เรียน ท่านผู้มีความสว่างในธรรม ครับ
ตัวผมเองนั่งสมาธิมาเรื่อยๆ ตั้งแต่เด็กๆ หลงทางหลายครั้ง แต่ก็มีโอกาสในการพบเจอสภาวะทั้งสมถะ และวิปัสนามาบ้าง และเป็นผู้ยังแสวงหาทางที่สุดในการสิ้นอาสวะ ได้เห็นการตอบคำถามในพันทิพของท่าน แล้วรู้สึกแปลกใจ แต่ก็แฝงไปด้วยเนื้อหาบางอย่างที่ผมค่อนจะรู้สึกเข้าใจได้เองจากคำตอบของท่าน และก็ได้พบอีกหลายกระทู้ จนผมยอมรับว่าติดตามและ ค้นหาอ่านการตอบสภาวะธรรมของท่านหลายกระทู้ ในเวลาที่ผ่านมา จนเวลาล่วงเลยมาถึง ณ เวลานี้
วันนี้เป็นอีกครั้งที่ผมแสวงหาสิ่งที่มาเทียบกับสิ่งที่ผม กำลังเจอ (อยากรู้ว่าตนเองก้าวหน้าบางหรือเปล่า)
สภาวะกำลังเจอ คือ ประมาณเกือบเดือนรู้สึกถึงการเต้นของชีพจร การเต้นของหัวใจ รู้เนื้อรู้ตัวไม่ได้ตกใจประการใด เมื่อก่อนต้องนั่งในรูปแบบแล้วรับรู้ค่อยรับรู้ได้ ผมทำกรรมฐานทำสมาธิด้วยการนั่งกำหนด ลมเข้าและออกด้วยการรู้สึกทั้งตัว มี อาการซาบซ่านบ่อยๆในขณะนั่งสมาธิในรูปแบบ จนปัจุบันไม่ได้สนใจ เพราะน่าจะติดกับความซาบซ่านนี้มานานจนเหมือนว่าทำเมื่อไหร่ก็มา แต่มีเอามาเล่นบ้างโดยใช้ รับรู้ความรู้สึกจากพระเครื่อง โดยถ้ากำหนดจิตที่พระในอุ้งมือบางองค์รับรู้ จนขนลุกซู่ทั้งตัว แต่บางองค์ไม่มีอาการนี้
แต่ปัจจุบันอยู่ในชีวิตประจำวันก็รับรู้อาการเต้นของคหัวใจและชีพจรได้บ่อยครั้งขึ้น ในท่านั่ง ท่ายืน ทางเดินบางครั้ง ออกกำลังกายยิ่งรับรู้ได้ชัดว่าหัวใจเต้นเร็วและแรง แต่สภาวะนั่งจะรับรู้ได้ชัดที่สุด มากกว่ายืน เดิน และบางครั้ง มีอาการวูบวาบ ซาบซ่านบ้าง ถ้ากำหนดอยู่กับการเต้นของชีพจรทั่วร่างกาย
ตอนนี้ส่วนตัวผมคิดเอาเองว่า สติผมละเอียดจนจับอาการทางกายได้ชัด สิ่งที่ปฏบัติอยู่อยู่กับควาร การเต้นของชีพจร การเต้นของหัวใจ ลมหายใจ ทั้งการดำเนินชีวิต และเมื่อนั่งสมาธิในรูปแบบ พิจารณาความเป็นอนัตตาว่าผมอยู่ในยานพหนะอันนึง มีสิ่งที่ผมควบคุมไม่ได้มากมายในนี้
จิตผมไม่มีจริตที่ส่งออกไปดูภายนอก ไม่เคยมองเห็นเทวดา ผี แต่จิตรับรู้รู้สึกอยู่แต่ภายในครับ หลายครั้งอยากไปดูบ้างแต่เขาไม่ไป อาจเป็นเพราะไปไม่เป็นก็ได้ครับ
สิ่งที่ผมอยากขอให้ท่านเมตตาคือ
1. อธิบายคำว่ามนัสิการแสงสีขาว เพิ่มเติมให้กระผมด้วยครับ
2. แนะนำผมด้วยครับว่าผมควรดำเนินนมสิการแสงสีขาวด้วยหรือไม่ หรือต้องทำเช่นใดบ้าง เพื่อพัฒนาตนให้เป็นผู้สิ้นอาสวะ
3. ยังมีสภาวะบางอย่างที่ไปได้แบบฟลุ๊คๆ ซึ่งเป็นเพราะยังไม่เข้าใจในเหตุ เลยควบคุมผลไม่ได้ เอาไว้ขอให้ท่านเมตตาในภายหลังครับ
ขออนุโมทามิ... ในความเมตตาที่ท่านมีทั้งก่อนหน้านี้แก่ผู้อื่นซึ่งได้ยังประโยชน์แก่ตัวกระผมด้วย และต่อจากนี้ต่อไป ด้วยครับ
