นครนิรมิต ตอนที่ ๑ ผู้สื่อสารคนสุดท้าย

กระทู้สนทนา
ตอนที่ ๑ ผู้สื่อสารคนสุดท้าย


   สิ้นสายลมอันโชยแผ่วที่พัดมาให้ความเย็นกลุ่มเมฆฝนสีดำก็ตั้งเค้าปกคลุมไปทั่วผืนฟ้าเมืองมูลละ เมืองที่อยู่ในอาณัติของนครนิรมิต นคราอันยิ่งใหญ่เกรียงไกร สถานที่สถิตของเทวนาคาทั้งสี่ในอดีตกาล แต่บัดนี้นคราอันงดงามวิจิตรกลับล่มสลายย่อยยับด้วยน้ำมือของกษัตริย์องค์ใหม่แห่งเมืองสุเรนทร์พิศาล พระราชวังถูกทำลายจนหมดสิ้น คงเหลือไว้แต่เทวาลัยที่สร้างบูชาแด่องค์เทวนาคาเท่านั้น เจ้านางสุดาวดี พระธิดาเพียงองค์เดียวของพระเจ้าสวรรค์สร้าง กษัตริย์นครนิรมิตที่ถูกทหารของสุเรนทร์พิศาลสังหารไป ต้องเดินทางหลบหนีเข้าไปในป่าเพื่อซ่อนตัวจากการตามจ้องล้างของเมืองสุเรนทร์พิศาล เมืองใหญ่น้อยที่เคยอยู่ภายใต้การปกครองนครนิรมิตต้องอยู่กันไปตามยถากรรม เจ้าเมืองเหล่านั้นต้องส่งส่วยสาอากรเป็นช้างม้า แร่ทองคำ ดีบุก หรือแม้แต่ไพร่ทาส ให้แก่สุเรนทร์พิศาล ที่เข้ามายึดอำนาจแทน

    “ฝนตก...ฝนกำลังจะตกหรือนี่” นางดุสิตา หญิงผู้เป็นเจ้าเมืองปกครองมูลละตะลีตะลานออกมาจากเรือนไม้หลังใหญ่หลังจากลมแรงพัดเอากิ่งมะม่วงป่าที่เริ่มเปราะหน้าเรือนนางหักลงมา เหล่าชาวเมืองมูลละทั้งชายหญิงต่างโห่ร้องด้วยความดีใจ รีบหาโอ่งไหมารองน้ำฝน ปีนี้สุเรนทร์พิศาลคงใจดี นาคเทวาบันดาลให้ฝนมาเร็วกว่าที่เคยเป็น แต่ความจริงก็หาเป็นเช่นนั้นไม่...

    ม้าเร็วขบวนหนึ่งวิ่งผ่านประตูเมืองเข้ามา ร่างบุรุษผู้สง่างามบังคับอาชาอยู่หน้าขบวนกวาดสายตามองซ้ายขวาด้วยอาการร้อนใจ เสียงอสุนีร้องครืนครางดังกระหึ่มไปทั่วทั้งผืนปฐพี ขบวนม้ามาหยุดลงที่หน้าเรือนนางดุสิตา แสงสิงห์กระโดดลงจากอาชาคู่กาย ก่อนช่วยประคองร่างชราของพ่อเฒ่าเวหาที่นั่งอยู่ด้านหลังเขาให้ลงตามมา

    “แม่ดุสิตา...แม่ดุสิตาผู้ปกครองเมืองมูลละ อยู่หรือไม่ ข้ามีเรื่องสำคัญ...” เสียงตะโกนร้องของชายชราดังแข่งกับเสียงคำรามของพายุด้านบน นางดุสิตาที่กำลังร้องสั่งข้าทาสให้รีบหาหม้อไหมารองน้ำฝน รีบวิ่งมาหาผู้มาเยือนหลังทาสสาวรีบตรงไปบอกว่าชายสูงวัยผู้มากวิชาแห่งมูลละมีการสำคัญจะหารือ

    “มีอะไรรึท่านพ่อเฒ่า ไม่รีบกลับบ้านกลับเรือนท่านไป เห็นหรือไม่ ฝนจะตกแล้ว ปีนี้สุเรนทร์พิศาลคงใจดี ช่างเป็นเรื่องที่ดียิ่งนัก” นางดุสิตาสาธยายพร้อมผายยิ้ม นางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ละอองฝนเย็นฉ่ำเริ่มโปรยปรายลงมา

