ช่วงหลังๆมานี้เห็นข่าวผู้ป่วยโรคซึมเศร้าเป็นจำนวนมาก บางรายฆ่าตัวตายสำเร็จ บางรายฆ่าตัวตายไม่สำเร็จ และบางท่านยังไม่เข้าใจผู้ป่วยโรคนี้ บางท่านอาจจะมีความคิดว่าพวกเขาเหล่านี้คือคนบ้าน (ดังเช่นคนสมัยก่อนมักจะบอกว่าป็นบ้า) จริงๆแล้วเราจะบอกว่า ผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้เค้าไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเค้ากำลังป่วย หรือเริ่มป่วยตอนไหน สิ่งที่อยากบอกเล่าต่อไปนี้คือเรื่องจริงในชีวิตของ จขกท เอง ที่อยากบอกผ่านตัวอักษรเหล่านี้ให้ทุกท่านได้ลองคิด ลองมองในแง่มุมของผู้ป่วยบ้าง
เราเกิดมาในครอบครัวฐานะปานกลางค่อนไปทางยากจน การใช้ชีวิตปกติเหมือนครอบครัวทั่วไป ครอบครัวไม่มีปัญหา แต่ด้วยความลำบากทำให้เราไม่มีโอกาสเหมือนเพื่อนๆ เราต้องดิ้นรน ช่วยครอบครัวทำงาน แบ่งเบาภาระพ่อและแม่ ไม่มีสังคม เพื่อนฝูง เพราะต้องช่วยเหลือที่บ้านดูแลน้องตลอดจนงานบ้านอื่นๆ
ครั้งแรกที่จำได้คืออายุ 10 ขวบ อยู่ๆก็รู้สึกน้อยใจหรือไม่พอใจที่ต้องเห็นพ่อแม่ลำบาก อยู่ๆก็คิดว่าไม่อยากอยู่แล้วโลกนี้มันน่าเบื่อมาก ไม่มีอารมณ์เล่นกับเพื่อน รู้สึกเฉยๆกับสิ่งรอบตัว จึงคิดกินยาฆ่าตัวตายตอนอายุ 10 ขวบ !!! ด้วยที่ผนังข้างฝาที่บ้านมียาหนึ่งกระปุกอ่านออกเพียงว่า ยาเซทริซิน มีฤทธิ์ทำให้ง่วงนอน เท่านั้น เราเตรียมใส่ถุงไว้บนหัวนอน 100 เม็ด และเขียนแปะไว้ว่ายาฆ่าตัวตาย !!! แต่เรายังไม่กินเพียงเตรียมไว้เฉยๆ แต่พอตกรุ่งเช้ามาถุงยานั้นหายไป เราคิดว่าแม่อาจจะเข้ามาดูห้องนอนของเราและเก็บยาออกไป หลังจากวันนั้นแม่พูดจาดีขึ้น ใช้เวลากับเรามากขึ้น และคุยกันมากขึ้นจากที่ไม่ค่อยได้คุยกันเพราะแม่ทำงานเหนื่อย กินข้าวแล้วก็หลับ ต่างคนต่างนอน และฉันก็ไม่มีความรู้สึก ไม่มีความคิดนั้นอีกเลยนั้นอีกเลย (แต่ก็มีกรีดข้อมมือตอนขึ้น ม.1 เพราะเพื่อนๆเค้าจะฮิตกรีดข้อมือแล้วเอามานับกันว่าใครกรีดได้เยอะ ถ้าใครไม่กรีดเพื่อนจะไม่ยอมให้เข้ากลุ่ม ซึ่งเราเห็นเพื่อนทำก็ทำตาม เพราะจะได้เป็นที่ยอมรับของเพื่อน)
