ประสบการณ์ทางการสื่อสารมิติที่4โดยใช้พลังจิตในการติดต่อสื่อสาร

เรื่องเล่าประสบการณ์ทางจิต
ผมมีความสามารถในการสื่อสารกับดวงจิตหรือโอปะปาติกะที่อยู่ในภพภูมิต่างๆมาจนชำนาญจนถึง
ทุกวันนี้ สามารถเชิญมาผ่านร่างกายในลักษณะแฝงในร่างผม เสมือนมีสองดวงจิตในร่างเดียว เปรียบเทียบง่ายๆ
ก็เหมือนว่าเราขับรถยนต์ สมมติว่า รถยนต์คือร่างกายของเรา และจิตผู้รู้ของเราคือคนขับรถยนต์ ในภาวะปกติ
จิตผู้รู้ของตัวเราเองเป็นคนขับเคลื่อนกลไกของร่างกายทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นยืน เดิน นั่ง นอนหรือพูดจาแสดง
อาการอย่างไร ก็เกิดจากการบังคับสั่งการจากจิตผู้รู้ของตัวเราเอง ที่เป็นคนขับกลไกของร่างกายตัวเราเองทั้งหมด
แต่ในขณะที่ตัวเรากำลังใช้พลังจิต เชิญดวงจิต หรือโอประปาติกะผู้ที่เราต้องการติดต่อ เพื่อให้มาแฝงร่างกายของ
เรา ก็เปรียบเสมือนว่าจิตผู้รู้ของเรา จากที่เป็นผู้บังคับขับเคลื่อนกลไกของร่างกายตัวเราเองก็จะเปลี่ยนหน้าที่เป็น
ผู้นั่งอยู่เฉย ๆ บนเบาะนั่งข้าง ๆ ส่วนผู้ที่เราใช้พลังจิตเชิญมาที่เป็นดวงจิตหรือโอประปาติกะนั้น ๆ เช่น เจ้าที่
ผู้เป็นใหญ่ในสถานที่ต่าง ๆ เจ้าพ่อหลักเมืองในจังหวัดต่าง ๆ แม้กระทั่งนาค ครุฑ คนธรรม์ นางไม้ ภูมิเจ้าที่ที่เรา
ใช้พลังจิตเชิญมานั้น ก็จะทำหน้าที่บังคับกลไกร่างกายเรานั่นเอง โดยจะเป็นการพูดจา ขับเคลื่อนร่างกายได้
ทั้งหมด ซึ่งจิตผู้รู้ของเราก็จะเป็นเพียงผู้เฝ้าฟังนั่งอยู่เฉย ๆ คอยดูว่าผู้ที่เราเชิญเขามาจะพูดหรือสื่อสารอะไร
ให้เราทราบตามที่เราต้องการถาม แต่จะต้องให้คนที่เป็นเพื่อนที่เป็นบุคคลที่ 3 เป็นผู้ที่จะถามได้เท่านั้นนะครับ
เพราะผมที่เป็นผู้เชิญเขามาจะถามไม่ได้ เนื่องจากเราอนุญาตให้เขาได้ทำการควบคุมบังคับกลไกในร่างกายเรา
เสมือนอนุญาตให้เขาขับเคลื่อนกลไกร่างกายแทนแล้ว โดยมารยาทจะไม่แทรกจิตเข้ามาขับกลไกเองเป็นอันขาด
ซึ่งจากประสบการณ์เคยถูกต่อว่ามาแล้วครับ เขาบอกว่า “เชิญกูมาแล้วก็ปล่อยให้กูพูดเอง อย่าแทรกจิตเข้า
มาถามเอง ปล่อยให้เพื่อน ๆ เป็นผู้ถามเท่านั้น ถ้าแทรกจิตเข้ามาถามเองแบบไม่มีมารยาทแบบนี้ กูก็จะ
ออกไปแล้ว” ผมยังคิดในใจว่าเชิญท่านมาแล้วมีงอนน้อยใจด้วย ดังนั้น จึงไม่กล้าแทรกจิตถามอีกเลย ก็เป็น
