นครนิรมิต ตอนที่ ๑ ผู้สื่อสารคนสุดท้าย
https://ppantip.com/topic/36637165/comment4-1
ตอนที่ ๒ ชายต้องห้าม
เสียงฝีเท้าของอาชาที่ย่ำเหยียบไปบนพื้นดินปลุกให้ทุกชีวิตที่อยู่ระหว่างทางเดินทัพที่เฝ้ารอคอยมาเป็นแรมวันต้องใจเต้น เหล่าชาวเมืองสุเรนทร์พิศาลใหญ่น้อยต่างดาหน้ามาอยู่ยืนริมทางเพื่อต้อนรับขบวนของผู้สื่อสารคนสุดท้ายตามรับสั่งของพระเจ้ายโสสุริยา หากแม้นผู้ใดไม่ทำตามรับสั่งนั้นก็จักต้องถูกจับตัดหัวเสียบประจาน อาญาสิทธิ์นี้จึงทำให้เหล่าชาวเมืองมิอาจขัดขืน เมื่อขบวนทัพล่วงเข้าสู่หุบเขาลูกแรกอันเปรียบดังปราการของเมืองแล้ว พลุสีเขียวจึงถูกจุดขึ้นเหนือกำแพงเมืองเพื่อแสดงถึงการมาถึงของผู้สื่อสารคนสุดท้าย เสียงดนตรีกระหึ่มก้องไปทั่วทั้งธานี พร้อมกับมหรสพรื่นเริงที่ถูกจัดขึ้นไว้ต้อนรับเหล่าทหารที่ออกไปนำตัวผู้สื่อสารมายังนครสุเรนทร์พิศาล
นางกุดั่นเอามีดพกเล่มเล็กยกขึ้นมาตัดเชือกที่มัดมือของธาราออก ก่อนสั่งให้ทหารผ่อนฝีเท้าม้าที่บังคับเกวียนให้ช้าลง สั่งให้ทหารที่คอยประกบสองข้างเปิดหลังคาของราชรถออก
ลมเย็นพัดเข้าใสร่างที่สั่นเทาด้วยความกลัว ดวงหน้าหวานละมุนหันซ้ายขวา เบิกมองรอบกาย ชาวเมืองมากมายต่างก้มลงกราบอยู่สองข้างทาง เบื้องหน้าคือปราการหินขนาดใหญ่อันเป็นกำแพงเมืองที่สูงขึ้นไปหลายสิบเมตร
“เจ้าจะกลัวไปใย ปั้นหน้ายิ้มแย้มเข้าไว้ พระเจ้ายโสสุริยาไม่ชอบเห็นใครร้องไห้ ถ้าเจ้าทำตัวดี เจ้าจักได้ทุกอย่างที่เจ้าปรารถนา อ๊ะ... มองขึ้นไปบนภูเขานั้น นั่นคือบ้านใหม่ของเจ้า”
นางกุดั่นเงยหน้าขึ้นไปยังเหนือกำแพงเมืองพร้อมผุดยิ้มพราย ธาราหันไปมองตามหญิงหลังค่อมผู้เป็นนางรับใช้เจ้าเหนือหัวแห่งสุเรนทร์พิศาล ดวงตาสีดำขลับเบิกมองยอดปราสาทที่อยู่สูงเด่นเทียมฟ้า สว่างไสวงดงามด้วยโคมไฟที่ประดับประดาตามจุดต่างๆ ก่อนที่สายตาจะมาหยุดอยู่ที่เงาอันเลือนรางของบุรุษที่ยืนอยู่บนระเบียงปราสาททั้งสามร่าง
“สงสัยพี่ๆ ของเจ้าจะมาคอยยืนต้อนรับน่ะ...หึ หึ หึ” นางกุดั่นพูดพร้อมกลั้วหัวเราะ ในขณะที่ธาราจับมองเงาทั้งสามของบุรุษบนระเบียงอย่างไม่วางตา ประตูพระราชวังถูกเปิดออกให้ขบวนรถม้าเคลื่อนผ่าน โลกภายนอกอันแร้นแค้นกันดารเลือนหายไปจนหมดสิ้น ภายในราชวังของสุเรนทร์พิศาลงดงามและมีทุกอย่างพรั่งพร้อมดุจดังสรวงสวรรค์ หากแต่ธารากลับรู้สึกว่าตัวเองกำลังตกดิ่งลงไปในขุมนรกอเวจีช้าๆ...
