ปราสาทอัปสร ตอนที่ ๑
https://ppantip.com/topic/36689225
ตอนที่ ๒
สองกรที่จีบนิ้วยกชูขึ้นสูงเพื่อเชิดชูบูชาแด่องค์ศิวะเจ้าผู้เป็นเทพอันสถิต ณ ปราสาทเบื้องหน้า เพลิงนั้นคือพลังแห่งศรัทธาและแสงสว่าง บูชาแด่ทวยไท้ผู้มีฤทธา พระองค์ทรงโปรดประทานกำลังแก่ผู้เคารพบูชาและความผาสุกสู่ผืนนครินทร์ ปกปักป้องกันมหาชนจากมหันตภัยร้ายที่หมายเข้ามากล้ำกราย แรงกายหยาดเหงื่อที่รินรดหลั่งพื้นปฐพีทุกหยาดหยดพลีเพื่อองค์ศิวะผู้สูงส่ง หินทุกก้อนที่ประกอบกันเป็นวิหารอันแสดงถึงความนอบน้อมบูชาไว้เหนือเกล้า จะตระหง่านตั้งอย่างสง่างามไปชั่วกาลนาน ประกาศถึงแรงอันศรัทธาเลื่อมใสอันพิสุทธิ์ของผู้บัลดาลสร้าง ในยุคสมัยที่ศิลปะวิทยาแห่งขอมรุ่งเรืองถึงขีดสุด ประดุจดวงศศิธรที่ลอยแจ้งสว่างกลางผืนโพยมในราตรีที่มิอาจมีดาวดวงใดหาญเปล่งแสงใกล้ทัดเทียม
แม้ในความมืดก็ยังคงพอมองเห็นความพอใจปรากฏบนผิวสีน้ำตาลเข้มที่ฉาบเคลือบใบหน้าของชายฉกรรจ์กาจสะท้อนต้องแสงเปลวเพลิงที่ร่ายระบำเบื้องหน้าเมื่อต้องวาโยที่พัดมาอย่างอ่อนโยน ใต้ไรหนวดที่จงใจไว้ให้ขึ้นรกหนาเพื่อสร้างความเข้มแข็งแห่งกายาของบุรุษเพศคือส่วนที่เปล่งวาจาที่เขยื้อนขึ้นสูง แววเนตรอันคมปลาบดำขลับโฉดฉานด้วยความปลื้มปลาบและเสน่หา ครอบครองอยู่ที่ร่างสมมุติของเทพเทวีที่เกิดจากการกวนเกษียรสมุทรของเทพและอสูรเบื้องหน้า ยามเมื่อนางเคลื่อนไหว หัวใจของเขาก็เคลื่อนตาม ยามเมื่อสองตาของนางหันมองไปยังที่ใด สองตาคมของเขาก็มองตาม ยามเมื่อนางแย้มสรวลอันหยดย้อย ริมฝีปากหยักหนาสีน้ำหมากของเขาก็ยิ้มตาม นางระบำผู้งดงามสูงค่า เปรียบประดุจเทพอัปสรในร่างมนุษย์มิผิดแผก ถอดออกมาจากรูปสลักที่รายล้อมเสาปราสาทมิต่างกัน...
