นครนิรมิต ตอนที่ ๕ กบฎ
https://ppantip.com/topic/36731553
ตอนที่ ๖ แผนลับ
สุเรนทร์พิศาลมีพาหนะอันรวดเร็วเหลือคณาเป็นอาวุธ นั่นก็คืออาชาสีดำที่มีอยู่เกือบร้อยตัว ฝีเท้าพวกมันเร็วกว่าม้าปกติทั่วไปถึงสองเท่า ซ้ำยังไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เล่ากันว่าพระเจ้ายโสสุริยาสั่งให้นางกุดั่นปรุงโอสถชนิดพิเศษผสมกับน้ำให้ม้าพวกนี้ดื่มกิน ซ้ำยังมีกองทัพที่เต็มไปด้วยทหารหนุ่มแน่นซึ่งเตรียมพร้อมจะทำลายฝั่งตรงข้ามและพลีกายแด่สุเรนทร์พิศาล เด็กหนุ่มพวกนี้จะถูกนำเข้ามาฝึกซ้อมเพื่อเป็นทหารตั้งแต่อายุสิบสอง พอย่างสิบหกปีจึงต้องถือดาบใส่ชุดเกราะออกรบเต็มตัว พวกเขาถูกปลูกฝังให้ศรัทธาแด่องค์กษัตริย์แต่เพียงผู้เดียว และมีหน้าที่รับคำสั่ง ทำตามในทุกสิ่งที่องค์กษัตริย์ปรารถนา
ทัพขององค์ชายสุริยจักรประกอบไปด้วยทหารห้าร้อยนาย ทหารม้าอีกหนึ่งร้อยนาย และช้างอีกห้าสิบเชือก เคลื่อนพลออกจากสุเรนทร์พิศาลในยามบ่ายคล้อย ตามฤกษ์ที่นางเทพพยากรณ์ทั้งสามกำหนดมา
ครั้นเมื่อทัพซึ่งจัดแต่งออกไปหมายปราบกบฏแห่งเมืองมหินทร์บรรพตเคลื่อนออกพ้นประตูเมืองไปแล้ว ก็ถึงคราวที่จะต้องชำระคดีของผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นศัตรูในวันเฉลิมฉลองให้แก่ผู้สื่อสารทั้งสี่
แสงสิงห์และหัสราถูกนำตัวออกมาจากห้องขัง หลังจากที่เช้าตรู่วันนี้ธาราถูกนำร่างออกไปก่อนหน้าเขา ทหารกล้าแห่งมูลละทั้งสองนายยังถูกพันธนาการไว้ทั้งมือและเท้า สืบเท้าเดินตามผู้คุมออกไปภายนอกคุกพร้อมกับชาวเมืองคนอื่นๆ ที่ถูกจับกุม ตรงมายังลานโล่งแห่งหนึ่งที่อยู่หลังพระราชวังและถูกปลดพันธนาการโซ่ตรวนออกจากร่าง
ทหารร่างใหญ่นามว่าอำภุช ยืนตะเบ็งท่าจ้องมองเหล่าชาวเมืองที่ต่างยืนอยู่ด้วยความหวาดกลัว แสงสิงห์และหัสราหันมองไปรอบๆ เพื่อหาทางหนีทีไล่
“องค์เหนือหัวมีบัญชาให้พวกเจ้าต้องเป็นทาสรับใช้ จนกว่าเทพพยากรณ์จะระบุตัวผู้ริเป็นศัตรูแก่สุเรนทร์พิศาล จงตามข้าเข้าไปในอุโมงค์เพื่อตรารอยประทับสัญลักษณ์แห่งทาส” สิ้นเสียงของอำภุชเหล่าชาวเมืองต่างร้องด้วยความตกใจ หนึ่งในนั้นคือชายหนุ่มร่างใหญ่กำยำที่ยืนอยู่ด้านหน้าแสงสิงห์
“พวกเรามิได้ทำผิดอันใด เหตุไฉนต้องเป็นทาสด้วย หากรอยประทับตราลงบนร่างเรา ก็หมายความว่าเราต้องเป็นทาสไปชั่วชีวิต”
ปลายดาบคมชี้ไปยังร่างหนานั้นทันที “เจ้ากล้าขัดขืนคำสั่งองค์เหนือหัวงั้นรึ”