จนกระทั่ง อายุ 14 ปี เหตุการณ์เหล่านั้น อารมณ์ ความคิดแบบนั้นไม่ได้เกิดกับเรา แต่เกิดกับพ่อของเรา !!! พ่อเราผูกคอตายสำเร็จ !!! คนที่พบเชือกที่แขวนบานพับหน้าต่างคนแรกคือน้องชาย การตายของพ่อไม่มีใครบอกได้ว่าสาเหตุมาจากอะไร แต่น่าจะเป็นเพราะพ่อน้อยใจแม่ หรืออาจเป็นเรื่องของคนสองคนระหว่างพ่อกับแม่ ที่พ่อไม่สามารถหาทางออกได้ จึงทำให้พ่อตัดสินใจทำแบบนี้ และสำเร็จด้วย จากเหตุการณ์วันนั้นฉันต้องรับภาระหนักสุดเพราะเป็นพี่สาวคนโต ออกจากโรงเรียนเพื่อที่มาช่วยแม่ทำงาน ใช้จ่ายในครอบครัว ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี แต่ยังไม่ลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับพ่อ คิดโกรธว่าพ่อตัดช่องน้อยแต่พอตัว ต้องทำให้คนข้างหลังต้องลำบาก
จนกระทั่ง อายุ 17 ปี อารมณ์เบื่อหน่าย อยู่ๆก็อยากนอนหลับไปเฉยๆไม่อยากรับรู้อะไรแล้ว เหนื่อยมาก กับการใช้ชีวิต เราจึงคิดฆ่าตัวตายอีกครั้ง โดยการกินยาแก้แพ้ 100 เม็ด แต่เพื่อนข้างห้อง เรียกคนมาช่วย เพราะเค้าบอกเรียกเราตั้งนานแล้วไม่ได้ยินเสียงเลยให้คนพังประตูมาช่วย เราล้างท้องทัน
เราได้รับการคุยกับแผนกจิตเวชอย่างเป็นทางการ เรามีอาการเหม่อลอย เอามือชกกระจกของโรงพยาบาลแตกเสียหาย แต่ไม่รู้สึกเจ็บ เราเห็นคนกวักมือเรียกอยู่บนดาดฟ้าและมีเสียงคนบอกให้ขึ้นไปสิ เราเดินเหม่อลอยไป และพยาบาลช่วยลลงมาได้ นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราเป็นผู้ป่วยในโรงพยาบาลจิตเวชอย่างเป็นทางการ โดยแพทย์วินิจฉัยว่าฉันเป็น โรคจิตเภท (Schizophrenia) และ โรคซึมเศร้า (Major depressive disorder) เราต้องเข้ารับการรักษาตัวที่ รพ เป็นเวลาอย่างน้อย 1 เดือน
หลังจาก 1 เดือนผ่านไป ออกจาก รพ เรายังคงรับการรักษาต่อเนื่อง แต่อยากจะบอกว่า อยู่ๆอาการเหล่านี้จะกลับมาอีกโดยที่เราไม่รู้ตัว ภายในหนึ่งปีนั้น เราพยายามฆ่าตัวตายทั้งหมด อีก 6 ครั้ง โดยวิธีการกินยานอนหลับที่หมอให้มาทั้งหมด จนแม่ต้องเอายาซ่อน กินน้ำยาล้างห้องน้ำอีก 2 ครั้ง ล้างท้องทุกครั้ง และกระโดดตึกอีก 1 ครั้ง และมึนยาจนทำให้เราเดินข้ามถนนแล้วรถชน (เรารู้ว่าหากท่านอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว บางท่านอาจจะบอกว่าทำไมเราไม่ตายๆไปซะ) เรารับการรักษาต่อเนื่องโดยการรับยาเป็นผู้ป่วยนอก ทานยาติดต่อเป็นเวลา 1 ปี เราเริ่มหายเกือบจนปกติ จากวันนั้นถึงวันนี้ 13 ปีผ่านมา ท่านรู้หรือไม่ว่าอะไรทำให้เราไม่มีความคิดฆ่าตัวตายเหล่านั้นอีกเลย ???
