บทนำ
แสงสิงห์ถอดเสื้อกั๊กสีมอซอออกจากร่างที่แข็งแกร่งด้วยมัดกล้าม มือหนาวางดาบเหล็กไหลลงยังพื้นดินอันแห้งผาก แสงอาทิตย์สีชมพูระเรื่อยามเย็นสาดลงใส่ผิวกายสีน้ำตาลทองที่ชุ่มด้วยหยาดเหงื่อ ลมหายใจอันร้อนผ่าวระบายออกด้วยความเหน็ดเหนื่อยหลังจบการฝึกซ้อมกับเหล่าทหารหาญในกองทัพ แม่ทัพหนุ่มทรุดนั่งลงกับพื้นดิน ใบหน้าคมเข้มนั้นเชิดขึ้นมองไปบนท้องฟ้าอันว่างเปล่า ปราศจากแม้เพียงเมฆสักก้อน ในช่วงที่เบิกมองท้องฟ้ากระจ่างนั้นภาพใบหน้าขาวละมุนของเด็กหนุ่มที่กระโจนลงยังแม่น้ำมูลละเมื่อวานนี้เพื่อช่วยเขาหลังเป็นตะคริวก็ฉายวาบขึ้นมา
ร่างกายดูบอบบางแต่ทว่าปราดเปรียว ว่ายน้ำได้คล่องแคล่วว่องไว ซ้ำยังมีกำลังว่ายน้ำพร้อมกับลากร่างเขากลับมาจนถึงฝั่ง แต่ครั้นพอจะกล่าวขอบคุณ อีกฝ่ายก็กลับผลีผลามลุกหนีไปเสียก่อน
“เพราะคำสาปของเทวนาคา...” เสียงแหบกระด้างนั้นฉุดให้แม่ทัพหนุ่มผู้กำลังทวีความสงสัยในความผันแปรของฝนฟ้าที่วิปริตไปไม่เหมือนเดิม ร่างชราของพ่อเฒ่าเวหาเดินสักไม้เท้าสีดำเข้ามาเขาด้วยรอยยิ้มหยันเหยียด
“มันเป็นจริงฤาท่านพ่อเฒ่า ที่นี่ถูกสาปให้แห้งแล้งดังคำที่ท่านว่า ข้านึกเสียว่ามันกลายเป็นเพียงตำนาน” สิ้นคำเขาทหารหนุ่มผู้เป็นชาวเมืองมูลละที่เพิ่งประดาบกันไปก็หัวเราะร่าขึ้นมา
“เจ้าไปอยู่เมืองท่าวารีตั้งแต่ยังเด็กย่อมไม่รู้ฤทธิ์คำสาปของเทวนาคา เมืองท่าวารีตั้งอยู่ต้นแม่น้ำใหญ่ นอกเขตของดินแดนปฤศา ห่างไกลไปหลายพันโยชน์ อุดมสมบูรณ์ด้วยน้ำท่า แต่ที่นี่ไม่เหมือนกัน ฝนฟ้าอยู่ภายใต้อำนาจของเทวนาคา โดยมีผู้สื่อสารทั้งสี่เป็นผู้กำหนด เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนพวกทหารสุเรนทร์พิศาลลักพาตัวผู้สื่อสารทั้งสี่ไปจากนครนิรมิต เจ้ายโสสุริยะมันบังคับให้ผู้สื่อสารทำพิธีสาปให้นครนิรมิตแล้งด้วยฝน และกักขังผู้สื่อสารไว้ที่นั่น เมื่อทนเห็นความวิบัติของดินแดนปฤศาไม่ไหว ท่านทั้งสี่ก็ปลิดชีพตัวเองไป... แต่ว่า คำสาปก็ยังอยู่คงเดิม” หัสราขบกรามแน่น ในดวงตาอัดแน่นไปด้วยความคั่งแค้น ที่เหล่าชาวเมืองมูลละ เมืองเล็กๆ รอบนอกเขตนครนิรมิตและอีกหลายต่อหลายเมืองต้องดำรงชีวิตอย่างยากลำบาก นั่นก็เป็นเพราะความใจดำอำมหิตของสุเรนทร์พิศาล เมืองที่ตั้งอยู่บนเชิงเขาสูง ทางตอนใต้ของดินแดนปฤศา เป็นเพราะไอ้ขุนนางชั่วยโสสุริยาที่ปล้นบัลลังก์ไปจากเจ้าเหนือหัวสุเรนทร์พิศาลและขึ้นนั่งเป็นกษัตริย์แทน มันหมายจะยึดเอาทุกเมืองในดินแดนปฤศาไว้ใต้อุ้งตีนมัน หากแม้นไม่ได้ตามที่ใจมันหวัง ก็จะทำให้เมืองที่ไม่ยอมสิโรราบอยู่เหมือนตายทั้งเป็น ดังเช่นที่นี่...