ขอความรู้ในสภาวะธรรมที่ปรากฎ
ตัวผมเองนั่งสมาธิมาเรื่อยๆ ตั้งแต่เด็กๆ หลงทางหลายครั้ง แต่ก็มีโอกาสในการพบเจอสภาวะทั้งสมถะ และวิปัสนามาบ้าง และเป็นผู้ยังแสวงหาทางที่สุดในการสิ้นอาสวะ ได้เห็นการตอบคำถามในพันทิพของท่าน แล้วรู้สึกแปลกใจ แต่ก็แฝงไปด้วยเนื้อหาบางอย่างที่ผมค่อนจะรู้สึกเข้าใจได้เองจากคำตอบของท่าน และก็ได้พบอีกหลายกระทู้ จนผมยอมรับว่าติดตามและ ค้นหาอ่านการตอบสภาวะธรรมของท่านหลายกระทู้ ในเวลาที่ผ่านมา จนเวลาล่วงเลยมาถึง ณ เวลานี้
วันนี้เป็นอีกครั้งที่ผมแสวงหาสิ่งที่มาเทียบกับสิ่งที่ผม กำลังเจอ (อยากรู้ว่าตนเองก้าวหน้าบางหรือเปล่า)
สภาวะกำลังเจอ คือ ประมาณเกือบเดือนรู้สึกถึงการเต้นของชีพจร การเต้นของหัวใจ รู้เนื้อรู้ตัวไม่ได้ตกใจประการใด เมื่อก่อนต้องนั่งในรูปแบบแล้วรับรู้ค่อยรับรู้ได้ ผมทำกรรมฐานทำสมาธิด้วยการนั่งกำหนด ลมเข้าและออกด้วยการรู้สึกทั้งตัว มี อาการซาบซ่านบ่อยๆในขณะนั่งสมาธิในรูปแบบ จนปัจุบันไม่ได้สนใจ เพราะน่าจะติดกับความซาบซ่านนี้มานานจนเหมือนว่าทำเมื่อไหร่ก็มา แต่มีเอามาเล่นบ้างโดยใช้ รับรู้ความรู้สึกจากพระเครื่อง โดยถ้ากำหนดจิตที่พระในอุ้งมือบางองค์รับรู้ จนขนลุกซู่ทั้งตัว แต่บางองค์ไม่มีอาการนี้
แต่ปัจจุบันอยู่ในชีวิตประจำวันก็รับรู้อาการเต้นของคหัวใจและชีพจรได้บ่อยครั้งขึ้น ในท่านั่ง ท่ายืน ทางเดินบางครั้ง ออกกำลังกายยิ่งรับรู้ได้ชัดว่าหัวใจเต้นเร็วและแรง แต่สภาวะนั่งจะรับรู้ได้ชัดที่สุด มากกว่ายืน เดิน และบางครั้ง มีอาการวูบวาบ ซาบซ่านบ้าง ถ้ากำหนดอยู่กับการเต้นของชีพจรทั่วร่างกาย
ตอนนี้ส่วนตัวผมคิดเอาเองว่า สติผมละเอียดจนจับอาการทางกายได้ชัด สิ่งที่ปฏบัติอยู่อยู่กับควาร การเต้นของชีพจร การเต้นของหัวใจ ลมหายใจ ทั้งการดำเนินชีวิต และเมื่อนั่งสมาธิในรูปแบบ พิจารณาความเป็นอนัตตาว่าผมอยู่ในยานพหนะอันนึง มีสิ่งที่ผมควบคุมไม่ได้มากมายในนี้
จิตผมไม่มีจริตที่ส่งออกไปดูภายนอก ไม่เคยมองเห็นเทวดา ผี แต่จิตรับรู้รู้สึกอยู่แต่ภายในครับ หลายครั้งอยากไปดูบ้างแต่เขาไม่ไป อาจเป็นเพราะไปไม่เป็นก็ได้ครับ
สิ่งที่ผมอยากขอให้ท่านเมตตาคือ
1. อธิบายคำว่ามนัสิการแสงสีขาว เพิ่มเติมให้กระผมด้วยครับ
2. แนะนำผมด้วยครับว่าผมควรดำเนินนมสิการแสงสีขาวด้วยหรือไม่ หรือต้องทำเช่นใดบ้าง เพื่อพัฒนาตนให้เป็นผู้สิ้นอาสวะ
3. ยังมีสภาวะบางอย่างที่ไปได้แบบฟลุ๊คๆ ซึ่งเป็นเพราะยังไม่เข้าใจในเหตุ เลยควบคุมผลไม่ได้ เอาไว้ขอให้ท่านเมตตาในภายหลังครับ
ขออนุโมทามิ... ในความเมตตาที่ท่านมีทั้งก่อนหน้านี้แก่ผู้อื่นซึ่งได้ยังประโยชน์แก่ตัวกระผมด้วย และต่อจากนี้ต่อไป ด้วยครับ