คำตอบคือ หลังจากการคิดฆ่าตัวตายครั้งสุดท้าย เราได้พูดคุยกับเพื่อนที่เคยคิดฆ่าตัวตายเหมือนกันกับเรา และเค้าผ่านจุดๆนั้นมาได้ โดยการบอกเล่าประสบการณ์ของเขา เหมือนเช่นเรากำลังบอกเล่าประสบการณ์ของเราตอนนี้ เหมือนเรานั่งมองกระจกกับเพื่อนคนนั้นต่างเป็นเงาสะท้อนในสิ่งที่เราทำลงไป ทำให้เราคิดได้ มีแรงหึกเหิมในการกลับไปใช้ชีวิตให้เป็นปกติสุขที่สุด และต้องขอบคุณเจ้าของบทเพลงก้อนหินก้อนนั้นและ Live And Learn ที่ทำให้เราผ่านพ้นคืนวันเหล่านั้นมาได้ (ลองฟังดูนะคะ เราจะเปิดฟังบ่อยครั้งหรือทุกครั้งที่รู้สึกว่าเริ่มมีอาการ ทำให้เราคิดได้ค่ะ) ทำให้อาการเหล่านั้นหายไปจากชีวิตเราโดยสิ้นเชิง ที่ผ่านมาตลอดระยะเวลาการรักษาใช่อยู่ว่ากำลังใจเป็นสิ่งสำคัญแต่เหนือสิ่งอื่นใดคำว่าเข้าใจกันและกันสำคัญที่สุด และครอบครัวต้องอดทนกับเรามากๆ จึงจะมอบกำลังใจให้กันอย่างจริงใจได้ เมื่อเราเริ่มมองเห็นชีวิตว่าไม่ได้มีแต่เราที่พบปัญหาเหล่านั้น เราจึงเปิดใจที่จะทำหน้าที่มนุษย์ ให้ดีสมกับที่เราต้องเกิดมา จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ฉันใช้ชีวิตอย่างปกติสุขและยังมีโอกาสได้ช่วยเหลือเพื่อนๆที่เป็นโรคซึมเศร้าให้ผ่านเหตุการณ์เหล่านั้นมาได้อีกหลายชีวิต โดยคอยพูดคุยกับเขา ให้กำลังใจ จนบางคนหายดีกลับมาใช้ชีวิตเป็นปกติได้
สำหรับคนรอบข้าง อยากขอร้องให้เข้าใจค่ะว่าเราไม่ได้อยากเป็นแบบนั้น บางครั้งอยู่ๆอาการเหล่านั้นก็เป็นเองค่ะ ไม่มีใครอยากให้เป็น บางคนคิดว่าเราแกล้ง (แต่อาจจะมีบางคนที่ทำประชดหรือแกล้งทำจริงๆ) ส่วนบางคนถูกคนรอบข้างซ้ำเติม รังเกียจ แบ่งพรรค แบ่งพวก จะยิ่งทำให้เราแย่ค่ะ เราไม่ได้ต้องการอะไรมาก เราแค่ขอแค่ให้ทุกท่านช่วยสังเกตุเราบ้างว่าเรามีพฤติกรรมใดๆเปลี่ยนไปบ้าง บางทีเราไม่รู้ตัว ท่านอาจะช่วยเราได้ค่ะ แค่ถามว่า เห้ย ช่วงนี้เป็นอะไร ไม่สบายใจอะไรหรือเปล่า เราก็พร้อมที่จะบอกความรู้สึกตอนนั้นให้คุณรับฟังแล้วล่ะค่ะ และคุณก็จะช่วยเราให้ผ่านพ้นไปได้ ช่วยทำให้เราใช้ชีวิตอยู่ในสังคมนี้ได้ค่ะ