ร่างกำยำล่ำสัน นุ่งผ้าฝ้ายสีแดงก่ำ ตามแผ่นหลังหนาและข้อมือนั้นสักลวดลายอักขระโบราณอันเข้มขลัง ผมยาวมัดเป็นมวยมุ่นเกล้าไว้เหนือศีรษะรัดด้วยข้อรัดเงินถักลายนาคา สันคมของกรอบหน้าหันมายังร่างบุรุษที่ใหญ่กว่าข้างกาย
“พระโหราจารย์ให้มาตามท่านไปเตรียมเฝ้าองค์หญิงขณะเสวยพระกระยาหาร ระบำอัปสราบูชาแด่องค์ศิวะเจ้าจบลงเมื่อใด พระนางจักเสด็จประทับ ณ แท่นศิลาบนยอดผา” เมื่อได้รับสาสน์จากสหายคนสนิท ร่างที่ติดตรึงอยู่กับศิลปะอันงดงามเบื้องหน้าก็หลุดออกมาจากภวังค์อันวิจิตรนั้น ใบหน้าดุดันน่าเกรงขามของเหวัชระหันไปมองด้านหลังพิธี เหล่าชาวเมืองที่เข้ามาร่วมพิธีนั่งสงบนิ่งอยู่แทบพื้น เหล่าข้าทาสที่ถูกเกณฑ์แรงงานเพื่อตัดหินจากยอดเขา เคลื่อนย้ายลากมายังที่สถิตย์แห่งนี้ เหล่านายช่างผู้แกะสลักลวดลายลงบนแผ่นหินศิลาแลง โยธาผู้วางแบบแปลนอันซับซ้อนแยบยล พราหมณ์ผู้ตรวจดูฤกษ์ชะตาอันเป็นสิริมงคลและกำหนดทิศทางแห่งวิถีที่องค์ปราสาทจะตั้งสถิตย์ล้วนทอดมองระบำอัปสราด้วยหัวใจอันตื้นตันและเปี่ยมล้นไปด้วยแรงแห่งศรัทธา ยี่สิบปีกับการก่อสร้างองค์ปราสาทเพื่อบูชาแด่องค์ศิวะเจ้า สำเร็จลุล่วงตามแรงประสงค์ของมหากษัตริย์ผู้ดำริและชาวเมืองที่พร้อมใจเสียสละแรงกายแล้ว
“ผู้คนสงบเรียบร้อยดีหรือไม่ เหล่าทหารหาญคงมิได้ชมระบำอัปสรนี่เพลินจนลืมตรวจตราตามหน้าที่นะ” เสียงคำรามนั้นทำให้ร่างบุรุษข้างกายผลิยิ้ม คชทิศยกสองแขนแข็งแกร่งขึ้นกอดอก เงยคมหน้าขึ้นทอดมองร่างอรชรที่กำลังร่ายระบำหน้าปราสาทอันงดงามวิจิตรอัศจรรย์ที่อบอวลด้วยกลิ่นไอของความมานะบากบั่นและแรงศรัทธาจากเหล่าประชาและผู้บันดาลสร้าง
“ข้าเห็นมีอยู่นายหนึ่ง เป็นทหารองครักษ์ฝีมือฉกาจ บิดาของเขานั้นไซร้เคยเป็นแม่ทัพเกรียงไกรผู้ยกทัพข้ามน้ำไปปราบกบฏเมืองเหนือ ไว้หนวดเคราเข้มขรึมมิต่างกับโจรป่า มีวาจาอันแยบคายและเคร่งในวินัยของทหารหารยิ่งกว่าผู้ใดในกองทัพ...แต่กลับอับโชคไร้คู่ปราศจากอิสตรีมาแนบกาย” สิ้นคำผู้มียศต่ำกว่าคนที่ถูกกล่าวถึงก็เผลอปากหัวเราะเสียงดังใส