    “ใช่...เป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก ก่อนที่พายุจะมาเจ้าเห็นหรือไม่ว่ามีดาวดวงหนึ่งปรากฏขึ้นมาทางทิศพายัพ ดาวของเทวนาคา ปรากฏครบสี่ดวงแล้ว” มือที่ถือไม้เท้าไว้สั่นเทา ทั้งใบหน้าอันยับย่นฉายชัดถึงความหวาดวิตก

    “ข้ามิได้สังเกตเลยท่านพ่อเฒ่า ดาวของเทวนาคาปรากฏครบทั้งสี่ดวงแล้วงั้นหรือ?” นางดุสิตาทวนคำ เหมือนยังไม่เข้าใจในสารที่อีกฝ่ายกำลังสื่อ

    “ที่พ่อเฒ่าจะบอกก็คือ ผู้สื่อสารของเทวนาคาคนสุดท้ายปรากฏแล้ว และเขาอาจอยู่ที่นี่ ตอนที่พวกเราเห็นดาวดวงนั้นกำลังนั่งพักอยู่ที่ลานซ้อมรบ ทางใต้ของหมู่บ้าน ดาวปรากฏทางทิศพายัพ ทางเทวาลัยของมูลละ” หัสราอธิบาย นางดุสิตาเอาสองมือขึ้นมาทาบอก หัวใจหญิงวัยห้าสิบผู้ซึ่งเป็นผู้นำเต้นระรัวอยู่ในอก ความอัดอั้นจากการที่ถูกสุเรนทร์พิศาลกดขี่คล้ายกำลังจะระเบิดออกมาอีกไม่ช้า

    “แล้วต้องทำอย่างไร พวกท่านรู้หรือว่าผู้สื่อสารคนสุดท้ายเป็นใครกัน...” นางดุสิตาถลาร่างเข้าไปจับแขนทั้งสองข้างของพ่อเฒ่าไว้ ในดวงตาอัดแน่นไปด้วยความกระหายในอิสรภาพ ไม่ต่างจากทุกร่างในที่นี้

    “ข้าคิดว่าข้ารู้...” แสงสิงห์แทรกขึ้นน้ำเสียงหนักแน่น ก่อนที่ทหารยามที่สังเกตการณ์หน้าหมู่บ้านจะวิ่งตะลีตะลานเข้ามาพร้อมกับสีหน้าหวาดกลัวสุดขีด

    “กองทัพ...มีกองทัพกำลังมุ่งมาทางเรา” ทหารหนุ่มหอบหายใจ ชี้ไม้ชี้มือไปยังประตูเมือง เหล่าทหารที่ประจำการอยู่บนป้อมรีบเข้าประจำตำแหน่ง เตรียมคันธนูและดาบไว้เตรียมป้องกันเมือง

    แสงสิงห์รีบวิ่งมายังอาชาคู่กาย กระโดดขึ้นขี่และบังคับให้มันตรงไปยังประตูเมืองที่เพิ่งผ่านเข้ามา หัสราและลูกน้องในขบวนม้าเมื่อครู่นี้กรูตามแม่ทัพหนุ่มมาติดๆ

    หัสราล้วงเอากล้องกระบอกไม้ไผ่ออกมาและมองส่องไปยังถนนเส้นที่มุ่งตรงเข้ามายังหมู่บ้าน ม้าเร็วสีดำเกือบห้าสิบตัวพร้อมทหารชุดเกราะกำลังมุ่งมาทางนี้ด้วยความเร็ว เบื้องหลังเป็นขบวนทหารม้ากองหนุนอีกไม่ต่ำกว่าสองร้อย

    “ทหารม้าดำจากสุเรนทร์พิศาล มีไม่ต่ำกว่าห้าสิบ ตามด้วยทัพหนุนอีกเป็นร้อย...” หัสราบอกพร้อมลดลำกล้องลง หันมายังใบหน้าคร้ามคมของสหายหนุ่มที่ยืนกำมือแน่นข้างกาย

    “เราสู้มันไม่ได้แน่ ทหารมูลละมีไม่ถึงร้อย พวกนั้นมันเจนการรบ อาวุธครบมือ เราต้องกลับไปอพยพชาวเมืองให้ออกไปจากที่นี่” ทิวา ลูกน้องหนุ่มของหัสราร้องขึ้นด้วยความยำเกรงกองทัพแห่งสุเรนทร์พิศาล ชื่อเสียงของความโหดเหี้ยมไม่เคยปราณีผู้ใดนั้นกระฉ่อนไปไกล หากไม่หนีก็ต้องยอมก้มหัวศิโรราบให้กับมัน หรือถ้าหากหนีไปแล้วถูกจับได้ก็ต้องตายสถานเดียว

