำใส่ถุงก่อนส่งให้กับลูกค้าซึ่งเป็นหญิงวัยกลางคนผู้มากับลูกสาววัยแปดขวบในชุดนักเรียน
“ขอบคุณนะคะ สัปดาห์หน้าทางร้านจะทำขนมไทยอีกหลายอย่าง มีขนมจ่ามงกุฎ ทองหยิบ ปั้นขลิบ แล้วก็หม้อแกง ยังไงก็อย่าลืมมาอุดหนุนนะคะ” เธอยิ้มพร้อมกับบอกรายชื่อขนมไทยที่จะทำในสัปดาห์หน้า ครั้นเมื่อลูกค้าคนสุดท้ายผละออกจากร้านไป หญิงสาวจึงหันไปง่วนกับการคิดคำนวณรายรับรายจ่ายในวันนี้ที่โต๊ะทำงานด้านในร้าน ขณะที่ลูกจ้างหญิงสองคนกำลังช่วยกันเก็บโต๊ะเก้าอี้และล้างภาชนะของวันนี้
ร้านเบเกอร์รี่ของพิมพ์อัปสรมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก ภายในตกแต่งอย่างเรียบง่าย เน้นสีโทนอบอุ่น และวัสดุตกแต่งที่ทำจากไม้ จัดเป็นมุมโต๊ะห้าตัวเรียงติดกระจกร้านด้านหน้า ที่ผนังด้านขวามีกลุ่มโซฟาสามที่ และตรงกลางก็เป็นโซฟาตัวเขื่องขนาดใหญ่สำหรับแขกที่มาเป็นกลุ่ม แต่โดยส่วนใหญ่แล้วลูกค้ามักจะแวะมาซื้อกลับไปทานที่บ้านเสียมากกว่า
เมื่อการทำบัญชีของวันนี้จบลง หญิงสาวจึงผละเข้าไปในครัวเพื่อสั่งงานกับผู้เป็นลูกจ้างสองคนก่อนจะได้ยินเสียงเปิดประตูร้าน พร้อมกับร่างหนาของบุรุษหนุ่มในชุดเสื้อยืดคอวีสีดำตัวบางสวมกางเกงยีนส์สีซีด เดินเนิบนาบเข้ามาพร้อมกับเมียงมองหาร่างของผู้เป็นเจ้าของร้าน
“อ้าวยศ...ไปยังไงถึงแวะมาที่นี่ได้” พิมพ์อัปสรชะโงกหน้าผ่านประตูครัวที่อยู่เยื้องจากมุมเคาน์เตอร์ คงยศผลิยิ้มให้เธอ ในขณะที่หญิงสาวรีบก้าวเข้าไปหาเพื่อนสนิทของผู้เป็นคนรัก
คงยศไม่พูดอะไร เดินไปทรุดนั่งลงบนโซฟาที่ตั้งอยู่กลางร้าน สีหน้าฉายความไม่สบายใจ
พิมพ์อัปสรหันไปสั่งลูกจ้างสาวให้นำชามะนาวเย็นมาเสิร์ฟผู้เป็นแขกก่อนจะทรุดนั่งลงฝั่งตรงข้าม
“ไอ้เชนมันบอกพิมพ์รึยัง เรื่องของปราสาทนั่น” คงยศมองหน้าพิมพ์อัปสร หญิงสาวเบิกตาโพลงด้วยความสงสัย เมื่อชามะนาวเย็นๆ มาเสิร์ฟที่โต๊ะแขกหนุ่มจึงยกขึ้นจิบก่อนวางแก้วลงแล้วทอดสายตามองผ่านร่างที่นั่งอยู่ตรงหน้า
“ก็เมื่อวานมันโทร.มาบอกว่าตกลงกับลุงชัชชัยว่ามันจะออกเดินทางไปกับคณะพวกเขาด้วย เราตงิดใจนะ ไม่อยากจะคิดไปไกลแต่ก็อดหวั่นใจไม่ได้ว่าคณะของพวกเขานั้นทางราชการได้รับรู้ด้วยหรือเปล่า กลัวแต่จะเป็นการขุดลอบหาสมบัติกันอย่างลับๆ ดีไม่ดีไอ้เชนจะพลอยถูกหางเลขไปด้วย”