บนระเบียงสูงนั้นอากาศเย็นเยียบ สายลมพัดโชยมาปะทะร่างของบุรุษทั้งสามที่ยืนเบิกมองกองทัพของสุเรนทร์พิศาลที่กำลังทยอยเข้ามาพ้นเขตกำแพงวัง ร่างเพรียวลมที่ยืนอยู่ด้านซ้ายถอนหายใจเบาๆ ก่อนโปรยกลีบดอกราตรีที่เด็ดเล่นจนเต็มมือลงสู่ห้วงอากาศเบื้องหน้า
“ยินดีต้อนรับ...ผู้สื่อสารคนสุดท้าย...” สุดหล้าเสยิ้ม ผ้าคล้องไหล่สีเหลืองทองสะบัดพลิ้วไปตามสายลม ดวงตาสีน้ำตาลทองวาววับขณะจินตนาการถึงสมาชิกคนใหม่ของกลุ่ม
“ข้าเฝ้าภาวนาเช้าเย็นว่าขออย่าให้พวกมันจับตัวผู้สื่อสารคนสุดท้ายได้...แต่แล้วก็...” ธันย์ ถอนหายใจไปอีกคน ร่างสูงสง่าแข็งแกร่งยกเอาสองมือกอดอก ก่อนหันหลังกลับอย่างไม่สบอารมณ์ ปอยผมที่ปล่อยสยายยาวสะบัดมาถูกใบหน้าของเพื่อนอีกสองคนที่ยืนขนาบข้างเบาๆ ผู้เป็นเจ้าของเรือนร่างสมส่วนซึ่งมีผิวกายสีน้ำผึ้งเดินกระฟัดกระเฟียด กลับเข้าไปภายในปราสาท
สุดหล้าขยับกายเข้าไปใกล้สหายรักที่เอาแต่ยืนนิ่ง เมียงมองเรือนหน้าหวานละมุนดุจนางอัปสรของชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันอย่างพินิจ ในดวงตาอันวาวใสปานลูกแก้วของระย้า ส่งแสงระเรื่อเรืองรองด้วยประกายประหลาด
“ระย้า...เจ้าเห็นอะไรหรือ?” สิ้นคำถามของสุดหล้า ลมหายใจแผ่วเบาก็ผ่อนออกมาจากร่างเพรียวลมสมส่วนซึ่งถูกห่อหุ้มด้วยอาภรณ์สีรุ้งเลื่อมพราย ใบหน้าวงรี เครื่องหน้าทุกส่วนจัดวางได้อย่างสวยงามดุจเทวารูปงาม ใต้สันคิ้วเรียวสวยนั้นคือดวงตาสีรุ้งที่เปล่งประกายระยิบระยับดุจลูกแก้ว
“จิตใจ...เด็กหนุ่มคนนั้นจากมาด้วยจิตใจที่คั่งแค้น อาวรณ์และโศกเศร้า ไม่ต่างกับพวกเรา”
“เจ้าคงลืมไปว่าผู้สื่อสารแห่งนาควิรูปักษ์นั้นมีดวงจิตที่มีพลังแกร่งกล้า สามารถเข้าถึงหรือบังคับจิตใจผู้อื่นได้” สิ้นคำพูดของสุดหล้าอีกฝ่ายก็หันมายิ้มพรายอย่างชอบใจ