    แสงสิงห์ขบริมฝีปากใช้ความคิดอย่างหนักหน่วง กองทัพสุเรนทร์พิศาลมุ่งมาทางนี้เพื่อต้องการตัวผู้สื่อสารคนสุดท้ายหรือไม่นะ แล้วถ้าหากเป็นเช่นนั้น ถ้าพวกมันไม่พบตัวผู้สื่อสารคนที่สี่ มันอาจไม่ทำอะไรชาวเมืองมูลละก็ได้ แต่ถ้าหากว่ามันพบเขาล่ะ... สุเรนทร์พิศาลก็จะมีอำนาจอย่างสมบูรณ์ในการเป็นเจ้าชีวิตของทุกสรรพสิ่งในดินแดนปฤศาแห่งนี้

    จะทำอย่างไรดี...แสงสิงห์

    ธาราวางพานบายศรีลงตรงหน้าเทวรูปพญานาคในเทวาลัยพร้อมกับก้มกราบ เมื่อเวลาย่างเข้าสู่เดือนหก แต่ฝนกลับยังไม่ปรากฏเค้าว่าจะตกลงมา เด็กหนุ่มวัยสิบเก้าปีจึงตั้งใจเวียนมากราบบูชาเทวนาคาในเทวาลัยทุกวัน เพื่ออ้อนวอนให้ฝนฟ้าตกลงมาให้ความชุ่มเย็นและเพื่อบำรุงเหล่าชาวเมืองและพืชพรรณให้งอกงาม และเมื่อย่างเข้าวันที่สี่

    คำอธิษฐานของธาราก็ปรากฏผล

    ร่างเพรียวลมยกขาก้าวข้ามธรณีประตูของเทวาลัยออกมาด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง ผ้านุ่งสีเขียวหม่นพลิ้วสะบัดเพราะแรงลมที่โหมพัดเข้ามาใส่ร่าง แพรคล้องคอสีขาวเกือบปลิวหลุดออกจากบ่า เสียงกัมปนาทกระหึ่มก้องไปทั่วเวิ้งฟ้า พร้อมกับเหล่าหมู่เมฆสีดำทะมึนน่าเกรงขามแผ่ปกคลุมเหนือเทวาลัย

    หัวใจของชายหนุ่มเต้นระรัวด้วยความดีใจ ใบหน้าขาวสะอาดเงยหน้าขึ้นสัมผัสกับเม็ดฝนที่โปรยปรายลงมาจากฟ้าด้วยหัวใจอันเป็นสุข ก่อนที่สายฟ้าจะฟาดเปรี้ยงลงมาใส่เทวาลัยเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ร่างเพรียวลมที่ยืนอยู่บนลานหินเบื้องหน้าถลาล้มลงไปกับพื้นด้วยแรงอสุนีบาตนั้น

    ธาราเงยหน้าขึ้นมองเทวาลัยที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า สายฟ้าที่ฟาดลงมิอาจทำให้หินที่ประกอบเป็นรูปอาคารเหล่านั้นโยกคลอนเลยแม้แต่น้อย หากแต่ว่ากลับมีความผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นภายในนั้น

    รัศมีสีเขียวสว่างเรืองรองอยู่หน้าเทวรูปของเทวนาคา มันแผ่ออกมาจากกำไลเงินที่ฝังมรกตชิ้นงามเอาไว้ วางอยู่หน้าเทวรูปพญานาคที่สูงเกือบสองเมตร ธาราเพ่งมองไปยังรัศมีสีเขียวนั้นอย่างใจเต้น ก่อนก้าวขาเดินกลับเข้าไปภายในเทวาลัยคล้ายมีใครสั่ง

    ชายหนุ่มย่อตัวลงนั่งคุกเข่า ในแววตาทั้งสองข้างซึ่งเพ่งมองกำไลตรงหน้าฉาบด้วยแสงสีเขียวจากรัศมีอันงดงามนั้น มือข้างขวาค่อยๆ ยื่นเข้าไปและสัมผัสวัตถุนั้นอย่างช้าๆ

    “สวมมันสิ...นี่คือสมบัติของเจ้า...” จู่ๆ น้ำเสียงกังวานใสก็แว่วดังออกมาจากเทวรูปตรงหน้า ธาราเงยหน้าขึ้นมองประดุจต้องมนตร์ รับรู้ได้ถึงกระแสเยียบเย็นบางอย่างที่กำลังปกคลุมอยู่รอบกาย เรือนหน้าขาวสะอาดก้มลงมองกำไลเงินตรงหน้าอีกครั้ง ก่อนตัดสินใจหยิบมันขึ้นมาสวมยังข้อมือซ้าย

