จากการทำ
นั่งสมาธิ คือ สมถะ ฝึกสติรู้ตัว
เดินจงกรม วิปัสสนา คือ เกิดดวงตาเห็นธรรมเกิดปัญญาในการแยกรูปแยกนาม สิ่งใดสมมุติ สิ่งใดคือความยึดมั่นถือมั่นในสมมุติ ผู้ใดมาด้วยความยึดมั่นถือมั่นใดในสมมุติ
เข้าใจว่าการวิปัสสนาทำได้ทุกที่ กินนั่งยืนเดินนอน ดูว่าเวทนากุศลอกุศลใดเกิดนิวรณ์ใดเกิด เกิดการมองธาตุขันธ์ในทุกๆอย่างตามกำลังสมถะคือสติรู้
เมื่อไหร่หยุดนั่งสมาธิคือสมถะ สติรู้ จะเสื่อมลงรู้ตัวบ้างไม่รู้ตัวบ้าง มิน่าถึงว่า ตถาคตจึงบอกให้ ละนันทิ
แต่ปัญญาในการแยกรูปแยกนามยังเหมือนปกติ เมื่อได้พิจารณา เช่น มองออกว่า ใครมาด้วยตวามยึดมั่นถือมั่น ในกฎเกณฑ์ใดๆ ว่าที่เจ้าตัวยึดไว้ว่า ถ้าไม่จริงตามนี้คือ ถูกผิด ดีชั่ว บุญบาป คือหลงกฎเกณฑ์ ยึดถือมั่นในกฎเกณฑ์สมมุติ
อะไรคือต่างจากนี้คือผิดหมด
จะมองเเต่ความเป็นจริงโดยไม่ใช้ความคิด แต่ยังมีความคิดที่ผุดขึ้นมาอยู่บ้าง เมื่อเกิดสัญญา จนสังขารปรุงแต่งแต่จะระลึกรู้ ดับทันที
อุปมาคือ เมื่อมองบุคคล จะมองออกว่า เค้ายึดมั่นถือมั่น ในฝั่งเลข 6 หรือ เลข 9
และ พิจราณา ออกว่าผู้สนทนายึดมั่น ในฝั่งใด
แท้จริงแล้ว แค่เอาตัวเองออกมาจากฝั่งใดฝั่งหนึ่ง และมองตามความเป็นจริง เรียกว่า ถคตา คือเกิดดวงตาเห็นธรรม
แต่แท้จริงแล้วหลักของศาสดาไม่เคยสอนให้พิจารณาผู้อื่น แต่สอนให้พิจารณาตัวเอง มองตัวเองเท่าทันตัวเองเป็นหลัก
แต่ผมคิดว่าตัวเองเป็นวิปัสสนูเพราะผมเคยหลงว่าตัวเองบรรลุธรรมมาไม่รู้กี่ร้อยรอบแล้วครับ
ไม่ต้องก๊อปข้อความมาลงนะครับ ผมอ่านมาพอแล้ว ทุกคนเค้าอ่านเหมือนคุณละครับ มี กูเกิ้ลเหมือนคุณ
ถ้าจะสนทนาธรรม เอาธรรมจากการปฎิบัติมาสนทนานะครับ เพื่อประโยชน์แก่ตนเองและผู้ปฎิบัติด้วยกันนะครับ
01.33 16/11/67 อัพเดท
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาหล่อหลอมให้ผมพิจารณาตัวเองมากยิ่งขึ้น จากการดูจิตและดูกิเลสตัวเองในแต่ละการแสดงความคิดเห็น สรุปตัวเองแล้วว่า หลง ยังต้องฝึกอีกเยอะ และขออภัยหากกระแทกกิเลสตัวใดของท่านจนสะดุ้ง ขอบคุณทุกท่านครับ
ผมบรรลุธรรมแล้วครับ
นั่งสมาธิ คือ สมถะ ฝึกสติรู้ตัว
เดินจงกรม วิปัสสนา คือ เกิดดวงตาเห็นธรรมเกิดปัญญาในการแยกรูปแยกนาม สิ่งใดสมมุติ สิ่งใดคือความยึดมั่นถือมั่นในสมมุติ ผู้ใดมาด้วยความยึดมั่นถือมั่นใดในสมมุติ
เข้าใจว่าการวิปัสสนาทำได้ทุกที่ กินนั่งยืนเดินนอน ดูว่าเวทนากุศลอกุศลใดเกิดนิวรณ์ใดเกิด เกิดการมองธาตุขันธ์ในทุกๆอย่างตามกำลังสมถะคือสติรู้
เมื่อไหร่หยุดนั่งสมาธิคือสมถะ สติรู้ จะเสื่อมลงรู้ตัวบ้างไม่รู้ตัวบ้าง มิน่าถึงว่า ตถาคตจึงบอกให้ ละนันทิ
แต่ปัญญาในการแยกรูปแยกนามยังเหมือนปกติ เมื่อได้พิจารณา เช่น มองออกว่า ใครมาด้วยตวามยึดมั่นถือมั่น ในกฎเกณฑ์ใดๆ ว่าที่เจ้าตัวยึดไว้ว่า ถ้าไม่จริงตามนี้คือ ถูกผิด ดีชั่ว บุญบาป คือหลงกฎเกณฑ์ ยึดถือมั่นในกฎเกณฑ์สมมุติ
อะไรคือต่างจากนี้คือผิดหมด
จะมองเเต่ความเป็นจริงโดยไม่ใช้ความคิด แต่ยังมีความคิดที่ผุดขึ้นมาอยู่บ้าง เมื่อเกิดสัญญา จนสังขารปรุงแต่งแต่จะระลึกรู้ ดับทันที
อุปมาคือ เมื่อมองบุคคล จะมองออกว่า เค้ายึดมั่นถือมั่น ในฝั่งเลข 6 หรือ เลข 9
และ พิจราณา ออกว่าผู้สนทนายึดมั่น ในฝั่งใด
แท้จริงแล้ว แค่เอาตัวเองออกมาจากฝั่งใดฝั่งหนึ่ง และมองตามความเป็นจริง เรียกว่า ถคตา คือเกิดดวงตาเห็นธรรม
แต่แท้จริงแล้วหลักของศาสดาไม่เคยสอนให้พิจารณาผู้อื่น แต่สอนให้พิจารณาตัวเอง มองตัวเองเท่าทันตัวเองเป็นหลัก
แต่ผมคิดว่าตัวเองเป็นวิปัสสนูเพราะผมเคยหลงว่าตัวเองบรรลุธรรมมาไม่รู้กี่ร้อยรอบแล้วครับ
ไม่ต้องก๊อปข้อความมาลงนะครับ ผมอ่านมาพอแล้ว ทุกคนเค้าอ่านเหมือนคุณละครับ มี กูเกิ้ลเหมือนคุณ
ถ้าจะสนทนาธรรม เอาธรรมจากการปฎิบัติมาสนทนานะครับ เพื่อประโยชน์แก่ตนเองและผู้ปฎิบัติด้วยกันนะครับ
01.33 16/11/67 อัพเดท
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาหล่อหลอมให้ผมพิจารณาตัวเองมากยิ่งขึ้น จากการดูจิตและดูกิเลสตัวเองในแต่ละการแสดงความคิดเห็น สรุปตัวเองแล้วว่า หลง ยังต้องฝึกอีกเยอะ และขออภัยหากกระแทกกิเลสตัวใดของท่านจนสะดุ้ง ขอบคุณทุกท่านครับ