สิ้นเสียงอำภุช ทหารที่ยืนคุมสองนายก็ปรี่เข้ามาหมายจะทำร้ายชายหนุ่มผู้คิดต่อต้านรับสั่งอันอธรรมนั้น หากแต่เมื่อทหารสองนายนั้นมาถึงก็ถูกเขาซัดหมัดและถีบจนหงายหลัง กลุ่มชาวเมืองที่ไม่ยอมจำนนต่อชะตากรรมลุกฮือขึ้น ชาวเมืองที่เป็นชายตรงเข้าช่วยกันต่อสู้กับเหล่าทหาร หากเป็นหญิงก็รีบวิ่งออกจากลานตัดสิน แสงสิงห์กับหัสราช่วยเหล่าชาวเมืองสู้กับทหารพวกนั้นได้สักพักจนเมื่อเหตุการณ์เริ่มบานปลาย หัสราเห็นว่าประจวบเหมาะที่จะชิงหลบหนีออกไปจากวังแห่งนี้จึงรีบดึงแขนผู้เป็นหัวหน้าออกมา
“แล้วชาวเมืองพวกนั้นเล่า ชะตากรรมพวกเขาจะเป็นเช่นไร” แสงสิงห์ตะโกนไล่หลังคนที่วิ่งนำหน้าตรงไปยังชายป่าหลังพระราชวัง หัสราหันมาเม้มปากใส่แวบหนึ่งก่อนจ้ำอ้าวต่อ
“ท่านห่วงตัวเองก่อนเถอะ เรามีงานใหญ่ต้องทำ หรือว่าอยากจะเป็นทาสรับใช้อยู่ที่นี่” คำพูดของหัสราพอจะดับโทสะในกายหนุ่มให้ผ่อนลงได้บ้าง หากแต่แสงสิงห์ก็อดสงสารเหล่าชาวเมืองผู้บริสุทธิ์เหล่านั้นไม่ได้ ทั้งคู่วิ่งมาจนถึงแนวกำแพงวังก่อนจะเห็นแสงคบไฟเล็กๆ โบกให้สัญญาณ หัสราจึงยิ้มออกมา
“ข้าว่าจะปรี่เข้าไปช่วยเสียแล้ว นึกว่าจะไม่รอด...” ทิวา ลูกน้องหนุ่มในชุดทหารของสุเรนทร์พิศาลผู้โบกคบไฟให้สัญญาณสำรวจมองร่างแม่ทัพทั้งสองนายที่วิ่งหนีตายกันมาอย่างฉิวเฉียด แสงสิงห์ขบกราม วางสีหน้าเครียดขรึมขณะเหลือบมองทหารเบื้องหลังทิวาอีกห้านาย
“แล้วจะออกไปกันอย่างไร” คำถามของแม่ทัพหนุ่มทำให้หัสราต้องลอบยิ้ม
“พวกเราเจาะกำแพงเข้ามา พอจะลอดออกไปได้ขอรับ” ทิวาตอบน้ำเสียงจริงจัง
“ท่านก็ถามแปลก หากพวกนี้ไม่มีหนทางที่จะเข้ามา แล้วพวกมันจะมายืนอยู่ตรงนี้ได้เยี่ยงไร” หัสราหัวเราะน้อยๆ อย่างนึกขันทั้งที่เพิ่งผ่านเหตุชุลมุนมาหยกๆ แสงสิงห์ทำทีกระฟัดกระเฟียดใส่ แกล้งเดินไปชนไหล่อีกฝ่ายก่อนสั่งให้ทิวานำทางไปยังช่องลับนั้น
ทั้งหมดเดินทางออกมาจากเขตแนวกำแพงพระราชวังอย่างรวดเร็ว ตรงไปยังที่ซ่อนลับของกองกำลังที่เดินทางมาทำงานสำคัญโดยเฉพาะ รถม้าสี่คัน ม้าเร็วอีกสามสิบตัว และทหารอีกสามสิบห้าคน ดาบ หอก ธนู และเสบียงอาหารที่ใช้สำหรับการเดินทางไกล ทุกอย่างเตรียมพร้อมเสร็จสรรพ
แสงสิงห์สำรวจข้าวของทุกอย่างอย่างละเอียดก่อนกลับมานั่งพักบนขอนไม้ใหญ่ เบื้องหน้าที่เขานั่งอยู่บนภูเขาสูงมองเห็นพระราชวังของสุเรนทร์พิศาลถนัดตา ดวงตาคมคายสำรวจมองอย่างช้าๆ หัวใจถวิลคิดไปถึงชายทั้งหนุ่มทั้งสี่คนที่คงอยู่ที่ไหนสักแห่งภายในพระราชวังอันอลังการเบื้องหน้านั้น