คำพูดของคงยศทำให้พิมพ์อัปสรหน้าเจื่อนลงทันที หลังงานของคนรักเสร็จสิ้นเธอจึงได้มีเวลากลับมาดูแลร้าน ไม่ได้คิดไปถึงว่าเขาจะร่วมออกเดินทางไปตามหาปราสาทที่เขาเป็นคนรวบรวมข้อมูลนั่นด้วย
“แต่อาชัชก็เคยทำงานให้กรมศิลป์นี่ คงไม่ทำเรื่องแบบนั้นหรอก เชนเคยบอกพิมพ์ว่ามันเป็นงานศึกษาค้นคว้า ทางกรมเคยส่งคนเข้าไปแล้ว แต่ก็ไม่พบเบาะแส จะมีก็แต่ทีมของคุณแม่เชนกับคุณแม่ยศไงที่เข้าไปถึงและพบกับตัวปราสาทของจริง”
คงยศระบายลมหายใจจนได้ยินเสียง หันหน้าหนีไปอีกทางเมื่อนึกถึงเรื่องราวที่พอได้ยินได้รู้มาบ้าง “ถึงเราจะไม่ได้งมงายอะไรกับเรื่องพวกนี้มากนักนะพิมพ์ แต่ไม่ใช่ว่ามันไม่มีอยู่จริง อย่างนักโบราณคดีหลายคนก็ยังเคยเห็นวิญญาณทหารโบราณเลย หรือแม้แต่เรื่องทรัพย์สมบัติเก่าแก่ที่ใครได้ไปก็ต้องวิบัติ
กันหมด ของแบบนี้ถ้าเป็นไปได้ก็อย่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวดีกว่า”
“พิมพ์รู้นิสัยของเชนดี ลองว่าถ้าเขาตั้งใจจะทำอะไรก็ต้องทำให้ได้ ถ้าหากว่าเขายืนยันจะไปจริงๆ ถึงพิมพ์ห้ามยังไงเขาก็ไม่ฟังหรอก” ปลายเสียงของหญิงสาวแสดงความตัดพ้อ ใบหน้างอนงามก้มต่ำลงมองพื้นโต๊ะ ความรักที่คเชนทร์มีให้เริ่มจืดจางลงไม่เหมือนก่อน และเหมือนเธอกำลังถูกเขาผลักออกห่างมากขึ้นเรื่อยๆ แต่สิ่งที่กำลังเข้ามาแทนที่ในหัวใจของเขาก็มีเพียงแต่งานเท่านั้น
คงยศมองหน้าหญิงสาวตรงหน้าด้วยความเห็นใจ เมื่อไม่มีหนทางที่คิดจะยับยั้งเพื่อนหนุ่มได้แล้วจึงเสเปลี่ยนเรื่องคุย ลูกจ้างสาวสองคนมายกมือไหว้ขอลากลับบ้านเมื่อจัดการภาระงานเสร็จเรียบร้อย ภายในร้านจึงเหลือเพียงแต่สองหนุ่มสาวที่นั่งสนทนากันตามลำพัง
“อีกสามวันปิ่นเขาชวนไปงานขึ้นเขาพนมรุ้งที่บุรีรัมย์ แต่เรายังไม่ได้ชวนไอ้เชนมันนะ พิมพ์ไปด้วยกันมั้ย อยากให้ไปนะ นานๆ จะได้มีโอกาสเที่ยวด้วยสักที”
“จริงเหรอ...เอาสิยศ พิมพ์เองก็ไม่ได้ไปเที่ยวต่างจังหวัดนานแล้วเหมือนกัน พาเชนเขาไปเปิดหูเปิดตาเสียบ้างจะได้หายเครียดจากเรื่องงาน” พอพิมพ์อัปสรพูดจบร่างที่ยกแก้วชามะนาวขึ้นดื่มจนพร่องแก้วจึงผุดยิ้ม
“มันน่ะคงไม่สนุกหรอกพิมพ์ รู้ลึกรู้จริงจนทะลุปรุโปร่ง ต้องให้คนธรรมดาอย่างเราๆ ไปดูถึงจะตื่นเต้น”