“ช่างสรรหาคำมาเย้าข้าดีนักนะคชทิศ ข้าเผลอมองนางอัปสรเหล่านี้เพียงชั่วครู่ มิได้ปักใจหลงใหลใคร่จะอยากได้มาเป็นเมียดอก” สิ้นคำเขา รูปทรงองอาจก็หันหลังให้ระบำอัปสราที่ดำเนินมาจวนจะจบ ก่อนเดินนำหน้าสหายหนุ่มตรงไปยังปะลำพิธี ในขณะที่ดวงตากลมสวยคู่หนึ่งที่วางอยู่บนใบหน้ากลิ่มอมอันแต้มแต่งด้วยเครื่องประทินโฉมจนงดงามจับมองร่างของแม่ทัพหนุ่มมิวางตา จนความมืดแห่งผืนพนาอันรายล้อมรอบองค์ปราสาทกลืนร่างสง่างามของเขาหายไป
ปราสาทอัปสร ตอนที่ ๒
https://ppantip.com/topic/36689225
สองกรที่จีบนิ้วยกชูขึ้นสูงเพื่อเชิดชูบูชาแด่องค์ศิวะเจ้าผู้เป็นเทพอันสถิต ณ ปราสาทเบื้องหน้า เพลิงนั้นคือพลังแห่งศรัทธาและแสงสว่าง บูชาแด่ทวยไท้ผู้มีฤทธา พระองค์ทรงโปรดประทานกำลังแก่ผู้เคารพบูชาและความผาสุกสู่ผืนนครินทร์ ปกปักป้องกันมหาชนจากมหันตภัยร้ายที่หมายเข้ามากล้ำกราย แรงกายหยาดเหงื่อที่รินรดหลั่งพื้นปฐพีทุกหยาดหยดพลีเพื่อองค์ศิวะผู้สูงส่ง หินทุกก้อนที่ประกอบกันเป็นวิหารอันแสดงถึงความนอบน้อมบูชาไว้เหนือเกล้า จะตระหง่านตั้งอย่างสง่างามไปชั่วกาลนาน ประกาศถึงแรงอันศรัทธาเลื่อมใสอันพิสุทธิ์ของผู้บัลดาลสร้าง ในยุคสมัยที่ศิลปะวิทยาแห่งขอมรุ่งเรืองถึงขีดสุด ประดุจดวงศศิธรที่ลอยแจ้งสว่างกลางผืนโพยมในราตรีที่มิอาจมีดาวดวงใดหาญเปล่งแสงใกล้ทัดเทียม
แม้ในความมืดก็ยังคงพอมองเห็นความพอใจปรากฏบนผิวสีน้ำตาลเข้มที่ฉาบเคลือบใบหน้าของชายฉกรรจ์กาจสะท้อนต้องแสงเปลวเพลิงที่ร่ายระบำเบื้องหน้าเมื่อต้องวาโยที่พัดมาอย่างอ่อนโยน ใต้ไรหนวดที่จงใจไว้ให้ขึ้นรกหนาเพื่อสร้างความเข้มแข็งแห่งกายาของบุรุษเพศคือส่วนที่เปล่งวาจาที่เขยื้อนขึ้นสูง แววเนตรอันคมปลาบดำขลับโฉดฉานด้วยความปลื้มปลาบและเสน่หา ครอบครองอยู่ที่ร่างสมมุติของเทพเทวีที่เกิดจากการกวนเกษียรสมุทรของเทพและอสูรเบื้องหน้า ยามเมื่อนางเคลื่อนไหว หัวใจของเขาก็เคลื่อนตาม ยามเมื่อสองตาของนางหันมองไปยังที่ใด สองตาคมของเขาก็มองตาม ยามเมื่อนางแย้มสรวลอันหยดย้อย ริมฝีปากหยักหนาสีน้ำหมากของเขาก็ยิ้มตาม นางระบำผู้งดงามสูงค่า เปรียบประดุจเทพอัปสรในร่างมนุษย์มิผิดแผก ถอดออกมาจากรูปสลักที่รายล้อมเสาปราสาทมิต่างกัน...