นครนิรมิต ตอนที่ ๖ แผนลับ
https://ppantip.com/topic/36731553
สุเรนทร์พิศาลมีพาหนะอันรวดเร็วเหลือคณาเป็นอาวุธ นั่นก็คืออาชาสีดำที่มีอยู่เกือบร้อยตัว ฝีเท้าพวกมันเร็วกว่าม้าปกติทั่วไปถึงสองเท่า ซ้ำยังไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เล่ากันว่าพระเจ้ายโสสุริยาสั่งให้นางกุดั่นปรุงโอสถชนิดพิเศษผสมกับน้ำให้ม้าพวกนี้ดื่มกิน ซ้ำยังมีกองทัพที่เต็มไปด้วยทหารหนุ่มแน่นซึ่งเตรียมพร้อมจะทำลายฝั่งตรงข้ามและพลีกายแด่สุเรนทร์พิศาล เด็กหนุ่มพวกนี้จะถูกนำเข้ามาฝึกซ้อมเพื่อเป็นทหารตั้งแต่อายุสิบสอง พอย่างสิบหกปีจึงต้องถือดาบใส่ชุดเกราะออกรบเต็มตัว พวกเขาถูกปลูกฝังให้ศรัทธาแด่องค์กษัตริย์แต่เพียงผู้เดียว และมีหน้าที่รับคำสั่ง ทำตามในทุกสิ่งที่องค์กษัตริย์ปรารถนา
ทัพขององค์ชายสุริยจักรประกอบไปด้วยทหารห้าร้อยนาย ทหารม้าอีกหนึ่งร้อยนาย และช้างอีกห้าสิบเชือก เคลื่อนพลออกจากสุเรนทร์พิศาลในยามบ่ายคล้อย ตามฤกษ์ที่นางเทพพยากรณ์ทั้งสามกำหนดมา
ครั้นเมื่อทัพซึ่งจัดแต่งออกไปหมายปราบกบฏแห่งเมืองมหินทร์บรรพตเคลื่อนออกพ้นประตูเมืองไปแล้ว ก็ถึงคราวที่จะต้องชำระคดีของผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นศัตรูในวันเฉลิมฉลองให้แก่ผู้สื่อสารทั้งสี่
แสงสิงห์และหัสราถูกนำตัวออกมาจากห้องขัง หลังจากที่เช้าตรู่วันนี้ธาราถูกนำร่างออกไปก่อนหน้าเขา ทหารกล้าแห่งมูลละทั้งสองนายยังถูกพันธนาการไว้ทั้งมือและเท้า สืบเท้าเดินตามผู้คุมออกไปภายนอกคุกพร้อมกับชาวเมืองคนอื่นๆ ที่ถูกจับกุม ตรงมายังลานโล่งแห่งหนึ่งที่อยู่หลังพระราชวังและถูกปลดพันธนาการโซ่ตรวนออกจากร่าง
ทหารร่างใหญ่นามว่าอำภุช ยืนตะเบ็งท่าจ้องมองเหล่าชาวเมืองที่ต่างยืนอยู่ด้วยความหวาดกลัว แสงสิงห์และหัสราหันมองไปรอบๆ เพื่อหาทางหนีทีไล่
“องค์เหนือหัวมีบัญชาให้พวกเจ้าต้องเป็นทาสรับใช้ จนกว่าเทพพยากรณ์จะระบุตัวผู้ริเป็นศัตรูแก่สุเรนทร์พิศาล จงตามข้าเข้าไปในอุโมงค์เพื่อตรารอยประทับสัญลักษณ์แห่งทาส” สิ้นเสียงของอำภุชเหล่าชาวเมืองต่างร้องด้วยความตกใจ หนึ่งในนั้นคือชายหนุ่มร่างใหญ่กำยำที่ยืนอยู่ด้านหน้าแสงสิงห์
“พวกเรามิได้ทำผิดอันใด เหตุไฉนต้องเป็นทาสด้วย หากรอยประทับตราลงบนร่างเรา ก็หมายความว่าเราต้องเป็นทาสไปชั่วชีวิต”
ปลายดาบคมชี้ไปยังร่างหนานั้นทันที “เจ้ากล้าขัดขืนคำสั่งองค์เหนือหัวงั้นรึ”