“ยกเว้นข้าที่พลังจิตของเจ้าเข้ามาไม่ถึง ข้าไม่ใช่เทพพยากรณ์นะสุดหล้า ข้าแค่อ่านใจบางคนได้เท่านั้น ไม่มีอะไรหรอกน่า...ข้าว่าเรากลับเข้าไปเตรียมตัวต้อนรับน้องใหม่กันดีกว่า” มือสีขาวแตะที่แขนของเพื่อนสนิทเบาๆ ก่อนเดินละลิ่วกลับเข้าไปภายในวิมานที่ตั้งอยู่สูงสุดของสุเรนทร์พิศาล ในขณะที่สุดหล้าเป็นฝ่ายถอนหายใจบ้าง ชายหนุ่มแหงนหน้าขึ้นมองบนราตรีเบื้องบน หมู่ดาวดารดาษทอแสงเต็มฟ้า หนึ่งในแสงระยิบระยับนับล้านนั้นมีกลุ่มดาวที่เรียงตัวกันเป็นรูปสี่เหลี่ยม ดวงหนึ่งทอแสงสีเหลืองทอง ดวงหนึ่งทอแสงสีระรุ้งระยับ อีกดวงแผ่ละอองรัศมีสีม่วงอมเทามองเห็นแสงริบหรี่กว่าใครเพื่อน และดวงสุดท้ายที่เพิ่งปรากฏ ทอแสงสีเขียวระยับดุจมรกตกระทบเปลวเพลิง
ครบแล้ว... ผู้สื่อสารทั้งสี่คนที่ไอ้แก่นั่นต้องการ
พวกเขาไม่ได้เป็นเทพเจ้าในร่างมนุษย์เฉกเช่นผู้คนในดินแดนปฤศาเคารพบูชา หากแต่ว่าเป็นเพียงแค่เครื่องมือเพื่อใช้ทำลายล้างดินแดนที่ไม่ยอมสิโรราบต่อสุเรนทร์พิศาล
ดวงจิตที่เต็มไปด้วยจิตใจอันแน่วแน่บริสุทธิ์ในสันติธรรม มิอาจปล่อยให้แผนการของราชาผู้โหดเหี้ยมนี้บรรลุผลแน่ เขาจะไม่ยอมให้ชาวเมืองอันบริสุทธิ์ต้องมาล้มตาย จะไม่ยอมให้สุเรนทร์พิศาลสมหวังและใช้เขาเป็นเครื่องมือ
นครนิรมิต ตอนที่ ๒ ชายต้องห้าม
เสียงฝีเท้าของอาชาที่ย่ำเหยียบไปบนพื้นดินปลุกให้ทุกชีวิตที่อยู่ระหว่างทางเดินทัพที่เฝ้ารอคอยมาเป็นแรมวันต้องใจเต้น เหล่าชาวเมืองสุเรนทร์พิศาลใหญ่น้อยต่างดาหน้ามาอยู่ยืนริมทางเพื่อต้อนรับขบวนของผู้สื่อสารคนสุดท้ายตามรับสั่งของพระเจ้ายโสสุริยา หากแม้นผู้ใดไม่ทำตามรับสั่งนั้นก็จักต้องถูกจับตัดหัวเสียบประจาน อาญาสิทธิ์นี้จึงทำให้เหล่าชาวเมืองมิอาจขัดขืน เมื่อขบวนทัพล่วงเข้าสู่หุบเขาลูกแรกอันเปรียบดังปราการของเมืองแล้ว พลุสีเขียวจึงถูกจุดขึ้นเหนือกำแพงเมืองเพื่อแสดงถึงการมาถึงของผู้สื่อสารคนสุดท้าย เสียงดนตรีกระหึ่มก้องไปทั่วทั้งธานี พร้อมกับมหรสพรื่นเริงที่ถูกจัดขึ้นไว้ต้อนรับเหล่าทหารที่ออกไปนำตัวผู้สื่อสารมายังนครสุเรนทร์พิศาล
นางกุดั่นเอามีดพกเล่มเล็กยกขึ้นมาตัดเชือกที่มัดมือของธาราออก ก่อนสั่งให้ทหารผ่อนฝีเท้าม้าที่บังคับเกวียนให้ช้าลง สั่งให้ทหารที่คอยประกบสองข้างเปิดหลังคาของราชรถออก
ลมเย็นพัดเข้าใสร่างที่สั่นเทาด้วยความกลัว ดวงหน้าหวานละมุนหันซ้ายขวา เบิกมองรอบกาย ชาวเมืองมากมายต่างก้มลงกราบอยู่สองข้างทาง เบื้องหน้าคือปราการหินขนาดใหญ่อันเป็นกำแพงเมืองที่สูงขึ้นไปหลายสิบเมตร