สุดท้ายนี้อยากขอบคุณทุกๆท่านที่อ่านจนจบ และอาจได้แนวทางเพื่อไปปรับใช้ในชีวิตได้ สำหรับท่านที่ไม่รู้ตัวว่ากำลังเศร้า เหงา เบื่อ อยากอยู่คนเดียวโดยไม่มีสาเหตุ สังเกตุตัวเองสักนิด หากมีอาการเหล่านี้ควรพูดคุย ระบายกับคนที่เราสามารถไว้ใจได้ (หากมีอาการเหล่านี้ จขกท ใช้วิธีการโทรคุยกับ พยาบาลที่เคยดูแลเรา รับเคสเราครั้งแรก คุยกันจนตอนนี้กลายเป็นพี่สาวของ จขกท ไปเลยค่ะ) เมื่อเรารู้สึกแย่ เราต้องไม่เก็บอาการเหล่านั้นไว้คนเดียวนะคะ เราต้องบอกตัวเองว่าไม่ได้ละ ฉันจะต้องทำอะไรสักอย่าง หรือเข้าพูดคุยปรึกษาจิตแพทย์ไปเลยค่ะ ท่านจะให้คำแนะนำที่ดีกับเราค่ะ
>>>>>ก้อนหินก้อนนั้น....Live And Learn<<<
จากใจผู้ (เคย)ป่วยโรคซึมเศร้า
เราเกิดมาในครอบครัวฐานะปานกลางค่อนไปทางยากจน การใช้ชีวิตปกติเหมือนครอบครัวทั่วไป ครอบครัวไม่มีปัญหา แต่ด้วยความลำบากทำให้เราไม่มีโอกาสเหมือนเพื่อนๆ เราต้องดิ้นรน ช่วยครอบครัวทำงาน แบ่งเบาภาระพ่อและแม่ ไม่มีสังคม เพื่อนฝูง เพราะต้องช่วยเหลือที่บ้านดูแลน้องตลอดจนงานบ้านอื่นๆ
ครั้งแรกที่จำได้คืออายุ 10 ขวบ อยู่ๆก็รู้สึกน้อยใจหรือไม่พอใจที่ต้องเห็นพ่อแม่ลำบาก อยู่ๆก็คิดว่าไม่อยากอยู่แล้วโลกนี้มันน่าเบื่อมาก ไม่มีอารมณ์เล่นกับเพื่อน รู้สึกเฉยๆกับสิ่งรอบตัว จึงคิดกินยาฆ่าตัวตายตอนอายุ 10 ขวบ !!! ด้วยที่ผนังข้างฝาที่บ้านมียาหนึ่งกระปุกอ่านออกเพียงว่า ยาเซทริซิน มีฤทธิ์ทำให้ง่วงนอน เท่านั้น เราเตรียมใส่ถุงไว้บนหัวนอน 100 เม็ด และเขียนแปะไว้ว่ายาฆ่าตัวตาย !!! แต่เรายังไม่กินเพียงเตรียมไว้เฉยๆ แต่พอตกรุ่งเช้ามาถุงยานั้นหายไป เราคิดว่าแม่อาจจะเข้ามาดูห้องนอนของเราและเก็บยาออกไป หลังจากวันนั้นแม่พูดจาดีขึ้น ใช้เวลากับเรามากขึ้น และคุยกันมากขึ้นจากที่ไม่ค่อยได้คุยกันเพราะแม่ทำงานเหนื่อย กินข้าวแล้วก็หลับ ต่างคนต่างนอน และฉันก็ไม่มีความรู้สึก ไม่มีความคิดนั้นอีกเลยนั้นอีกเลย (แต่ก็มีกรีดข้อมมือตอนขึ้น ม.1 เพราะเพื่อนๆเค้าจะฮิตกรีดข้อมือแล้วเอามานับกันว่าใครกรีดได้เยอะ ถ้าใครไม่กรีดเพื่อนจะไม่ยอมให้เข้ากลุ่ม ซึ่งเราเห็นเพื่อนทำก็ทำตาม เพราะจะได้เป็นที่ยอมรับของเพื่อน)