    เสียงกัมปนาทฟาดเปรี้ยงลงยังเทวาลัยดังกระหึ่มก้องไปทั่วทั้งเมืองมูลละอีกครั้ง ร่างเพรียวลมล้มหงายลงไปนอนหมดสติหน้าเทวรูปโดยมีรัศมีสีเขียวเรืองรองสว่างไสวแผ่อยู่รอบกายชายหนุ่ม ความเยียบเย็นที่แผ่อยู่รอบกายแทรกซึมเข้าสู่กายสังขารร่างนี้ ดวงจิตของเจ้าเอราปถได้สถิตเข้าดวงจิตของผู้สื่อสารคนสุดท้ายแล้ว

    แสงสิงห์จำใจต้องทำตามแผนของหัสรานั่นคืออพยพชาวเมืองมูลละให้หนีออกจากไปเมืองให้เร็วที่สุด ละทิ้งทรัพย์สินและข้าวของทุกอย่างไว้เบื้องหลัง ถ้ำลับที่ซุกซ่อนอยู่ภายในหุบลึกในภูเขาด้านหลังเมืองคือที่ซ่อนตัว แต่ก็มีชาวเมืองอีกหลายสิบคนที่สมัครใจจะอยู่ปกป้องเมืองของตน โดยเดิมพันด้วยชีวิต หากพวกทหารเลวของสุเรนทร์พิศาลไม่พบตัวผู้สื่อสารคนสุดท้ายที่นี่....พวกมันก็คงกลับไป

    เมฆา ทหารหนุ่มร่างยักษ์ผิวดำมะเมื่อมในคราบชุดเกราะเหล็กแน่นหนากระโดดลงจากม้าสีดำคู่กาย วางฝีเท้าเดินตรงเข้ามายังกลุ่มชาวเมืองที่ยืนออกันอยู่หน้าประตูเมืองด้วยท่วงทีองค์อาจ ดวงตาประดุจพญามัจจุราชกวาดมองไปยังชาวบ้านทีละคน ก่อนที่มือขวาซึ่งกำดาบคมด้ามใหญ่ไว้จะยกขึ้นมาพาดที่คอของหัสรา

    “ชาวเมืองมูลละเหลือเพียงเท่านี้งั้นหรือ ? บอกกูมา...ผู้สื่อสารคนสุดท้ายอยู่ที่ใด?” ร่างแม่ทัพหนุ่มผู้ที่ถูกดาบวางพาดข้างคอร้อนผ่าว เขามิเคยกริ่งเกรงต่อผู้ใด แต่ยามนี้จะผลีผลามไม่ได้ เพื่อรักษาชีวิตของทุกคนไว้ จึงจำต้องยอมโอนอ่อนตามศัตรูไปก่อน

    “ข้าไม่รู้ว่าท่านพูดเรื่องอะไร ผู้สื่อสารงั้นรึ....ผู้สื่อสารจะมาอยู่ที่เมืองมูลละได้อย่างไร?” คำแก้ต่างที่ได้ยินไม่ได้ทำให้หัวใจซึ่งคุด้วยโทสะของเมฆาคล้อยตามได้แม้แต่น้อย ทหารกล้าของสุเรนทร์พิศาล ผู้ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ตามหาตัวผู้สื่อสารคนสุดท้ายยกดาบขึ้บหมายจะฟันฉับตัดคอคนตรงหน้าที่กล้าพูดปด ก่อนที่นางกุดั่น หญิงชราผู้เป็นที่ปรึกษาของพระเจ้ายโสสุริยาจะร้องห้ามเสียก่อน

    “ช้าก่อนพ่อเมฆา...ข้าไม่อยากได้กลิ่นคาวเลือด...” ใบหน้ายับย่นผุดยิ้มเยือกเย็นเมื่อจ้องมองใบหน้าซีดเผือดของหัสรา นางหญิงแก่หลังค่อมเดินออกมายืนอยู่ข้างเมฆา ดวงตาประดุจอีแร้งกวาดมองไปรอบๆ อย่างพินิจ ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่ร่างชราของพ่อเฒ่าเวหา