สิ้นเสียงอำภุช ทหารที่ยืนคุมสองนายก็ปรี่เข้ามาหมายจะทำร้ายชายหนุ่มผู้คิดต่อต้านรับสั่งอันอธรรมนั้น หากแต่เมื่อทหารสองนายนั้นมาถึงก็ถูกเขาซัดหมัดและถีบจนหงายหลัง กลุ่มชาวเมืองที่ไม่ยอมจำนนต่อชะตากรรมลุกฮือขึ้น ชาวเมืองที่เป็นชายตรงเข้าช่วยกันต่อสู้กับเหล่าทหาร หากเป็นหญิงก็รีบวิ่งออกจากลานตัดสิน แสงสิงห์กับหัสราช่วยเหล่าชาวเมืองสู้กับทหารพวกนั้นได้สักพักจนเมื่อเหตุการณ์เริ่มบานปลาย หัสราเห็นว่าประจวบเหมาะที่จะชิงหลบหนีออกไปจากวังแห่งนี้จึงรีบดึงแขนผู้เป็นหัวหน้าออกมา
“แล้วชาวเมืองพวกนั้นเล่า ชะตากรรมพวกเขาจะเป็นเช่นไร” แสงสิงห์ตะโกนไล่หลังคนที่วิ่งนำหน้าตรงไปยังชายป่าหลังพระราชวัง หัสราหันมาเม้มปากใส่แวบหนึ่งก่อนจ้ำอ้าวต่อ
“ท่านห่วงตัวเองก่อนเถอะ เรามีงานใหญ่ต้องทำ หรือว่าอยากจะเป็นทาสรับใช้อยู่ที่นี่” คำพูดของหัสราพอจะดับโทสะในกายหนุ่มให้ผ่อนลงได้บ้าง หากแต่แสงสิงห์ก็อดสงสารเหล่าชาวเมืองผู้บริสุทธิ์เหล่านั้นไม่ได้ ทั้งคู่วิ่งมาจนถึงแนวกำแพงวังก่อนจะเห็นแสงคบไฟเล็กๆ โบกให้สัญญาณ หัสราจึงยิ้มออกมา
“ข้าว่าจะปรี่เข้าไปช่วยเสียแล้ว นึกว่าจะไม่รอด...” ทิวา ลูกน้องหนุ่มในชุดทหารของสุเรนทร์พิศาลผู้โบกคบไฟให้สัญญาณสำรวจมองร่างแม่ทัพทั้งสองนายที่วิ่งหนีตายกันมาอย่างฉิวเฉียด แสงสิงห์ขบกราม วางสีหน้าเครียดขรึมขณะเหลือบมองทหารเบื้องหลังทิวาอีกห้านาย
“แล้วจะออกไปกันอย่างไร” คำถามของแม่ทัพหนุ่มทำให้หัสราต้องลอบยิ้ม
“พวกเราเจาะกำแพงเข้ามา พอจะลอดออกไปได้ขอรับ” ทิวาตอบน้ำเสียงจริงจัง
“ท่านก็ถามแปลก หากพวกนี้ไม่มีหนทางที่จะเข้ามา แล้วพวกมันจะมายืนอยู่ตรงนี้ได้เยี่ยงไร” หัสราหัวเราะน้อยๆ อย่างนึกขันทั้งที่เพิ่งผ่านเหตุชุลมุนมาหยกๆ แสงสิงห์ทำทีกระฟัดกระเฟียดใส่ แกล้งเดินไปชนไหล่อีกฝ่ายก่อนสั่งให้ทิวานำทางไปยังช่องลับนั้น
ทั้งหมดเดินทางออกมาจากเขตแนวกำแพงพระราชวังอย่างรวดเร็ว ตรงไปยังที่ซ่อนลับของกองกำลังที่เดินทางมาทำงานสำคัญโดยเฉพาะ รถม้าสี่คัน ม้าเร็วอีกสามสิบตัว และทหารอีกสามสิบห้าคน ดาบ หอก ธนู และเสบียงอาหารที่ใช้สำหรับการเดินทางไกล ทุกอย่างเตรียมพร้อมเสร็จสรรพ
แสงสิงห์สำรวจข้าวของทุกอย่างอย่างละเอียดก่อนกลับมานั่งพักบนขอนไม้ใหญ่ เบื้องหน้าที่เขานั่งอยู่บนภูเขาสูงมองเห็นพระราชวังของสุเรนทร์พิศาลถนัดตา ดวงตาคมคายสำรวจมองอย่างช้าๆ หัวใจถวิลคิดไปถึงชายทั้งหนุ่มทั้งสี่คนที่คงอยู่ที่ไหนสักแห่งภายในพระราชวังอันอลังการเบื้องหน้านั้น