จนกระทั่ง อายุ 14 ปี เหตุการณ์เหล่านั้น อารมณ์ ความคิดแบบนั้นไม่ได้เกิดกับเรา แต่เกิดกับพ่อของเรา !!! พ่อเราผูกคอตายสำเร็จ !!! คนที่พบเชือกที่แขวนบานพับหน้าต่างคนแรกคือน้องชาย การตายของพ่อไม่มีใครบอกได้ว่าสาเหตุมาจากอะไร แต่น่าจะเป็นเพราะพ่อน้อยใจแม่ หรืออาจเป็นเรื่องของคนสองคนระหว่างพ่อกับแม่ ที่พ่อไม่สามารถหาทางออกได้ จึงทำให้พ่อตัดสินใจทำแบบนี้ และสำเร็จด้วย จากเหตุการณ์วันนั้นฉันต้องรับภาระหนักสุดเพราะเป็นพี่สาวคนโต ออกจากโรงเรียนเพื่อที่มาช่วยแม่ทำงาน ใช้จ่ายในครอบครัว ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี แต่ยังไม่ลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับพ่อ คิดโกรธว่าพ่อตัดช่องน้อยแต่พอตัว ต้องทำให้คนข้างหลังต้องลำบาก
จนกระทั่ง อายุ 17 ปี อารมณ์เบื่อหน่าย อยู่ๆก็อยากนอนหลับไปเฉยๆไม่อยากรับรู้อะไรแล้ว เหนื่อยมาก กับการใช้ชีวิต เราจึงคิดฆ่าตัวตายอีกครั้ง โดยการกินยาแก้แพ้ 100 เม็ด แต่เพื่อนข้างห้อง เรียกคนมาช่วย เพราะเค้าบอกเรียกเราตั้งนานแล้วไม่ได้ยินเสียงเลยให้คนพังประตูมาช่วย เราล้างท้องทัน
เราได้รับการคุยกับแผนกจิตเวชอย่างเป็นทางการ เรามีอาการเหม่อลอย เอามือชกกระจกของโรงพยาบาลแตกเสียหาย แต่ไม่รู้สึกเจ็บ เราเห็นคนกวักมือเรียกอยู่บนดาดฟ้าและมีเสียงคนบอกให้ขึ้นไปสิ เราเดินเหม่อลอยไป และพยาบาลช่วยลลงมาได้ นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราเป็นผู้ป่วยในโรงพยาบาลจิตเวชอย่างเป็นทางการ โดยแพทย์วินิจฉัยว่าฉันเป็น โรคจิตเภท (Schizophrenia) และ โรคซึมเศร้า (Major depressive disorder) เราต้องเข้ารับการรักษาตัวที่ รพ เป็นเวลาอย่างน้อย 1 เดือน
หลังจาก 1 เดือนผ่านไป ออกจาก รพ เรายังคงรับการรักษาต่อเนื่อง แต่อยากจะบอกว่า อยู่ๆอาการเหล่านี้จะกลับมาอีกโดยที่เราไม่รู้ตัว ภายในหนึ่งปีนั้น เราพยายามฆ่าตัวตายทั้งหมด อีก 6 ครั้ง โดยวิธีการกินยานอนหลับที่หมอให้มาทั้งหมด จนแม่ต้องเอายาซ่อน กินน้ำยาล้างห้องน้ำอีก 2 ครั้ง ล้างท้องทุกครั้ง และกระโดดตึกอีก 1 ครั้ง และมึนยาจนทำให้เราเดินข้ามถนนแล้วรถชน (เรารู้ว่าหากท่านอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว บางท่านอาจจะบอกว่าทำไมเราไม่ตายๆไปซะ) เรารับการรักษาต่อเนื่องโดยการรับยาเป็นผู้ป่วยนอก ทานยาติดต่อเป็นเวลา 1 ปี เราเริ่มหายเกือบจนปกติ จากวันนั้นถึงวันนี้ 13 ปีผ่านมา ท่านรู้หรือไม่ว่าอะไรทำให้เราไม่มีความคิดฆ่าตัวตายเหล่านั้นอีกเลย ???
