นครนิรมิต ตอนที่ ๘ ดวงดาวเปลี่ยนทิศ
https://ppantip.com/topic/36751697
ตอนที่ ๙ ทางเลือก
ผู้บังคับอาชาขบวนทัพที่หมายมุ่งไปช่วยเหลือองค์ชายสุริยจักรได้รับรายงานว่ามีรถม้าคันสุดท้ายหายออกไปจากเส้นทาง เขาจึงสั่งให้ม้าดำยี่สิบตัวมุ่งหน้าไปตามหารถม้าคันนั้น....
แสงสิงห์ หัสรา และลูกน้องทั้งหมดต้องหนีลงมาจากภูเขาอย่างทุลักทุเลหลังจากที่กลุ่มผู้สื่อสารทั้งหมดหลบหนีไปได้ เขาต่อสู้กับกลุ่มผู้พิทักษ์จนต้องเสียทหารไปสามนาย แต่สิ่งที่ได้กลับคืนมานั้นคุ้มค่ายิ่งกว่า เพราะมันคือหีบมณีศักดิ์สิทธิ์ของเทวนาคา
รถม้าของเขาที่หมายจะนำผู้สื่อสารกลับไปยังนครนิรมิตมุ่งตามรถม้าของสุเภทะที่มุ่งสู่ทิศเหนือ แต่ทว่าเมื่อจวนใกล้จะตามทันขบวนรถม้าตรงหน้าอีกไม่ไกล ม้าเร็วยี่สิบตัวของสุเรนทร์พิศาลที่ส่งไปช่วยเหลือองค์ชายสุริยจักรก็ตีขนาบข้างขบวนของเขา เตรียมพร้อมที่จะโจมตี
หัสราร้องให้สัญญาณ สั่งให้ทหารทุกนายระวังตัวและเตรียมตั้งรับ พลธนูนำลูกธนูขึ้นคันธนูเตรียมยิง และเมื่อม้าดำกลุ่มตรงหน้าเข้ามาใกล้ ลูกธนูอาบยาพิษก็พุ่งเข้าใส่ทหารของสุเรนทร์พิศาลดุจห่าฝน
กลุ่มทหารม้าดำล้มครืนลงพื้น ในขณะที่อาชาซึ่งถูกพิษจากลูกธนูดิ้นร้องอย่างทรมาน แสงสิงห์สั่งให้ผู้บังคับรถม้าเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น ทั้งหมดจึงเคลื่อนออกห่างจากกลุ่มทหารม้าสุเรนทร์พิศาลที่ยังคงตะลีตะลานประคองม้าที่ล้มเจ็บ
“มุ่งตรงไปที่รถม้าคันนั้น...เข้าไปประชิดให้ได้” เสียงของแสงสิงห์ร้องสั่ง ก่อนที่ทหารทั้งหมดจะกระชับเชือกบังคับม้าให้มันเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น ดวงตาคมเข้มของทหารหนุ่มจ้องมองไปที่รถม้าสีดำคันตรงหน้าที่อยู่อีกไม่ไกล ไม่ว่ายังไงเขาก็จะต้องพาผู้สื่อสารทั้งสี่คนกลับไปยังนครนิรมิตให้ได้
ระย้าหยิบเอากระบอกส่องทางไกลขึ้นมาส่องมองไปยังกลุ่มทหารม้าที่ติดตามมาเบื้องหลังด้วยหัวใจสั่นระทึก สุดหล้าหยิบอีกอันขึ้นมาก่อนใช้มันแนบกับกระบอกตา ใช้มืออีกข้างเปิดผ้าม่านดำที่ปิดหน้าต่างของรถม้าออก อีกสองร่างที่อยู่ใกล้กันเฝ้ามองอย่างใจเต้น
“เห็นอะไรบ้าง...” ธันย์ถามเสียงพร่า หัวใจเต้นโครมครามอยู่ในอก กลัวว่าจะไม่อาจหนีรอดพ้นดินแดนสุเรนทร์พิศาลไปได้ตามที่ตั้งใจ
“พวกม้าดำ แต่ทหารพวกนั้นไม่ได้แต่งตัวเหมือนทหารสุเรนทร์พิศาล...” ระย้าบอกพลางหอบหายใจถี่ ก่อนที่สุดหล้าจะยิ่งทวีความขุ่นข้องในหัวใจ