“บ้า...ยศเองก็เรียนประวัติศาสตร์เหมือนกับเชนนี่ เชนเขายังเคยพูดว่ายศเองก็ใช่ย่อยเหมือนกัน เสียดายแต่ไม่ได้ทำงานตรงกับสายที่เรียนเท่านั้นเอง” จบคำพูดพิมพ์อัปสรคงยศจึงฉีกยิ้มกว้างอย่างเปิดเผย ในขณะที่เบื้องนอกฟ้ามืดลงแล้วพร้อมกับเม็ดฝนหลงฤดูที่โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าเหนือเมืองกรุง พิมพ์อัปสรจึงขอตัวเข้าไปเก็บผ้ากันเปื้อนและผ้าคลุมโต๊ะที่ลูกจ้างตากไว้หลังบ้านก่อนจะกลับ ผ่านไปสักพักไฟฟ้าในร้านเริ่มกระพริบติดๆ ดับๆ แขกหนุ่มจึงเงยหน้ามองเหล่าดวงไฟบนผนังด้วยความหวั่นใจ จนกระทั่งสายตามองไปยังร่างระหงที่เดินดุ่มๆ มาทางส่วนครัวที่เชื่อมต่อถึงด้านหลังร้านไฟฟ้าก็ดับพรึบลง
ภายนอกได้ยินเสียงฟ้าร้องครืนครามน่ากลัว แสงฟ้าแลบสาดผ่านกระจกหน้าร้านเข้ามาวูบหนึ่ง วูบหนึ่งที่สะกดสายตาของคงยศให้นิ่งข้าง เบื้องหลังร่างระหงของพิมพ์อัปสร ปรากฏเป็นรูปร่างสตรีสามคนที่สวมใส่พัสตราภรณ์และเครื่องประดับประดุจนางอัปสรที่สลักไว้ตามปราสาทหินขอมโบราณ
ปราสาทอัปสร ตอนที่ ๓
https://ppantip.com/topic/36712020
พิมพ์อัปสรวางคัพเค้กสองชิ้นลงใส่กล่องอย่างตั้งใจ บรรจงปิดมันและนำใส่ถุงก่อนส่งให้กับลูกค้าซึ่งเป็นหญิงวัยกลางคนผู้มากับลูกสาววัยแปดขวบในชุดนักเรียน
“ขอบคุณนะคะ สัปดาห์หน้าทางร้านจะทำขนมไทยอีกหลายอย่าง มีขนมจ่ามงกุฎ ทองหยิบ ปั้นขลิบ แล้วก็หม้อแกง ยังไงก็อย่าลืมมาอุดหนุนนะคะ” เธอยิ้มพร้อมกับบอกรายชื่อขนมไทยที่จะทำในสัปดาห์หน้า ครั้นเมื่อลูกค้าคนสุดท้ายผละออกจากร้านไป หญิงสาวจึงหันไปง่วนกับการคิดคำนวณรายรับรายจ่ายในวันนี้ที่โต๊ะทำงานด้านในร้าน ขณะที่ลูกจ้างหญิงสองคนกำลังช่วยกันเก็บโต๊ะเก้าอี้และล้างภาชนะของวันนี้
ร้านเบเกอร์รี่ของพิมพ์อัปสรมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก ภายในตกแต่งอย่างเรียบง่าย เน้นสีโทนอบอุ่น และวัสดุตกแต่งที่ทำจากไม้ จัดเป็นมุมโต๊ะห้าตัวเรียงติดกระจกร้านด้านหน้า ที่ผนังด้านขวามีกลุ่มโซฟาสามที่ และตรงกลางก็เป็นโซฟาตัวเขื่องขนาดใหญ่สำหรับแขกที่มาเป็นกลุ่ม แต่โดยส่วนใหญ่แล้วลูกค้ามักจะแวะมาซื้อกลับไปทานที่บ้านเสียมากกว่า