    “ในนิมิตของข้า...ผู้สื่อสารคนสุดท้ายอยู่ที่นี่ ดาวของเทวนาคาดวงสุดท้ายก็ปรากฏที่นี่ ข้าไม่เชื่อหรอกนะว่าพวกเจ้าจะไม่รู้ ถ้าไม่ส่งตัวมาให้เรา เมืองมูลละจะเหลือเพียงแต่เถ้าธุลี”

    สิ้นเสียงแหบพร่าที่บอกอย่างเด็ดขาด นางกุดั่นก็อ้าปากอวดฟันสีดำหัวเราะร่า กองทัพของสุเรนทร์พิศาลกระชับอาวุธในมือไว้เตรียมสังหารศัตรูหากว่าเมฆาเอ่ยสั่ง คบเพลิงถูกจุดไว้เตรียมโยนใส่บ้านเรือนของชาวเมืองให้มอดไหม้

    หัสราหันไปสบสายตากับแสงสิงห์ อีกฝ่ายกำมือแน่น ตอนนี้เหลือเพียงแค่เขากับหัสราและทหารกล้าอีกไม่ถึงสิบนายส่วนชาวเมืองที่อยู่ก็สู้รบไม่เป็น มีหนทางเดียวคือต้องหาทางเอาชีวิตรอด ต้องถ่วงเวลาพวกมันไว้

    “ท่านบอกว่าเห็นดาวดวงสุดท้ายปรากฏที่มูลละใช่หรือไม่...” เสียงสั่นเครือของพ่อเฒ่าเวหาดังขึ้นในห้วงที่อยู่ระหว่างความเป็นความตาย นางกุดั่นหลังค่อมหันมาจ้องมองชายชราคราวเดียวกันอีกครั้งด้วยความเคลือบแคลง

    “มันปรากฏทางทิศพายัพ เทพพยากรณ์ของเราบอกว่าผู้สื่อสารคนสุดท้ายอยู่ที่เมืองนี้” นางหญิงแก่ว่า หรี่ตามองพ่อเฒ่าเวหาคล้ายหมายจะอ่านใจ

    “ที่เทวาลัย...ข้าเห็นดาวดวงนั้นปรากฏเหนือเทวาลัยแห่งมูลละ ที่นั่นมีเทวรูปเทวนาคา บางทีผู้สื่อสารคนสุดท้ายอาจจะอยู่ที่นั่น...” สิ้นคำพูดของพ่อเฒ่า หัสราและแสงสิงห์จึงหันมาสบตากันอย่างเข้าใจ หากพวกมันยอมตามเขาไปที่เทวาลัย ย่อมจะมีโอกาสที่พวกเขาจะหาจังหวะหนีรอดออกมาได้ หรือไม่ก็...

    “แม่... พี่ทับทิม... ไปอยู่ที่ใดกันหมดหรือ...” เสียงตะโกนร้องที่ดังขึ้นทำให้ทุกร่างต้องหยุดนิ่ง ก่อนหันไปเพ่งมองยังที่มาของเสียงนั้น ร่างเพรียวลมของเด็กหนุ่มวัยสิบก้าววิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในหมู่บ้าน ก่อนจะชะงักงันเมื่อมองเห็นกองทัพของสุเรนทร์พิศาลที่กำลังเจรจากับชาวเมืองมูลละกลุ่มหนึ่ง

    นางกุดั่นหรี่ตามองร่างธารา นัยน์ตาอันฝ้าฟางหากแต่สามารถรับรู้ได้ถึงพลังอำนาจที่แฝงเร้นมองเห็นแสงสีเขียวมรกตสว่างเรืองรองอยู่รอบกายชายหนุ่มคนนั้น ธาราหอบหายใจ ดวงตาหวั่นไหวหวาดกลัว ในขณะที่แสงสิงห์หัวใจแทบหล่นลงไปกองกับพื้น หวังว่าหนุ่มคนนี้คงไม่ใช่ผู้สื่อสารที่มันตามหา...

    “จับไว้...ชายคนนั้นคือผู้สื่อสาร...” สิ้นเสียงสั่งของหญิงแก่หลังค่อม ทหารนับสิบนายที่อยู่แถวหน้าก็วิ่งตรงเข้าไปเพื่อตะครุบร่างธาราที่ยืนตะลึงงันด้วยความตกใจ พ่อเฒ่าเวหาร้องสั่งให้เด็กหนุ่มรีบหนีไป ส่วนแสงสิงห์และหัสราก็ตรงเข้าสะกัดทหารของสุเรนทร์พิศาลไว้ไม่ให้ถึงตัวชายหนุ่ม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่