เช่น ทุกคนก็มีความคิด เรียนหนังสือมา มีความคิดโดยเป็นพื้นฐาน จบจาก มหาลัย โรงเรียนต่างๆมากมาย
แต่โดยพื้นฐาน ยังไม่มีปัญญา
ปัญญาแท้ที่จริงไม่ใช่ความคิด แต่มันคือ ประสบการณ์ต่างหาก เรียนรู้สิ่งที่ผิดพลาดมาแล้วไปใช้แก้ไขให้เกิดประโยนช์ต่อตนเองและผู้อื่น
หรือปัญญาอีกอย่างคือ สันติ คือความเข้าอกเข้าใจซึ้งกันและกันโดยเราเข้าไปสัมผัสสิ่งนั้นจริงๆ
หรือรู้ตามสภาพสังคมตามเป็นจริงสังคมนั้นเป็นยังไง
แต่ถ้ามีปัญญาทั้งทางโลกและทางธรรม ยิ่งดีใหญ่คือ รู้ตามเป็นจริงของจิตใจมนุษย์
หลงมีโลภ หลงมีโกรธ หลงมีหลง เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ชีวิตเราจะไม่ไปยึดมั่นสิ่งไหนดีสิ่งไหนชั่วหรือแม้แต่สิ่งไหนเป็นความเขลาก็ตามคือความเข้าไปยึดถือสิ่งนั้น
ปัญญาไม่ใช่ความคิด เป็นเหมือนประสบการณ์ ที่สัมผัสจริงๆ เข้าอกเข้าใจในสภาพนั้นๆ จนเกิดผลประโยนช์ต่อตนเองและผู้อื่น นำพาสันติสุขมาให้ ไม่เอนไปด้านใดด้านนึงคือ ความเข้าไปยึดถือว่าสิ่งนั้นเป็นของตน
ทุกวันนี้มีแต่คนเข้าไปยึดความคิดมาก ไปด่าคนนี้ทีคนนู้นที ยังไม่รู้เลยว่า ข่าวนั้นเป็นยังไงเลยกรรมมันแสดงอยู่ตลอดเวลาแต่ไม่รู้ และหลงไปตามความพอใจเป็นอันมาก ไม่รู้จิตรู้ใจตัวเอง
แม้แต่ผมเองก็เป็น กรรมมันแสดงตลอดเวลา เพราะ เราต้องเข้าใจก่อน จิตใจเป็นอนัตตามันเป็นไปเองเกลียดสิ่งไหนจะได้สิ่งนั้น ธรรมชาติบนโลกมันยุติธรรมที่สุด เพียงแต่เรายังไม่รู้สึกตัว
ยังไม่รู้จักตัวเองดีพอ ยังหลงไปโลกความคิด แต่ไม่ได้ รู้ตามความเป็นจริงของจิตใจมนุษย์เรา
อนัตตา อย่างเช่น เวลาร่างกายมีแผล มันก็รักษาตัวมันเอง
แม้กระทั่งความฝัน มันก็ฝันได้เอง เราสั่งไม่ใช่ได้ ว่าจะฝันเรื่องดีหรือไม่ดี
อนัตตา ถ้าเรากระทำกรรมสิ่งไหน หรือแม้กระทั่งความคิดก็เป็นไปเอง
รอรับผล กรรมได้เลย
นี้ ปัญญา คือรู้กายรู้ใจ จนไปเห็นอนัตตานะ
ถ้าเข้าใจตามความเป็นจริงได้ ชีวิตจะไม่เคลียดเลยหรือ น้อยลงไปเยอะมาก
เวลาเราไปเห็นใคร รู้ว่ามันบ้า แต่เราจะเข้าใจนะ เพราะเราก็เคยบ้ามาก่อน
นี้ปัญญาอยู่ตรงนี้
ปัญญาไม่ใช่ไปพิสูจน์ว่า สิ่งไหนงมงายหรือสิ่งไหนไม่งมงาย
แต่รู้ตามความเป็นจริงของจิตใจมนุษย์เรา ( ย้ำ )
กรรมนั้นจะแสดงได้เมื่อกระทำออกมา ( คิดชั่วได้ คิดดีได้ แต่อย่าแสดงออกมา )