เมื่อการทำบัญชีของวันนี้จบลง หญิงสาวจึงผละเข้าไปในครัวเพื่อสั่งงานกับผู้เป็นลูกจ้างสองคนก่อนจะได้ยินเสียงเปิดประตูร้าน พร้อมกับร่างหนาของบุรุษหนุ่มในชุดเสื้อยืดคอวีสีดำตัวบางสวมกางเกงยีนส์สีซีด เดินเนิบนาบเข้ามาพร้อมกับเมียงมองหาร่างของผู้เป็นเจ้าของร้าน
“อ้าวยศ...ไปยังไงถึงแวะมาที่นี่ได้” พิมพ์อัปสรชะโงกหน้าผ่านประตูครัวที่อยู่เยื้องจากมุมเคาน์เตอร์ คงยศผลิยิ้มให้เธอ ในขณะที่หญิงสาวรีบก้าวเข้าไปหาเพื่อนสนิทของผู้เป็นคนรัก
คงยศไม่พูดอะไร เดินไปทรุดนั่งลงบนโซฟาที่ตั้งอยู่กลางร้าน สีหน้าฉายความไม่สบายใจ
พิมพ์อัปสรหันไปสั่งลูกจ้างสาวให้นำชามะนาวเย็นมาเสิร์ฟผู้เป็นแขกก่อนจะทรุดนั่งลงฝั่งตรงข้าม
“ไอ้เชนมันบอกพิมพ์รึยัง เรื่องของปราสาทนั่น” คงยศมองหน้าพิมพ์อัปสร หญิงสาวเบิกตาโพลงด้วยความสงสัย เมื่อชามะนาวเย็นๆ มาเสิร์ฟที่โต๊ะแขกหนุ่มจึงยกขึ้นจิบก่อนวางแก้วลงแล้วทอดสายตามองผ่านร่างที่นั่งอยู่ตรงหน้า
“ก็เมื่อวานมันโทร.มาบอกว่าตกลงกับลุงชัชชัยว่ามันจะออกเดินทางไปกับคณะพวกเขาด้วย เราตงิดใจนะ ไม่อยากจะคิดไปไกลแต่ก็อดหวั่นใจไม่ได้ว่าคณะของพวกเขานั้นทางราชการได้รับรู้ด้วยหรือเปล่า กลัวแต่จะเป็นการขุดลอบหาสมบัติกันอย่างลับๆ ดีไม่ดีไอ้เชนจะพลอยถูกหางเลขไปด้วย”
คำพูดของคงยศทำให้พิมพ์อัปสรหน้าเจื่อนลงทันที หลังงานของคนรักเสร็จสิ้นเธอจึงได้มีเวลากลับมาดูแลร้าน ไม่ได้คิดไปถึงว่าเขาจะร่วมออกเดินทางไปตามหาปราสาทที่เขาเป็นคนรวบรวมข้อมูลนั่นด้วย
“แต่อาชัชก็เคยทำงานให้กรมศิลป์นี่ คงไม่ทำเรื่องแบบนั้นหรอก เชนเคยบอกพิมพ์ว่ามันเป็นงานศึกษาค้นคว้า ทางกรมเคยส่งคนเข้าไปแล้ว แต่ก็ไม่พบเบาะแส จะมีก็แต่ทีมของคุณแม่เชนกับคุณแม่ยศไงที่เข้าไปถึงและพบกับตัวปราสาทของจริง”
คงยศระบายลมหายใจจนได้ยินเสียง หันหน้าหนีไปอีกทางเมื่อนึกถึงเรื่องราวที่พอได้ยินได้รู้มาบ้าง “ถึงเราจะไม่ได้งมงายอะไรกับเรื่องพวกนี้มากนักนะพิมพ์ แต่ไม่ใช่ว่ามันไม่มีอยู่จริง อย่างนักโบราณคดีหลายคนก็ยังเคยเห็นวิญญาณทหารโบราณเลย หรือแม้แต่เรื่องทรัพย์สมบัติเก่าแก่ที่ใครได้ไปก็ต้องวิบัติกันหมด ของแบบนี้ถ้าเป็นไปได้ก็อย่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวดีกว่า”
