ทุกคนบนโลกก็คิดเป็น แม้แต่สัตว์เลี้ยงบ้านเรายังคิดเป็น
แถมสัตว์เลี้ยงบ้านเราไม่ได้คิดเป็นอย่างเดียวด้วย
แถมมัน รู้จิตใจเจ้านาย เจ้าของเป็นอย่างดี
นี้คงถูกใจคนรักสัตว์ ไม่น้อยเลยพอได้อ่านเข้า
แต่ผมจะกล่าวต่อไปอีกว่า ปัญญาไม่ใช่ความคิดแต่เป็นการรู้
อาจจะสงสัย รู้ คืออะไร
ก็คือ รู้จิตรู้ใจตัวเองนั้นเอง หรือ รู้ รูป - นาม จนเห็นเป็นไตรลักษณ์
รู้สึกตัว
ทุกคนบนโลกไม่มีความรู้สึกตัวเลยหลงตามไปความเพลินแต่ความสุข จนลืมจิตลืมใจตัวเอง และหลงไปตามความคิดเข้าไปยึดถือสิ่งต่างๆ
ยึดว่าวิทยาศาสตร์เป็นของตน แล้วเอาแต่หาข้อพิสูจน์
จริงหรือป่าว ทั้งๆที่วิทยาศาสตร์ต้องเป็นของผู้ค้นพบ
แต่!
มันก็จะเอนไปทางยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวเป็นตน
และความงมงาย คนเหล่านี้เขาก็เชื่อกันปากต่อปากว่า ผีมีจริง เทวดามีจริง นี้มันก็เพี้ยนเข้าไปยึดสิ่งที่เพ้อฝัน จนดูเหมือนเป็นคนบ้า
( แต่ทำไงได้ ก็ด้วยความอยากมี อยากเป็น อยากได้ )
แล้วแบ่งคนกลุ่มที่เชื่อความงมงายและ คนต่อต้านสิ่งงมงาย
มันมาเจอกัน มันก็ต้องรบกัน
( นี้ถ้าไม่มีกฏหมายมันคงฆ่ากันตายแล้ว แต่ธรรมชาติของจิตใจมนุษย์อยู่ด้วยความกลัวและ รักตัวเอง นะ )
แต่หารู้ไม่ คือ ความเข้าไปยึดถือ มันก็เพี้ยนกันตามไป หลงไปตามกิเลสความพอใจไปมองคนนั้นงมงายเป็นคนโง่ คิดไปเอง เพ้อไปเอง หรือ หลงไปความอยากได้ อยากมี อยากเป็น ก็เลยไปเชื่อเทวดา ผีต่างๆ
มันไม่มีหรอกคนเชื่อและไม่เชื่อหรือคนอยู่
ู่ระหว่างกลาง
มันมีแต่ อุปาทานเข้าไปยึดถือมั่นถือมั่นสิ่งทั้งหลาย
นี้อธิบายสุดโต่งสองด้าน หรืออีกอย่าง สิ่งใด สิ่งหนึ่ง ความเข้าไปยึดว่ามีตัวมีตน
คราวนี้จะอธิบาย การรู้คือ ปัญญา
ปัญญาไม่ใช่ความคิด แต่เป็นการรู้สึกของกายของใจ
รู้ทันความรู้สึก
ขี้เกียดก็รู้ โกรธก็รู้ น้อยใจก็รู้ รู้สึกอารมณ์มากระทบ
ไม่ใช่ไปรู้เรื่องราวที่คิด แต่รู้สึกว่า เวลาเราโกรธ คำพูดคำจาจะเปลี่ยนไปพอความโกรธหายเราจะมีความคิดอีกแบบ
ธรรมคือ รู้ รู้สึก จนเป็นไปความจริงของจิตใจ เป็นไตรลักษณ์
และไปรู้ว่า เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ของจิตใจมนุษย์
สรุป
ธรรมพระสัมมาสัมพูทธเจ้า ไม่มีอะไรมากแค่ รู้ รู้สึกสภาวะต่างๆทางจิตใจ ไม่ต้องคิดหาเหตุหาผลอะไรหรือแก้ต่างกับตัวเองยังไง คือ รู้ไปตรงๆของใจ
แล้วเราก็จะได้ปัญญามาตามความเป็นจริง
สายกลาง สามารถใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย และนำพาไปประกอบการงานได้หรือใช้ชีวิตประจำวันปกติ เมื่อรู้ถูกเข้าใจถูก
เมื่อรู้ทุกข์ ได้แล้ว
อริยมรรคมีองศ์ 8 จะเกิดขึ้นเอง สั่งไม่ได้
ทำที่เหตุ รู้ที่เหตุ ผลก็จะงอกงามเอง ( เหตุเกิด โกรธก็รู้ ไม่พอใจก็รู้ ชอบใจก็รู้ แค่รู้สึกของกายของใจ )
เพราะจิตเป็นอนัตตานั้นเอง
( แต่ใครกิเลสหนา จิตจมมากต้องฝืน หัดข่มใจ ไม่ให้หลงไปทำชั่ว แล้วก็จะเกิดผลงอกงามตามลำดับ )
ย้ำ ธรรมต้องปฏิบัติเชื่อด้วยตัวเอง ถ้าไปเจอ เทวดา จงอย่าเชื่ออะไรโดยง่ายแม้แต่ความคิดตัวเอง อาจหลอนก้ได้
แค่ปฏิบัติ รู้ว่า ความคิดเราเองยังไม่คงที่เลย หลงๆ ลืมๆ จำได้บ้าง จำไม่ได้บ้าง
ปัญญาไม่ใช่ความคิดแต่เป็นการรู้ ( คนงมงาย กับ คนไม่เชื่อสิ่งงมงาย )
แถมสัตว์เลี้ยงบ้านเราไม่ได้คิดเป็นอย่างเดียวด้วย
แถมมัน รู้จิตใจเจ้านาย เจ้าของเป็นอย่างดี
นี้คงถูกใจคนรักสัตว์ ไม่น้อยเลยพอได้อ่านเข้า
แต่ผมจะกล่าวต่อไปอีกว่า ปัญญาไม่ใช่ความคิดแต่เป็นการรู้
อาจจะสงสัย รู้ คืออะไร
ก็คือ รู้จิตรู้ใจตัวเองนั้นเอง หรือ รู้ รูป - นาม จนเห็นเป็นไตรลักษณ์
รู้สึกตัว
ทุกคนบนโลกไม่มีความรู้สึกตัวเลยหลงตามไปความเพลินแต่ความสุข จนลืมจิตลืมใจตัวเอง และหลงไปตามความคิดเข้าไปยึดถือสิ่งต่างๆ
ยึดว่าวิทยาศาสตร์เป็นของตน แล้วเอาแต่หาข้อพิสูจน์
จริงหรือป่าว ทั้งๆที่วิทยาศาสตร์ต้องเป็นของผู้ค้นพบ
แต่!