สายกลางและปัญญา ของ พระสุคตบรมศาสดาสักยมุนี สัมมาสัมพุทธเจ้า
ปัญญาไม่ใช่ความคิด
แต่โดยพื้นฐาน ยังไม่มีปัญญา
ปัญญาแท้ที่จริงไม่ใช่ความคิด แต่มันคือ ประสบการณ์ต่างหาก เรียนรู้สิ่งที่ผิดพลาดมาแล้วไปใช้แก้ไขให้เกิดประโยนช์ต่อตนเองและผู้อื่น
หรือปัญญาอีกอย่างคือ สันติ คือความเข้าอกเข้าใจซึ้งกันและกันโดยเราเข้าไปสัมผัสสิ่งนั้นจริงๆ
หรือรู้ตามสภาพสังคมตามเป็นจริงสังคมนั้นเป็นยังไง
แต่ถ้ามีปัญญาทั้งทางโลกและทางธรรม ยิ่งดีใหญ่คือ รู้ตามเป็นจริงของจิตใจมนุษย์
หลงมีโลภ หลงมีโกรธ หลงมีหลง เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ชีวิตเราจะไม่ไปยึดมั่นสิ่งไหนดีสิ่งไหนชั่วหรือแม้แต่สิ่งไหนเป็นความเขลาก็ตามคือความเข้าไปยึดถือสิ่งนั้น
ปัญญาไม่ใช่ความคิด เป็นเหมือนประสบการณ์ ที่สัมผัสจริงๆ เข้าอกเข้าใจในสภาพนั้นๆ จนเกิดผลประโยนช์ต่อตนเองและผู้อื่น นำพาสันติสุขมาให้ ไม่เอนไปด้านใดด้านนึงคือ ความเข้าไปยึดถือว่าสิ่งนั้นเป็นของตน
ทุกวันนี้มีแต่คนเข้าไปยึดความคิดมาก ไปด่าคนนี้ทีคนนู้นที ยังไม่รู้เลยว่า ข่าวนั้นเป็นยังไงเลยกรรมมันแสดงอยู่ตลอดเวลาแต่ไม่รู้ และหลงไปตามความพอใจเป็นอันมาก ไม่รู้จิตรู้ใจตัวเอง
แม้แต่ผมเองก็เป็น กรรมมันแสดงตลอดเวลา เพราะ เราต้องเข้าใจก่อน จิตใจเป็นอนัตตามันเป็นไปเองเกลียดสิ่งไหนจะได้สิ่งนั้น ธรรมชาติบนโลกมันยุติธรรมที่สุด เพียงแต่เรายังไม่รู้สึกตัว
ยังไม่รู้จักตัวเองดีพอ ยังหลงไปโลกความคิด แต่ไม่ได้ รู้ตามความเป็นจริงของจิตใจมนุษย์เรา
อนัตตา อย่างเช่น เวลาร่างกายมีแผล มันก็รักษาตัวมันเอง
แม้กระทั่งความฝัน มันก็ฝันได้เอง เราสั่งไม่ใช่ได้ ว่าจะฝันเรื่องดีหรือไม่ดี
อนัตตา ถ้าเรากระทำกรรมสิ่งไหน หรือแม้กระทั่งความคิดก็เป็นไปเอง
รอรับผล กรรมได้เลย
นี้ ปัญญา คือรู้กายรู้ใจ จนไปเห็นอนัตตานะ
ถ้าเข้าใจตามความเป็นจริงได้ ชีวิตจะไม่เคลียดเลยหรือ น้อยลงไปเยอะมาก
เวลาเราไปเห็นใคร รู้ว่ามันบ้า แต่เราจะเข้าใจนะ เพราะเราก็เคยบ้ามาก่อน
นี้ปัญญาอยู่ตรงนี้
ปัญญาไม่ใช่ไปพิสูจน์ว่า สิ่งไหนงมงายหรือสิ่งไหนไม่งมงาย
แต่รู้ตามความเป็นจริงของจิตใจมนุษย์เรา ( ย้ำ )
กรรมนั้นจะแสดงได้เมื่อกระทำออกมา ( คิดชั่วได้ คิดดีได้ แต่อย่าแสดงออกมา )
สายกลางและปัญญา ของ พระสุคตบรมศาสดาสักยมุนี สัมมาสัมพุทธเจ้า