คำตอบคือ หลังจากการคิดฆ่าตัวตายครั้งสุดท้าย เราได้พูดคุยกับเพื่อนที่เคยคิดฆ่าตัวตายเหมือนกันกับเรา และเค้าผ่านจุดๆนั้นมาได้ โดยการบอกเล่าประสบการณ์ของเขา เหมือนเช่นเรากำลังบอกเล่าประสบการณ์ของเราตอนนี้ เหมือนเรานั่งมองกระจกกับเพื่อนคนนั้นต่างเป็นเงาสะท้อนในสิ่งที่เราทำลงไป ทำให้เราคิดได้ มีแรงหึกเหิมในการกลับไปใช้ชีวิตให้เป็นปกติสุขที่สุด และต้องขอบคุณเจ้าของบทเพลงก้อนหินก้อนนั้นและ Live And Learn ที่ทำให้เราผ่านพ้นคืนวันเหล่านั้นมาได้ (ลองฟังดูนะคะ เราจะเปิดฟังบ่อยครั้งหรือทุกครั้งที่รู้สึกว่าเริ่มมีอาการ ทำให้เราคิดได้ค่ะ) ทำให้อาการเหล่านั้นหายไปจากชีวิตเราโดยสิ้นเชิง ที่ผ่านมาตลอดระยะเวลาการรักษาใช่อยู่ว่ากำลังใจเป็นสิ่งสำคัญแต่เหนือสิ่งอื่นใดคำว่าเข้าใจกันและกันสำคัญที่สุด และครอบครัวต้องอดทนกับเรามากๆ จึงจะมอบกำลังใจให้กันอย่างจริงใจได้ เมื่อเราเริ่มมองเห็นชีวิตว่าไม่ได้มีแต่เราที่พบปัญหาเหล่านั้น เราจึงเปิดใจที่จะทำหน้าที่มนุษย์ ให้ดีสมกับที่เราต้องเกิดมา จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ฉันใช้ชีวิตอย่างปกติสุขและยังมีโอกาสได้ช่วยเหลือเพื่อนๆที่เป็นโรคซึมเศร้าให้ผ่านเหตุการณ์เหล่านั้นมาได้อีกหลายชีวิต โดยคอยพูดคุยกับเขา ให้กำลังใจ จนบางคนหายดีกลับมาใช้ชีวิตเป็นปกติได้
สำหรับคนรอบข้าง อยากขอร้องให้เข้าใจค่ะว่าเราไม่ได้อยากเป็นแบบนั้น บางครั้งอยู่ๆอาการเหล่านั้นก็เป็นเองค่ะ ไม่มีใครอยากให้เป็น บางคนคิดว่าเราแกล้ง (แต่อาจจะมีบางคนที่ทำประชดหรือแกล้งทำจริงๆ) ส่วนบางคนถูกคนรอบข้างซ้ำเติม รังเกียจ แบ่งพรรค แบ่งพวก จะยิ่งทำให้เราแย่ค่ะ เราไม่ได้ต้องการอะไรมาก เราแค่ขอแค่ให้ทุกท่านช่วยสังเกตุเราบ้างว่าเรามีพฤติกรรมใดๆเปลี่ยนไปบ้าง บางทีเราไม่รู้ตัว ท่านอาจะช่วยเราได้ค่ะ แค่ถามว่า เห้ย ช่วงนี้เป็นอะไร ไม่สบายใจอะไรหรือเปล่า เราก็พร้อมที่จะบอกความรู้สึกตอนนั้นให้คุณรับฟังแล้วล่ะค่ะ และคุณก็จะช่วยเราให้ผ่านพ้นไปได้ ช่วยทำให้เราใช้ชีวิตอยู่ในสังคมนี้ได้ค่ะ
สุดท้ายนี้อยากขอบคุณทุกๆท่านที่อ่านจนจบ และอาจได้แนวทางเพื่อไปปรับใช้ในชีวิตได้ สำหรับท่านที่ไม่รู้ตัวว่ากำลังเศร้า เหงา เบื่อ อยากอยู่คนเดียวโดยไม่มีสาเหตุ สังเกตุตัวเองสักนิด หากมีอาการเหล่านี้ควรพูดคุย ระบายกับคนที่เราสามารถไว้ใจได้ (หากมีอาการเหล่านี้ จขกท ใช้วิธีการโทรคุยกับ พยาบาลที่เคยดูแลเรา รับเคสเราครั้งแรก คุยกันจนตอนนี้กลายเป็นพี่สาวของ จขกท ไปเลยค่ะ) เมื่อเรารู้สึกแย่ เราต้องไม่เก็บอาการเหล่านั้นไว้คนเดียวนะคะ เราต้องบอกตัวเองว่าไม่ได้ละ ฉันจะต้องทำอะไรสักอย่าง หรือเข้าพูดคุยปรึกษาจิตแพทย์ไปเลยค่ะ ท่านจะให้คำแนะนำที่ดีกับเราค่ะ
>>>>>ก้อนหินก้อนนั้น....Live And Learn<<<