เพียงแต่เป็นผู้เฝ้าฟังเท่านั้น บางครั้งเราก็อยากจะถามเองบ้าง เพราะเพื่อน ๆ ไม่มีใครกล้าถามอะไรมากมาย
เท่าใดนัก เพราะว่าถ้าไม่มีคำถามข้อข้องใจแล้ว ท่านผู้ที่เราเชิญเขามา ก็จะบอกว่าหมดคำถามที่จะพูดคุยกันแล้ว
หรือท่านได้พูดคุยสื่อสารตามที่พอใจเรียบร้อยแล้ว ท่านก็จะออกจากร่างกายเราทันที ดังนั้นกลไกในร่างกายของ
เราก็จะถูกบังคับขับเคลื่อนโดยจิตผู้รู้ของเราในสภาวะปกตินั่นเองครับ
ในเรื่องดังกล่าวที่ผมได้เล่าให้เพื่อนสมาชิกฟังนี้เป็นประสบการณ์จริง ๆ จากตัวผมเอง และผมก็
ทำการสื่อสารใช้พลังจิตเชิญมาเยอะมาก ก็น่าจะเกือบร้อยครั้งแล้วครับ ผมเคยฝึกวิชาชี่กงจักรวาลและปลุกพลัง
จากองค์พระ (ปลุกพระเครื่อง) จากอาจารย์ท่านหนึ่งมาไม่ขอเอ่ยนามท่านนะครับ หลังจากนั้น ผมก็นำวิธีการ
มาประยุกต์ใช้ในการสื่อสารกับภพภูมิต่าง ๆ ว่ามีจริงมั้ย เพราะเขาก็มีพลังงานที่สามารถสื่อสารกับเราได้นั่นเอง
ครับ เรื่องนี้พูดให้ใครฟังก็เหลือเชื่อนะครับ ส่วนตัวผมเองเป็นอดีตข้าราชการครูมาก่อน ก็มาเล่าประสบการณ์
ให้ฟังเท่านั้นนะครับ ทุกวันนี้ก็ยังสามารถใช้พลังจิตสื่อสารเชิญได้อยู่ครับ ก็ทำได้จนชำนาญแล้วครับ ใช้เวลาไม่ถึง
5 นาทีก็สามารถใช้พลังจิตสื่อสารเชิญมาได้ทั้งหมดเลยครับ
ทุกครั้งที่มีโอกาสได้เดินทางผ่านสถานที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นศาลหลักเมือง ศาลเจ้าพ่อเจ้าแม่
หรือเจ้าที่ผู้เป็นใหญ่ในวัดวาอาราม เทวดาผู้เป็นใหญ่ที่ดูแลองค์พระประธาน ศาลเจ้าจีน แทบจะทุกที่ ทุกจังหวัด
พอผมผ่านเข้าไปในสถานที่นั้น ๆ ท่านก็สื่อสารจะเข้ามาทันที ผมก็จะรับรู้ได้โดยร่างกายผมจะตอบสนองรับได้ว่าท่านใช้พลังจิตของท่านแทรกเข้ามาร่างของผม ส่วนตัวผมก็จะส่งพลังจิตต้านทานท่านไปว่าผมไม่พร้อม ถ้าท่าน
เข้ามาคนรอบข้างก็จะหาว่าผมบ้า ผมก็ขอคารวะท่าน ถ้ามีโอกาสพร้อมแล้วด้วยสถานที่ ผมก็จะเชิญท่านผ่านร่าง
นะครับ หลังจากนั้นพลังงานทางผู้เป็นใหญ่ในสถานที่ต่างๆก็จะจางคลายไปครับ ส่วนพวกวิญญาณเร่ร่อนที่เป็น
วิญญาณชั้นต่ำผมจะไม่เชิญมาเลยครับ เพราะจะมีพลังงานทางลบมาก คือบุญเก่าแทบไม่มีเลยครับพวกนี้ ก็ได้แต่
แผ่เมตตาอุทิศให้ผลบุญเขาไปเท่านั้นครับ ก็ขอจบเรื่องแชร์ประสบการณ์ให้เท่านี้นะครับ
ขอบคุณครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่