“เจ้าจะกลัวไปใย ปั้นหน้ายิ้มแย้มเข้าไว้ พระเจ้ายโสสุริยาไม่ชอบเห็นใครร้องไห้ ถ้าเจ้าทำตัวดี เจ้าจักได้ทุกอย่างที่เจ้าปรารถนา อ๊ะ... มองขึ้นไปบนภูเขานั้น นั่นคือบ้านใหม่ของเจ้า”
นางกุดั่นเงยหน้าขึ้นไปยังเหนือกำแพงเมืองพร้อมผุดยิ้มพราย ธาราหันไปมองตามหญิงหลังค่อมผู้เป็นนางรับใช้เจ้าเหนือหัวแห่งสุเรนทร์พิศาล ดวงตาสีดำขลับเบิกมองยอดปราสาทที่อยู่สูงเด่นเทียมฟ้า สว่างไสวงดงามด้วยโคมไฟที่ประดับประดาตามจุดต่างๆ ก่อนที่สายตาจะมาหยุดอยู่ที่เงาอันเลือนรางของบุรุษที่ยืนอยู่บนระเบียงปราสาททั้งสามร่าง
“สงสัยพี่ๆ ของเจ้าจะมาคอยยืนต้อนรับน่ะ...หึ หึ หึ” นางกุดั่นพูดพร้อมกลั้วหัวเราะ ในขณะที่ธาราจับมองเงาทั้งสามของบุรุษบนระเบียงอย่างไม่วางตา ประตูพระราชวังถูกเปิดออกให้ขบวนรถม้าเคลื่อนผ่าน โลกภายนอกอันแร้นแค้นกันดารเลือนหายไปจนหมดสิ้น ภายในราชวังของสุเรนทร์พิศาลงดงามและมีทุกอย่างพรั่งพร้อมดุจดังสรวงสวรรค์ หากแต่ธารากลับรู้สึกว่าตัวเองกำลังตกดิ่งลงไปในขุมนรกอเวจีช้าๆ...
บนระเบียงสูงนั้นอากาศเย็นเยียบ สายลมพัดโชยมาปะทะร่างของบุรุษทั้งสามที่ยืนเบิกมองกองทัพของสุเรนทร์พิศาลที่กำลังทยอยเข้ามาพ้นเขตกำแพงวัง ร่างเพรียวลมที่ยืนอยู่ด้านซ้ายถอนหายใจเบาๆ ก่อนโปรยกลีบดอกราตรีที่เด็ดเล่นจนเต็มมือลงสู่ห้วงอากาศเบื้องหน้า
“ยินดีต้อนรับ...ผู้สื่อสารคนสุดท้าย...” สุดหล้าเสยิ้ม ผ้าคล้องไหล่สีเหลืองทองสะบัดพลิ้วไปตามสายลม ดวงตาสีน้ำตาลทองวาววับขณะจินตนาการถึงสมาชิกคนใหม่ของกลุ่ม
“ข้าเฝ้าภาวนาเช้าเย็นว่าขออย่าให้พวกมันจับตัวผู้สื่อสารคนสุดท้ายได้...แต่แล้วก็...” ธันย์ ถอนหายใจไปอีกคน ร่างสูงสง่าแข็งแกร่งยกเอาสองมือกอดอก ก่อนหันหลังกลับอย่างไม่สบอารมณ์ ปอยผมที่ปล่อยสยายยาวสะบัดมาถูกใบหน้าของเพื่อนอีกสองคนที่ยืนขนาบข้างเบาๆ ผู้เป็นเจ้าของเรือนร่างสมส่วนซึ่งมีผิวกายสีน้ำผึ้งเดินกระฟัดกระเฟียด กลับเข้าไปภายในปราสาท