เสียงนกหงส์หยกตัวหนึ่งที่บินมาร้องใกล้ตัวฉุดให้พ่อเฒ่าเวหาที่กำลังหวนคิดถึงภาพขณะที่เหล่าทหารของสุเรนทร์พิศาลเข้ามาต่อตีเมืองมูลละแห่งนี้เงยหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้า ดวงตาสีเทาหม่นแสงอันพร่าเลือนไล่สายตาตามเจ้านกน้อยไป มันบินผ่านไปทางท้องฟ้ายังทิศพายัพ อันเป็นที่ตั้งของเทวาลัยแห่งมูลละ ก่อนที่หัวใจอันแห้งเหี่ยวในสังขารอันโรยราจะเต้นระทึกครึกโครมขึ้นมา
“ดาวดวงนั้น...ดูนั่นพ่อหนุ่ม ดาวดวงนั้น...” พ่อเฒ่าชี้มือไปยังดาวดวงหนึ่งที่ส่งแสงสีเขียวระเรื่ออยู่ริมขอบฟ้าทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ แสงสิงห์และหัสราต่างรีบลุกขึ้นมาประกบชายสูงวัยด้วยความตกใจ
“มีอะไรรึพ่อเฒ่า ดาวดวงนั้นทำไม...” หัสราหรี่ตามอง ก่อนที่แสงสิงห์จะเงยหน้าขึ้นมองไปยังปลายยอดของต้นรังที่พลิ้วไหวด้วยกระแสลมที่โหมพัด
ทั้งสามร่างขนลุกซู่ ในหัวใจตื้นตันด้วยความยินดีหากแม้นว่านี่เป็นสัญญาณของพายุที่กำลังจะแผ่เข้ามาให้ความชุ่มชื้นแก่เมืองมูลละ แต่ทว่าพ่อเฒ่าเวหากลับสั่นสะท้านไปทั้งร่างเมื่อลมเย็นเริ่มพัดผ่านร่างและทวีความรุนแรงขึ้น
“ก่อนหน้านี้ มีข่าวจากสามเมืองที่ตั้งอยู่โดยรอบดินแดนปฤศาว่า เทวนาคาได้เลือกผู้สื่อสารคนใหม่แล้ว และทั้งหมดก็ถูกทหารสุเรนทร์พิศาลจับตัวไป ตอนนี้เจ้ายโสสุริยากำลังรอคอยการปรากฏตัวของผู้สื่อสารคนที่สี่ ผู้สื่อสารที่ยึดครองดวงจิตแห่งนาคสีเขียว... ปรากฏแล้ว”
“หมะ หมายความว่ายังไงนะท่าน นาคเทวาเลือกผู้สื่อสารคนใหม่ และคนสุดท้ายก็อยู่ที่นี่งั้นรึ” หัสราละล่ำละลักถามด้วยตกใจ
“นั่นเป็นสัญลักษณ์ ดวงดาวนั่นไม่ใช่จะปรากฏได้ง่ายๆ พวกเจ้าดูสิ มันมีทั้งหมดสี่ดวง เรียงกันทั้งสี่มุม นั่นเป็นดาวตัวแทนของเทวนาคา ไปซะ...จงรีบเข้าหมู่บ้านไปตามหาผู้สื่อสารคนสุดท้าย อย่าให้พวกสุเรนทร์พิศาลชิงตัวไปได้”