“เดี๋ยว...ดูนั่น ข้าจำเจ้าคนที่บังคับรถม้าข้างหลังเราได้ ชายที่จะปรี่ลงมาจับตัวพวกเราตอนกำลังอาบน้ำในบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ไง...เขาตามเรามา ตามเรามาทำไม?” สุดหล้าลดกระบอกกล้องลงเมื่อมือเย็นของธาราเอื้อมมาแตะแขนเขา พอหันไปมองจึงเห็นแววตาสีมรกตทอแสงวิบวับอย่างครั่นคราม ธาราหยิบกระบอกกล้องมาแนบตา ก่อนที่จะอ้าปากค้างและผายยิ้มออกมาในที่สุด
“ท่านแสงสิงห์...” สิ้นคำพูดนั้น อีกสามคนที่เหลือจึงหันขวับมายังผู้สื่อสารคนสุดท้ายเป็นตาเดียว ระย้าลดกระบอกกล้องส่องทางไกลลง หันมามองธาราด้วยความคลางแคลงใจ
“เจ้ารู้จักเขาหรือธารา...ผู้ชายคนนั้น ข้าจำได้แล้ว...คนที่ถูกจับขังในคุกใกล้ๆ กับเจ้าตอนนั้นใช่มั้ย”
“แล้วเขาจะจับพวกเราทำไม พวกเมืองมูลละเหรอ?” ธันย์ร้องถามอีกคน ก่อนที่ธาราจะอ้ำๆ อึ้งๆ ไม่กล้าบอกความจริง แต่ขณะนั้นเองรถม้าก็หยุดกึกลงกะทันหัน ทั้งสี่ถลันร่างล้มทับกันไปคนละทิศละทาง ก่อนจะได้ยินเสียงม้าสี่ตัวที่บังคับรถม้าร้องลั่น พร้อมกับเสียงสุดท้ายของสุเภทะที่ร้องอย่างเจ็บปวดเมื่อถูกดาบฟันเข้าที่ลำคอ
รถม้าล้มคว่ำลงกลางทาง ม้าทั้งสี่วิ่งกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศละทาง ทหารของมูลละและนครนิรมิตชูดาบขึ้นเหนือหัวและกรูเข้ามาล้อมรอบไว้
นครนิรมิต ตอนที่ ๙ ทางเลือก
https://ppantip.com/topic/36751697
ผู้บังคับอาชาขบวนทัพที่หมายมุ่งไปช่วยเหลือองค์ชายสุริยจักรได้รับรายงานว่ามีรถม้าคันสุดท้ายหายออกไปจากเส้นทาง เขาจึงสั่งให้ม้าดำยี่สิบตัวมุ่งหน้าไปตามหารถม้าคันนั้น....
แสงสิงห์ หัสรา และลูกน้องทั้งหมดต้องหนีลงมาจากภูเขาอย่างทุลักทุเลหลังจากที่กลุ่มผู้สื่อสารทั้งหมดหลบหนีไปได้ เขาต่อสู้กับกลุ่มผู้พิทักษ์จนต้องเสียทหารไปสามนาย แต่สิ่งที่ได้กลับคืนมานั้นคุ้มค่ายิ่งกว่า เพราะมันคือหีบมณีศักดิ์สิทธิ์ของเทวนาคา
รถม้าของเขาที่หมายจะนำผู้สื่อสารกลับไปยังนครนิรมิตมุ่งตามรถม้าของสุเภทะที่มุ่งสู่ทิศเหนือ แต่ทว่าเมื่อจวนใกล้จะตามทันขบวนรถม้าตรงหน้าอีกไม่ไกล ม้าเร็วยี่สิบตัวของสุเรนทร์พิศาลที่ส่งไปช่วยเหลือองค์ชายสุริยจักรก็ตีขนาบข้างขบวนของเขา เตรียมพร้อมที่จะโจมตี
หัสราร้องให้สัญญาณ สั่งให้ทหารทุกนายระวังตัวและเตรียมตั้งรับ พลธนูนำลูกธนูขึ้นคันธนูเตรียมยิง และเมื่อม้าดำกลุ่มตรงหน้าเข้ามาใกล้ ลูกธนูอาบยาพิษก็พุ่งเข้าใส่ทหารของสุเรนทร์พิศาลดุจห่าฝน