มันก็จะเอนไปทางยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวเป็นตน
และความงมงาย คนเหล่านี้เขาก็เชื่อกันปากต่อปากว่า ผีมีจริง เทวดามีจริง นี้มันก็เพี้ยนเข้าไปยึดสิ่งที่เพ้อฝัน จนดูเหมือนเป็นคนบ้า
( แต่ทำไงได้ ก็ด้วยความอยากมี อยากเป็น อยากได้ )
แล้วแบ่งคนกลุ่มที่เชื่อความงมงายและ คนต่อต้านสิ่งงมงาย
มันมาเจอกัน มันก็ต้องรบกัน
( นี้ถ้าไม่มีกฏหมายมันคงฆ่ากันตายแล้ว แต่ธรรมชาติของจิตใจมนุษย์อยู่ด้วยความกลัวและ รักตัวเอง นะ )
แต่หารู้ไม่ คือ ความเข้าไปยึดถือ มันก็เพี้ยนกันตามไป หลงไปตามกิเลสความพอใจไปมองคนนั้นงมงายเป็นคนโง่ คิดไปเอง เพ้อไปเอง หรือ หลงไปความอยากได้ อยากมี อยากเป็น ก็เลยไปเชื่อเทวดา ผีต่างๆ
มันไม่มีหรอกคนเชื่อและไม่เชื่อหรือคนอยู่
ู่ระหว่างกลาง
มันมีแต่ อุปาทานเข้าไปยึดถือมั่นถือมั่นสิ่งทั้งหลาย
นี้อธิบายสุดโต่งสองด้าน หรืออีกอย่าง สิ่งใด สิ่งหนึ่ง ความเข้าไปยึดว่ามีตัวมีตน
คราวนี้จะอธิบาย การรู้คือ ปัญญา
ปัญญาไม่ใช่ความคิด แต่เป็นการรู้สึกของกายของใจ
รู้ทันความรู้สึก
ขี้เกียดก็รู้ โกรธก็รู้ น้อยใจก็รู้ รู้สึกอารมณ์มากระทบ
ไม่ใช่ไปรู้เรื่องราวที่คิด แต่รู้สึกว่า เวลาเราโกรธ คำพูดคำจาจะเปลี่ยนไปพอความโกรธหายเราจะมีความคิดอีกแบบ
ธรรมคือ รู้ รู้สึก จนเป็นไปความจริงของจิตใจ เป็นไตรลักษณ์
และไปรู้ว่า เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ของจิตใจมนุษย์
สรุป
ธรรมพระสัมมาสัมพูทธเจ้า ไม่มีอะไรมากแค่ รู้ รู้สึกสภาวะต่างๆทางจิตใจ ไม่ต้องคิดหาเหตุหาผลอะไรหรือแก้ต่างกับตัวเองยังไง คือ รู้ไปตรงๆของใจ
แล้วเราก็จะได้ปัญญามาตามความเป็นจริง
สายกลาง สามารถใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย และนำพาไปประกอบการงานได้หรือใช้ชีวิตประจำวันปกติ เมื่อรู้ถูกเข้าใจถูก
เมื่อรู้ทุกข์ ได้แล้ว
อริยมรรคมีองศ์ 8 จะเกิดขึ้นเอง สั่งไม่ได้
ทำที่เหตุ รู้ที่เหตุ ผลก็จะงอกงามเอง ( เหตุเกิด โกรธก็รู้ ไม่พอใจก็รู้ ชอบใจก็รู้ แค่รู้สึกของกายของใจ )
เพราะจิตเป็นอนัตตานั้นเอง
( แต่ใครกิเลสหนา จิตจมมากต้องฝืน หัดข่มใจ ไม่ให้หลงไปทำชั่ว แล้วก็จะเกิดผลงอกงามตามลำดับ )
ย้ำ ธรรมต้องปฏิบัติเชื่อด้วยตัวเอง ถ้าไปเจอ เทวดา จงอย่าเชื่ออะไรโดยง่ายแม้แต่ความคิดตัวเอง อาจหลอนก้ได้
แค่ปฏิบัติ รู้ว่า ความคิดเราเองยังไม่คงที่เลย หลงๆ ลืมๆ จำได้บ้าง จำไม่ได้บ้าง