“ถ้าเป็นอย่างที่ท่านว่า แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรเล่า ว่าใครคือผู้สื่อสารคนนั้น คนในหมู่บ้านมีเป็นร้อยนะท่าน เป็นเด็ก คนแก่ ผู้หญิง หรือ ผู้ชายกันล่ะ” แสงสิงห์ที่ยืนฟังอยู่นานเห็นด้วยกับคำพูดของหัสรา ใจเขาเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะเมื่อรู้ว่าดินแดนแห่งนี้อาจถูกปลดแอกจากคำสาปนั่นเสียที
“ผู้สื่อสาร เป็นชายหนุ่ม มีดวงตาสีเขียวมรกต ไปเร็วสิ”
“ดวงตาสีเขียวมรกตงั้นรึ...” แสงสิงห์ทวนคำช้าๆ พลันนั้นภาพใบหน้าขาวเกลี้ยงของเด็กหนุ่มที่ช่วยชีวิตเขาไว้เมื่อตอนกลางวันก็ฉายวาบขึ้นมาในห้วงคำนึง เพียงแวบเดียวขณะที่แสงอาทิตย์แสบจ้ายามเที่ยงวันสะท้อนลงใส่นัยน์ตาทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มผิวขาวร่างบางคนนั้น ก่อนที่มันจะกลายเป็นสีเขียวมรกตอันลึกล้ำงดงาม และคืนกลับสู่ผิวตาอันดำขลับปกติ เขาบอกตนเองว่าอาจตาฝาดไป แต่ทว่า...เมื่อได้ฟังคำพูดจากปากพ่อเฒ่าเวหาแล้ว มันกลับผลักให้ความกระหายใคร่รู้ในร่างเขาลุกโชน หรือว่า...เด็กหนุ่มคนนั้นจะเป็นผู้สื่อสารคนสุดท้าย
นครนิรมิต
แสงสิงห์ถอดเสื้อกั๊กสีมอซอออกจากร่างที่แข็งแกร่งด้วยมัดกล้าม มือหนาวางดาบเหล็กไหลลงยังพื้นดินอันแห้งผาก แสงอาทิตย์สีชมพูระเรื่อยามเย็นสาดลงใส่ผิวกายสีน้ำตาลทองที่ชุ่มด้วยหยาดเหงื่อ ลมหายใจอันร้อนผ่าวระบายออกด้วยความเหน็ดเหนื่อยหลังจบการฝึกซ้อมกับเหล่าทหารหาญในกองทัพ แม่ทัพหนุ่มทรุดนั่งลงกับพื้นดิน ใบหน้าคมเข้มนั้นเชิดขึ้นมองไปบนท้องฟ้าอันว่างเปล่า ปราศจากแม้เพียงเมฆสักก้อน ในช่วงที่เบิกมองท้องฟ้ากระจ่างนั้นภาพใบหน้าขาวละมุนของเด็กหนุ่มที่กระโจนลงยังแม่น้ำมูลละเมื่อวานนี้เพื่อช่วยเขาหลังเป็นตะคริวก็ฉายวาบขึ้นมา
ร่างกายดูบอบบางแต่ทว่าปราดเปรียว ว่ายน้ำได้คล่องแคล่วว่องไว ซ้ำยังมีกำลังว่ายน้ำพร้อมกับลากร่างเขากลับมาจนถึงฝั่ง แต่ครั้นพอจะกล่าวขอบคุณ อีกฝ่ายก็กลับผลีผลามลุกหนีไปเสียก่อน
“เพราะคำสาปของเทวนาคา...” เสียงแหบกระด้างนั้นฉุดให้แม่ทัพหนุ่มผู้กำลังทวีความสงสัยในความผันแปรของฝนฟ้าที่วิปริตไปไม่เหมือนเดิม ร่างชราของพ่อเฒ่าเวหาเดินสักไม้เท้าสีดำเข้ามาเขาด้วยรอยยิ้มหยันเหยียด
“มันเป็นจริงฤาท่านพ่อเฒ่า ที่นี่ถูกสาปให้แห้งแล้งดังคำที่ท่านว่า ข้านึกเสียว่ามันกลายเป็นเพียงตำนาน” สิ้นคำเขาทหารหนุ่มผู้เป็นชาวเมืองมูลละที่เพิ่งประดาบกันไปก็หัวเราะร่าขึ้นมา
“เจ้าไปอยู่เมืองท่าวารีตั้งแต่ยังเด็กย่อมไม่รู้ฤทธิ์คำสาปของเทวนาคา เมืองท่าวารีตั้งอยู่ต้นแม่น้ำใหญ่ นอกเขตของดินแดนปฤศา ห่างไกลไปหลายพันโยชน์ อุดมสมบูรณ์ด้วยน้ำท่า แต่ที่นี่ไม่เหมือนกัน ฝนฟ้าอยู่ภายใต้อำนาจของเทวนาคา โดยมีผู้สื่อสารทั้งสี่เป็นผู้กำหนด เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนพวกทหารสุเรนทร์พิศาลลักพาตัวผู้สื่อสารทั้งสี่ไปจากนครนิรมิต เจ้ายโสสุริยะมันบังคับให้ผู้สื่อสารทำพิธีสาปให้นครนิรมิตแล้งด้วยฝน และกักขังผู้สื่อสารไว้ที่นั่น เมื่อทนเห็นความวิบัติของดินแดนปฤศาไม่ไหว ท่านทั้งสี่ก็ปลิดชีพตัวเองไป... แต่ว่า คำสาปก็ยังอยู่คงเดิม” หัสราขบกรามแน่น ในดวงตาอัดแน่นไปด้วยความคั่งแค้น ที่เหล่าชาวเมืองมูลละ เมืองเล็กๆ รอบนอกเขตนครนิรมิตและอีกหลายต่อหลายเมืองต้องดำรงชีวิตอย่างยากลำบาก นั่นก็เป็นเพราะความใจดำอำมหิตของสุเรนทร์พิศาล เมืองที่ตั้งอยู่บนเชิงเขาสูง ทางตอนใต้ของดินแดนปฤศา เป็นเพราะไอ้ขุนนางชั่วยโสสุริยาที่ปล้นบัลลังก์ไปจากเจ้าเหนือหัวสุเรนทร์พิศาลและขึ้นนั่งเป็นกษัตริย์แทน มันหมายจะยึดเอาทุกเมืองในดินแดนปฤศาไว้ใต้อุ้งตีนมัน หากแม้นไม่ได้ตามที่ใจมันหวัง ก็จะทำให้เมืองที่ไม่ยอมสิโรราบอยู่เหมือนตายทั้งเป็น ดังเช่นที่นี่...
เสียงนกหงส์หยกตัวหนึ่งที่บินมาร้องใกล้ตัวฉุดให้พ่อเฒ่าเวหาที่กำลังหวนคิดถึงภาพขณะที่เหล่าทหารของสุเรนทร์พิศาลเข้ามาต่อตีเมืองมูลละแห่งนี้เงยหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้า ดวงตาสีเทาหม่นแสงอันพร่าเลือนไล่สายตาตามเจ้านกน้อยไป มันบินผ่านไปทางท้องฟ้ายังทิศพายัพ อันเป็นที่ตั้งของเทวาลัยแห่งมูลละ ก่อนที่หัวใจอันแห้งเหี่ยวในสังขารอันโรยราจะเต้นระทึกครึกโครมขึ้นมา
“ดาวดวงนั้น...ดูนั่นพ่อหนุ่ม ดาวดวงนั้น...” พ่อเฒ่าชี้มือไปยังดาวดวงหนึ่งที่ส่งแสงสีเขียวระเรื่ออยู่ริมขอบฟ้าทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ แสงสิงห์และหัสราต่างรีบลุกขึ้นมาประกบชายสูงวัยด้วยความตกใจ
“มีอะไรรึพ่อเฒ่า ดาวดวงนั้นทำไม...” หัสราหรี่ตามอง ก่อนที่แสงสิงห์จะเงยหน้าขึ้นมองไปยังปลายยอดของต้นรังที่พลิ้วไหวด้วยกระแสลมที่โหมพัด
ทั้งสามร่างขนลุกซู่ ในหัวใจตื้นตันด้วยความยินดีหากแม้นว่านี่เป็นสัญญาณของพายุที่กำลังจะแผ่เข้ามาให้ความชุ่มชื้นแก่เมืองมูลละ แต่ทว่าพ่อเฒ่าเวหากลับสั่นสะท้านไปทั้งร่างเมื่อลมเย็นเริ่มพัดผ่านร่างและทวีความรุนแรงขึ้น
“ก่อนหน้านี้ มีข่าวจากสามเมืองที่ตั้งอยู่โดยรอบดินแดนปฤศาว่า เทวนาคาได้เลือกผู้สื่อสารคนใหม่แล้ว และทั้งหมดก็ถูกทหารสุเรนทร์พิศาลจับตัวไป ตอนนี้เจ้ายโสสุริยากำลังรอคอยการปรากฏตัวของผู้สื่อสารคนที่สี่ ผู้สื่อสารที่ยึดครองดวงจิตแห่งนาคสีเขียว... ปรากฏแล้ว”
“หมะ หมายความว่ายังไงนะท่าน นาคเทวาเลือกผู้สื่อสารคนใหม่ และคนสุดท้ายก็อยู่ที่นี่งั้นรึ” หัสราละล่ำละลักถามด้วยตกใจ
“นั่นเป็นสัญลักษณ์ ดวงดาวนั่นไม่ใช่จะปรากฏได้ง่ายๆ พวกเจ้าดูสิ มันมีทั้งหมดสี่ดวง เรียงกันทั้งสี่มุม นั่นเป็นดาวตัวแทนของเทวนาคา ไปซะ...จงรีบเข้าหมู่บ้านไปตามหาผู้สื่อสารคนสุดท้าย อย่าให้พวกสุเรนทร์พิศาลชิงตัวไปได้”
“ถ้าเป็นอย่างที่ท่านว่า แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรเล่า ว่าใครคือผู้สื่อสารคนนั้น คนในหมู่บ้านมีเป็นร้อยนะท่าน เป็นเด็ก คนแก่ ผู้หญิง หรือ ผู้ชายกันล่ะ” แสงสิงห์ที่ยืนฟังอยู่นานเห็นด้วยกับคำพูดของหัสรา ใจเขาเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะเมื่อรู้ว่าดินแดนแห่งนี้อาจถูกปลดแอกจากคำสาปนั่นเสียที
“ผู้สื่อสาร เป็นชายหนุ่ม มีดวงตาสีเขียวมรกต ไปเร็วสิ”
“ดวงตาสีเขียวมรกตงั้นรึ...” แสงสิงห์ทวนคำช้าๆ พลันนั้นภาพใบหน้าขาวเกลี้ยงของเด็กหนุ่มที่ช่วยชีวิตเขาไว้เมื่อตอนกลางวันก็ฉายวาบขึ้นมาในห้วงคำนึง เพียงแวบเดียวขณะที่แสงอาทิตย์แสบจ้ายามเที่ยงวันสะท้อนลงใส่นัยน์ตาทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มผิวขาวร่างบางคนนั้น ก่อนที่มันจะกลายเป็นสีเขียวมรกตอันลึกล้ำงดงาม และคืนกลับสู่ผิวตาอันดำขลับปกติ เขาบอกตนเองว่าอาจตาฝาดไป แต่ทว่า...เมื่อได้ฟังคำพูดจากปากพ่อเฒ่าเวหาแล้ว มันกลับผลักให้ความกระหายใคร่รู้ในร่างเขาลุกโชน หรือว่า...เด็กหนุ่มคนนั้นจะเป็นผู้สื่อสารคนสุดท้าย