“พิมพ์รู้นิสัยของเชนดี ลองว่าถ้าเขาตั้งใจจะทำอะไรก็ต้องทำให้ได้ ถ้าหากว่าเขายืนยันจะไปจริงๆ ถึงพิมพ์ห้ามยังไงเขาก็ไม่ฟังหรอก” ปลายเสียงของหญิงสาวแสดงความตัดพ้อ ใบหน้างอนงามก้มต่ำลงมองพื้นโต๊ะ ความรักที่คเชนทร์มีให้เริ่มจืดจางลงไม่เหมือนก่อน และเหมือนเธอกำลังถูกเขาผลักออกห่างมากขึ้นเรื่อยๆ แต่สิ่งที่กำลังเข้ามาแทนที่ในหัวใจของเขาก็มีเพียงแต่งานเท่านั้น
คงยศมองหน้าหญิงสาวตรงหน้าด้วยความเห็นใจ เมื่อไม่มีหนทางที่คิดจะยับยั้งเพื่อนหนุ่มได้แล้วจึงเสเปลี่ยนเรื่องคุย ลูกจ้างสาวสองคนมายกมือไหว้ขอลากลับบ้านเมื่อจัดการภาระงานเสร็จเรียบร้อย ภายในร้านจึงเหลือเพียงแต่สองหนุ่มสาวที่นั่งสนทนากันตามลำพัง
“อีกสามวันปิ่นเขาชวนไปงานขึ้นเขาพนมรุ้งที่บุรีรัมย์ แต่เรายังไม่ได้ชวนไอ้เชนมันนะ พิมพ์ไปด้วยกันมั้ย อยากให้ไปนะ นานๆ จะได้มีโอกาสเที่ยวด้วยสักที”
“จริงเหรอ...เอาสิยศ พิมพ์เองก็ไม่ได้ไปเที่ยวต่างจังหวัดนานแล้วเหมือนกัน พาเชนเขาไปเปิดหูเปิดตาเสียบ้างจะได้หายเครียดจากเรื่องงาน” พอพิมพ์อัปสรพูดจบร่างที่ยกแก้วชามะนาวขึ้นดื่มจนพร่องแก้วจึงผุดยิ้ม
“มันน่ะคงไม่สนุกหรอกพิมพ์ รู้ลึกรู้จริงจนทะลุปรุโปร่ง ต้องให้คนธรรมดาอย่างเราๆ ไปดูถึงจะตื่นเต้น”
“บ้า...ยศเองก็เรียนประวัติศาสตร์เหมือนกับเชนนี่ เชนเขายังเคยพูดว่ายศเองก็ใช่ย่อยเหมือนกัน เสียดายแต่ไม่ได้ทำงานตรงกับสายที่เรียนเท่านั้นเอง” จบคำพูดพิมพ์อัปสรคงยศจึงฉีกยิ้มกว้างอย่างเปิดเผย ในขณะที่เบื้องนอกฟ้ามืดลงแล้วพร้อมกับเม็ดฝนหลงฤดูที่โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าเหนือเมืองกรุง พิมพ์อัปสรจึงขอตัวเข้าไปเก็บผ้ากันเปื้อนและผ้าคลุมโต๊ะที่ลูกจ้างตากไว้หลังบ้านก่อนจะกลับ ผ่านไปสักพักไฟฟ้าในร้านเริ่มกระพริบติดๆ ดับๆ แขกหนุ่มจึงเงยหน้ามองเหล่าดวงไฟบนผนังด้วยความหวั่นใจ จนกระทั่งสายตามองไปยังร่างระหงที่เดินดุ่มๆ มาทางส่วนครัวที่เชื่อมต่อถึงด้านหลังร้านไฟฟ้าก็ดับพรึบลง
ภายนอกได้ยินเสียงฟ้าร้องครืนครามน่ากลัว แสงฟ้าแลบสาดผ่านกระจกหน้าร้านเข้ามาวูบหนึ่ง วูบหนึ่งที่สะกดสายตาของคงยศให้นิ่งข้าง เบื้องหลังร่างระหงของพิมพ์อัปสร ปรากฏเป็นรูปร่างสตรีสามคนที่สวมใส่พัสตราภรณ์และเครื่องประดับประดุจนางอัปสรที่สลักไว้ตามปราสาทหินขอมโบราณ