นครนิรมิต ตอนที่ ๔ ผู้ถูกกล่าวหา
https://ppantip.com/topic/36708955
ตอนที่ ๕ กบฏ
หลังแก้วกังสดาลลาจากไปทุกอย่างจึงเหมือนตกอยู่ในความเงียบงัน ผู้สื่อสารทั้งสามร่างที่หมายจะเข้ามาดูน้องสุดท้องเพื่อให้หายกังวลค่อยๆ ทรุดนั่งลงตรงหน้ากรงขัง เบิกตามองร่างบอบบางด้วยความเป็นห่วง
“ไม่ต้องกลัวนะธารา...เดี๋ยวพรุ่งนี้พวกมันก็ปล่อยเจ้าออกไปแล้ว” น้ำเสียงของระย้าอ่อนโยน เหมือนกับดวงตาที่จ้องมองธาราในขณะนี้ อีกฝ่ายฝืนยิ้ม แม้จะรู้สึกหวาดหวั่นเต็มที ในขณะที่สองทหารหนุ่มจากเมืองมูลละซึ่งถูกจับขังอยู่ห้องขังข้างๆ หันมามองชายหนุ่มรูปงามทั้งสามอย่างเงียบๆ
“หญิงเมื่อครู่นั้นเป็นผู้ใดกัน” ธาราเอ่ยถาม ในแววตาที่กลายเป็นสีเขียวมรกตหลังปลดปล่อยพลังฤทธาออกจากร่างเพื่อวอนขอฟ้าฝน เบิกมองระย้าสลับกับอีกสองร่าง
ธันย์แสยะยิ้มน้อยๆ เมื่อได้ยินคำถามจากผู้สื่อสารคนใหม่ที่ยังไม่ประสีประสา
“เจ้าไม่สังเกตรึว่านางประทับอยู่ข้างองค์ชายสุริยจักรในงานพิธีเมื่อเช้า นางเป็นชายาองค์ชายสุริยจักร มีนิสัยหยิ่งยโสโอหัง และชอบใช้กำลังกับคนที่ด้อยกว่า แต่เจ้าไม่ต้องกลัวไปหรอกนะ...นางทำอะไรพวกเราไม่ได้หรอก จะทำได้ก็แต่เพียงใช้วาจาค่อนแคะเท่านั้นแหละ”
“แต่...ก็มีบางคำที่ข้าไม่เข้าใจ ที่ท่านสนทนากับนาง” ธารามองหน้าระย้า คนที่ถูกถามถึงกับกระแอมเบาๆ ในขณะที่สุดหล้าและธันย์ที่อยู่เบื้องหลังหยัดกายลุกขึ้นยืนก่อนถอนหายใจ
“องค์ชายสุริยจักรโปรดชมการร่ายรำมาก และนายละครที่เขาโปรดมากที่สุดก็คือคนตรงหน้าเจ้านั่นไงธารา” สิ้นคำพูดสุดหล้าธาราถึงกับเบิกตาโพลง ระย้าถอนหายใจยาวจนได้ยินเสียงและหยัดกายลุกขึ้นยืนบ้าง ในดวงตากลมโตเรื่อเรืองด้วยความเหนื่อยหน่าย ก่อนที่จะมีบางอย่างฉุดให้ใบหน้างดงามต้องหันขวับไปที่ห้องขังข้างๆ ธารา
ดวงตาสีรุ้งเลื่อมพรายจ้องตาแสงสิงห์ ภาพขณะที่พวกตนประทับอยู่บนที่นั่งฉายอยู่ในหัวของชายหนุ่มรูปร่างประหนึ่งโจรป่า ตัดไปเป็นภาพเมืองมูลละ ภาพชายแก่ชราที่กำลังจะสิ้นใจตาย มือสองมือที่จับกันไว้แน่น และคำสั่งเสียสุดท้ายที่เอ่ยบอก
“นครนิรมิต...”