กลุ่มทหารม้าดำล้มครืนลงพื้น ในขณะที่อาชาซึ่งถูกพิษจากลูกธนูดิ้นร้องอย่างทรมาน แสงสิงห์สั่งให้ผู้บังคับรถม้าเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น ทั้งหมดจึงเคลื่อนออกห่างจากกลุ่มทหารม้าสุเรนทร์พิศาลที่ยังคงตะลีตะลานประคองม้าที่ล้มเจ็บ
“มุ่งตรงไปที่รถม้าคันนั้น...เข้าไปประชิดให้ได้” เสียงของแสงสิงห์ร้องสั่ง ก่อนที่ทหารทั้งหมดจะกระชับเชือกบังคับม้าให้มันเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น ดวงตาคมเข้มของทหารหนุ่มจ้องมองไปที่รถม้าสีดำคันตรงหน้าที่อยู่อีกไม่ไกล ไม่ว่ายังไงเขาก็จะต้องพาผู้สื่อสารทั้งสี่คนกลับไปยังนครนิรมิตให้ได้
ระย้าหยิบเอากระบอกส่องทางไกลขึ้นมาส่องมองไปยังกลุ่มทหารม้าที่ติดตามมาเบื้องหลังด้วยหัวใจสั่นระทึก สุดหล้าหยิบอีกอันขึ้นมาก่อนใช้มันแนบกับกระบอกตา ใช้มืออีกข้างเปิดผ้าม่านดำที่ปิดหน้าต่างของรถม้าออก อีกสองร่างที่อยู่ใกล้กันเฝ้ามองอย่างใจเต้น
“เห็นอะไรบ้าง...” ธันย์ถามเสียงพร่า หัวใจเต้นโครมครามอยู่ในอก กลัวว่าจะไม่อาจหนีรอดพ้นดินแดนสุเรนทร์พิศาลไปได้ตามที่ตั้งใจ
“พวกม้าดำ แต่ทหารพวกนั้นไม่ได้แต่งตัวเหมือนทหารสุเรนทร์พิศาล...” ระย้าบอกพลางหอบหายใจถี่ ก่อนที่สุดหล้าจะยิ่งทวีความขุ่นข้องในหัวใจ
“เดี๋ยว...ดูนั่น ข้าจำเจ้าคนที่บังคับรถม้าข้างหลังเราได้ ชายที่จะปรี่ลงมาจับตัวพวกเราตอนกำลังอาบน้ำในบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ไง...เขาตามเรามา ตามเรามาทำไม?” สุดหล้าลดกระบอกกล้องลงเมื่อมือเย็นของธาราเอื้อมมาแตะแขนเขา พอหันไปมองจึงเห็นแววตาสีมรกตทอแสงวิบวับอย่างครั่นคราม ธาราหยิบกระบอกกล้องมาแนบตา ก่อนที่จะอ้าปากค้างและผายยิ้มออกมาในที่สุด
“ท่านแสงสิงห์...” สิ้นคำพูดนั้น อีกสามคนที่เหลือจึงหันขวับมายังผู้สื่อสารคนสุดท้ายเป็นตาเดียว ระย้าลดกระบอกกล้องส่องทางไกลลง หันมามองธาราด้วยความคลางแคลงใจ
“เจ้ารู้จักเขาหรือธารา...ผู้ชายคนนั้น ข้าจำได้แล้ว...คนที่ถูกจับขังในคุกใกล้ๆ กับเจ้าตอนนั้นใช่มั้ย”
“แล้วเขาจะจับพวกเราทำไม พวกเมืองมูลละเหรอ?” ธันย์ร้องถามอีกคน ก่อนที่ธาราจะอ้ำๆ อึ้งๆ ไม่กล้าบอกความจริง แต่ขณะนั้นเองรถม้าก็หยุดกึกลงกะทันหัน ทั้งสี่ถลันร่างล้มทับกันไปคนละทิศละทาง ก่อนจะได้ยินเสียงม้าสี่ตัวที่บังคับรถม้าร้องลั่น พร้อมกับเสียงสุดท้ายของสุเภทะที่ร้องอย่างเจ็บปวดเมื่อถูกดาบฟันเข้าที่ลำคอ
รถม้าล้มคว่ำลงกลางทาง ม้าทั้งสี่วิ่งกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศละทาง ทหารของมูลละและนครนิรมิตชูดาบขึ้นเหนือหัวและกรูเข้ามาล้อมรอบไว้