สุดหล้าขยับกายเข้าไปใกล้สหายรักที่เอาแต่ยืนนิ่ง เมียงมองเรือนหน้าหวานละมุนดุจนางอัปสรของชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันอย่างพินิจ ในดวงตาอันวาวใสปานลูกแก้วของระย้า ส่งแสงระเรื่อเรืองรองด้วยประกายประหลาด
“ระย้า...เจ้าเห็นอะไรหรือ?” สิ้นคำถามของสุดหล้า ลมหายใจแผ่วเบาก็ผ่อนออกมาจากร่างเพรียวลมสมส่วนซึ่งถูกห่อหุ้มด้วยอาภรณ์สีรุ้งเลื่อมพราย ใบหน้าวงรี เครื่องหน้าทุกส่วนจัดวางได้อย่างสวยงามดุจเทวารูปงาม ใต้สันคิ้วเรียวสวยนั้นคือดวงตาสีรุ้งที่เปล่งประกายระยิบระยับดุจลูกแก้ว
“จิตใจ...เด็กหนุ่มคนนั้นจากมาด้วยจิตใจที่คั่งแค้น อาวรณ์และโศกเศร้า ไม่ต่างกับพวกเรา”
“เจ้าคงลืมไปว่าผู้สื่อสารแห่งนาควิรูปักษ์นั้นมีดวงจิตที่มีพลังแกร่งกล้า สามารถเข้าถึงหรือบังคับจิตใจผู้อื่นได้” สิ้นคำพูดของสุดหล้าอีกฝ่ายก็หันมายิ้มพรายอย่างชอบใจ
“ยกเว้นข้าที่พลังจิตของเจ้าเข้ามาไม่ถึง ข้าไม่ใช่เทพพยากรณ์นะสุดหล้า ข้าแค่อ่านใจบางคนได้เท่านั้น ไม่มีอะไรหรอกน่า...ข้าว่าเรากลับเข้าไปเตรียมตัวต้อนรับน้องใหม่กันดีกว่า” มือสีขาวแตะที่แขนของเพื่อนสนิทเบาๆ ก่อนเดินละลิ่วกลับเข้าไปภายในวิมานที่ตั้งอยู่สูงสุดของสุเรนทร์พิศาล ในขณะที่สุดหล้าเป็นฝ่ายถอนหายใจบ้าง ชายหนุ่มแหงนหน้าขึ้นมองบนราตรีเบื้องบน หมู่ดาวดารดาษทอแสงเต็มฟ้า หนึ่งในแสงระยิบระยับนับล้านนั้นมีกลุ่มดาวที่เรียงตัวกันเป็นรูปสี่เหลี่ยม ดวงหนึ่งทอแสงสีเหลืองทอง ดวงหนึ่งทอแสงสีระรุ้งระยับ อีกดวงแผ่ละอองรัศมีสีม่วงอมเทามองเห็นแสงริบหรี่กว่าใครเพื่อน และดวงสุดท้ายที่เพิ่งปรากฏ ทอแสงสีเขียวระยับดุจมรกตกระทบเปลวเพลิง
ครบแล้ว... ผู้สื่อสารทั้งสี่คนที่ไอ้แก่นั่นต้องการ
พวกเขาไม่ได้เป็นเทพเจ้าในร่างมนุษย์เฉกเช่นผู้คนในดินแดนปฤศาเคารพบูชา หากแต่ว่าเป็นเพียงแค่เครื่องมือเพื่อใช้ทำลายล้างดินแดนที่ไม่ยอมสิโรราบต่อสุเรนทร์พิศาล
ดวงจิตที่เต็มไปด้วยจิตใจอันแน่วแน่บริสุทธิ์ในสันติธรรม มิอาจปล่อยให้แผนการของราชาผู้โหดเหี้ยมนี้บรรลุผลแน่ เขาจะไม่ยอมให้ชาวเมืองอันบริสุทธิ์ต้องมาล้มตาย จะไม่ยอมให้สุเรนทร์พิศาลสมหวังและใช้เขาเป็นเครื่องมือ