ร่างกำยำล่ำสัน นุ่งผ้าฝ้ายสีแดงก่ำ ตามแผ่นหลังหนาและข้อมือนั้นสักลวดลายอักขระโบราณอันเข้มขลัง ผมยาวมัดเป็นมวยมุ่นเกล้าไว้เหนือศีรษะรัดด้วยข้อรัดเงินถักลายนาคา สันคมของกรอบหน้าหันมายังร่างบุรุษที่ใหญ่กว่าข้างกาย
“พระโหราจารย์ให้มาตามท่านไปเตรียมเฝ้าองค์หญิงขณะเสวยพระกระยาหาร ระบำอัปสราบูชาแด่องค์ศิวะเจ้าจบลงเมื่อใด พระนางจักเสด็จประทับ ณ แท่นศิลาบนยอดผา” เมื่อได้รับสาสน์จากสหายคนสนิท ร่างที่ติดตรึงอยู่กับศิลปะอันงดงามเบื้องหน้าก็หลุดออกมาจากภวังค์อันวิจิตรนั้น ใบหน้าดุดันน่าเกรงขามของเหวัชระหันไปมองด้านหลังพิธี เหล่าชาวเมืองที่เข้ามาร่วมพิธีนั่งสงบนิ่งอยู่แทบพื้น เหล่าข้าทาสที่ถูกเกณฑ์แรงงานเพื่อตัดหินจากยอดเขา เคลื่อนย้ายลากมายังที่สถิตย์แห่งนี้ เหล่านายช่างผู้แกะสลักลวดลายลงบนแผ่นหินศิลาแลง โยธาผู้วางแบบแปลนอันซับซ้อนแยบยล พราหมณ์ผู้ตรวจดูฤกษ์ชะตาอันเป็นสิริมงคลและกำหนดทิศทางแห่งวิถีที่องค์ปราสาทจะตั้งสถิตย์ล้วนทอดมองระบำอัปสราด้วยหัวใจอันตื้นตันและเปี่ยมล้นไปด้วยแรงแห่งศรัทธา ยี่สิบปีกับการก่อสร้างองค์ปราสาทเพื่อบูชาแด่องค์ศิวะเจ้า สำเร็จลุล่วงตามแรงประสงค์ของมหากษัตริย์ผู้ดำริและชาวเมืองที่พร้อมใจเสียสละแรงกายแล้ว
“ผู้คนสงบเรียบร้อยดีหรือไม่ เหล่าทหารหาญคงมิได้ชมระบำอัปสรนี่เพลินจนลืมตรวจตราตามหน้าที่นะ” เสียงคำรามนั้นทำให้ร่างบุรุษข้างกายผลิยิ้ม คชทิศยกสองแขนแข็งแกร่งขึ้นกอดอก เงยคมหน้าขึ้นทอดมองร่างอรชรที่กำลังร่ายระบำหน้าปราสาทอันงดงามวิจิตรอัศจรรย์ที่อบอวลด้วยกลิ่นไอของความมานะบากบั่นและแรงศรัทธาจากเหล่าประชาและผู้บันดาลสร้าง
“ข้าเห็นมีอยู่นายหนึ่ง เป็นทหารองครักษ์ฝีมือฉกาจ บิดาของเขานั้นไซร้เคยเป็นแม่ทัพเกรียงไกรผู้ยกทัพข้ามน้ำไปปราบกบฏเมืองเหนือ ไว้หนวดเคราเข้มขรึมมิต่างกับโจรป่า มีวาจาอันแยบคายและเคร่งในวินัยของทหารหารยิ่งกว่าผู้ใดในกองทัพ...แต่กลับอับโชคไร้คู่ปราศจากอิสตรีมาแนบกาย” สิ้นคำผู้มียศต่ำกว่าคนที่ถูกกล่าวถึงก็เผลอปากหัวเราะเสียงดังใส
“ช่างสรรหาคำมาเย้าข้าดีนักนะคชทิศ ข้าเผลอมองนางอัปสรเหล่านี้เพียงชั่วครู่ มิได้ปักใจหลงใหลใคร่จะอยากได้มาเป็นเมียดอก” สิ้นคำเขา รูปทรงองอาจก็หันหลังให้ระบำอัปสราที่ดำเนินมาจวนจะจบ ก่อนเดินนำหน้าสหายหนุ่มตรงไปยังปะลำพิธี ในขณะที่ดวงตากลมสวยคู่หนึ่งที่วางอยู่บนใบหน้ากลิ่มอมอันแต้มแต่งด้วยเครื่องประทินโฉมจนงดงามจับมองร่างของแม่ทัพหนุ่มมิวางตา จนความมืดแห่งผืนพนาอันรายล้อมรอบองค์ปราสาทกลืนร่างสง่างามของเขาหายไป