“เจ้าว่าอะไรนะระย้า...” ธันย์ขยับกายเข้าไปใกล้สหายที่ยืนนิ่งงันดุจต้องมนตร์ แสงสิงห์เมื่อรู้ว่าถูกจ้องนานเกินไปจนหรุบตาลงต่ำ ไม่กล้าสบสายตาอีกฝ่าย
“อ้อ...ไม่ ไม่มีอะไร” ระย้าบอกปัด เหลียวมองร่างชายหนุ่มในห้องขังอีกครั้ง ก่อนตัดใจเดินนำทั้งหมดออกไปอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
นครนิรมิต ตอนที่ ๕ กบฎ
https://ppantip.com/topic/36708955
หลังแก้วกังสดาลลาจากไปทุกอย่างจึงเหมือนตกอยู่ในความเงียบงัน ผู้สื่อสารทั้งสามร่างที่หมายจะเข้ามาดูน้องสุดท้องเพื่อให้หายกังวลค่อยๆ ทรุดนั่งลงตรงหน้ากรงขัง เบิกตามองร่างบอบบางด้วยความเป็นห่วง
“ไม่ต้องกลัวนะธารา...เดี๋ยวพรุ่งนี้พวกมันก็ปล่อยเจ้าออกไปแล้ว” น้ำเสียงของระย้าอ่อนโยน เหมือนกับดวงตาที่จ้องมองธาราในขณะนี้ อีกฝ่ายฝืนยิ้ม แม้จะรู้สึกหวาดหวั่นเต็มที ในขณะที่สองทหารหนุ่มจากเมืองมูลละซึ่งถูกจับขังอยู่ห้องขังข้างๆ หันมามองชายหนุ่มรูปงามทั้งสามอย่างเงียบๆ
“หญิงเมื่อครู่นั้นเป็นผู้ใดกัน” ธาราเอ่ยถาม ในแววตาที่กลายเป็นสีเขียวมรกตหลังปลดปล่อยพลังฤทธาออกจากร่างเพื่อวอนขอฟ้าฝน เบิกมองระย้าสลับกับอีกสองร่าง
ธันย์แสยะยิ้มน้อยๆ เมื่อได้ยินคำถามจากผู้สื่อสารคนใหม่ที่ยังไม่ประสีประสา
“เจ้าไม่สังเกตรึว่านางประทับอยู่ข้างองค์ชายสุริยจักรในงานพิธีเมื่อเช้า นางเป็นชายาองค์ชายสุริยจักร มีนิสัยหยิ่งยโสโอหัง และชอบใช้กำลังกับคนที่ด้อยกว่า แต่เจ้าไม่ต้องกลัวไปหรอกนะ...นางทำอะไรพวกเราไม่ได้หรอก จะทำได้ก็แต่เพียงใช้วาจาค่อนแคะเท่านั้นแหละ”
“แต่...ก็มีบางคำที่ข้าไม่เข้าใจ ที่ท่านสนทนากับนาง” ธารามองหน้าระย้า คนที่ถูกถามถึงกับกระแอมเบาๆ ในขณะที่สุดหล้าและธันย์ที่อยู่เบื้องหลังหยัดกายลุกขึ้นยืนก่อนถอนหายใจ
“องค์ชายสุริยจักรโปรดชมการร่ายรำมาก และนายละครที่เขาโปรดมากที่สุดก็คือคนตรงหน้าเจ้านั่นไงธารา” สิ้นคำพูดสุดหล้าธาราถึงกับเบิกตาโพลง ระย้าถอนหายใจยาวจนได้ยินเสียงและหยัดกายลุกขึ้นยืนบ้าง ในดวงตากลมโตเรื่อเรืองด้วยความเหนื่อยหน่าย ก่อนที่จะมีบางอย่างฉุดให้ใบหน้างดงามต้องหันขวับไปที่ห้องขังข้างๆ ธารา
ดวงตาสีรุ้งเลื่อมพรายจ้องตาแสงสิงห์ ภาพขณะที่พวกตนประทับอยู่บนที่นั่งฉายอยู่ในหัวของชายหนุ่มรูปร่างประหนึ่งโจรป่า ตัดไปเป็นภาพเมืองมูลละ ภาพชายแก่ชราที่กำลังจะสิ้นใจตาย มือสองมือที่จับกันไว้แน่น และคำสั่งเสียสุดท้ายที่เอ่ยบอก
“นครนิรมิต...”
“เจ้าว่าอะไรนะระย้า...” ธันย์ขยับกายเข้าไปใกล้สหายที่ยืนนิ่งงันดุจต้องมนตร์ แสงสิงห์เมื่อรู้ว่าถูกจ้องนานเกินไปจนหรุบตาลงต่ำ ไม่กล้าสบสายตาอีกฝ่าย
“อ้อ...ไม่ ไม่มีอะไร” ระย้าบอกปัด เหลียวมองร่างชายหนุ่มในห้องขังอีกครั้ง ก่อนตัดใจเดินนำทั้งหมดออกไปอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย