[CR] มาชมและชิมร้าน L'Atelier de Joel Robuchon (ลาเทเลียร์ เดอ โจเอล โรบูชอง / ลัตเตอลิเยร์ เดอ โชเอล โรบูชง) @มหานคร กันค่ะ

สวัสดีค่ะ วันนี้หนูหนิงคนเดิมจะมารีวิวร้านอาหารของเชฟที่ได้ชื่อว่าเป็น 'Chef of the Century' เป็นเชฟที่ครอบครองดาวมิชลินมากที่สุดในโลกจากหลากหลายร้านอาหารทั่วโลก นั่นก็คือเชฟ Joel Robuchon นั่นเองค่ะ ดาวที่ได้ส่วนมาคือ 2-3 ดาว และทีมจาก L'Atelier de Joël Robuchon ก็ยกขบวนกันมาไกลจากฝรั่งเศส มาเปิดในตึก Mahanakorn Cube ตรงถนนนราธิวาสราชนครินทร์ ติด BTS ช่องนนทรีค่ะ ครั้งนี้เป็นการรับประทานอาหารจากฝีมือเชฟมิชลิน เป็นครั้งแรกในชีวิต ช่างน่าตื่นเต้นอะไรเช่นนี้!!!


เริ่มจากกดลิฟต์กันเลยค่ะ ร้านจะอยู่ที่ชั้น 5 ของตึกนะคะ


ขึ้นมาถึงแล้วแต่มาเร็วไปนิดค่ะ ร้านเปิด 11 โมง ต้องนั่งรอหน้าร้านกันแป๊บนึงค่ะ



นั่งนานๆมีมึนจากสีของไฟ ไม่กล้าเงยหน้าเลยค่ะ


ในที่สุดร้านก็เปิด เย้...ได้เข้าไปนั่งแล้วค่ะ เป็นลูกค้ากลุ่มแรกของวันเลย ยิ้ม



พอได้นั่ง พี่พนักงานก็ยกไอแพดขึ้นมาตั้งค่ะ เพื่อให้เราสั่งเครื่องดื่ม ทางร้านจะมีเมนูเครื่องดื่มเยอะมากค่ะ


แต่วันนี้เราตั้งใจมาทานอาหารค่ะ ไม่เน้นแฮลกอฮอลล์ จึงสั่งเป็นน้ำผลไม้และน้ำเปล่าแทนค่ะ


พอจิ้มเครื่องดื่มเรียบร้อย พี่เค้าก็เก็บแก้วไวน์ที่ตั้งไว้ออกไป และเสิร์ฟน้ำก่อนเลยค่ะ


มาดูเมนูอาหารกันบ้างค่ะ สำหรับอาหารมีทั้งเป็น Set Lunch, Set Dinner และ A la Carte ค่ะ วันนี้หนิงมาทานแบบ Set Lunch สำหรับ Set Lunch Menu นั้นจะมีแบบ 2-Course, 3-Course, หรือ 4-Course แล้วแต่เราจะจิ้มเลือกเลยค่ะ






หลังจากจิ้มเลือกอาหารกันไปเรียบร้อยแล้ว ก็มีเครื่องดื่มที่เราสั่งไปมาเสิร์ฟค่ะ

แก้วแรกของหนิงเองค่ะ น้ำ Cranberry


ต่อด้วยของเพื่อนค่ะ น้ำ Pear


และสุดท้าย ถ่ายไม่ทันค่ะ คาดว่าเพื่อนคงหิวน้ำ เหลือไว้ให้ถ่ายแค่นี้กับน้ำ Apple ค่ะ อมยิ้ม11


เปิดมาด้วย Bread Basket มีขนมปังให้เลือกทานหลายแบบมากๆๆ ขนมปังแต่ละตัวจะทำสดใหม่ทุกวัน เป็นขนมปังที่อร่อยสุดยอดมากๆค่ะ กรอบนอก นุ่มใน โอ้ยยยยยย ปลื้มปริ่มน้ำตาจะไหล เราก็จัดไปซะคนละ 6 ชิ้น เนื่องจากกลัวว่าทางร้านจะน้อยใจ อิอิ (ใช่หรอ?)


ครัวซอง :: หอมนุ่มชุ่มเนย อร่อยมากกกกก
บาร์แกต :: มาตรฐานบาร์แกต แข้งนอก นุ่มใน
แบบผสมหมึกปลาหมึก :: นุ่มดีแต่ รสชาติทั่วไป
แบบผสมโรสแมรี่ :: มีกลิ่นโรสแมรี่หอมๆ
แบบผสมเบคอน :: เค็มๆ มันๆ
สรุปได้ว่าขนมปังทุกตัวนุ่มมมมและอร่อย แต่ที่ชอบสุดๆคือครัวซองค่ะ

คอนเซ็ปของร้านคือการทานอาหารบริเวณ Open Kitchen คุณจะสามารถดื่มด่ำกับบรรยากาศการกินพร้อมกับได้พูดคุยและเห็นเชฟทำอาหารแบบสดๆ ตรงหน้า ทานขนมปังไป ดูเชฟไป ซึ่งประทับใจมากในจุดนี้คือเป็นครัวที่นุ่มนวลมาก เงียบ สงบ สะอาด เป็นระเบียบ และไม่มีกลิ่นจากการทำอาหารเลยค่ะ ทำให้ไม่เสียบรรยากาศในการทานอาหาร


จานต่อมาเป็น Complimentary amuse bouche :: ตัวนี้เป็น Foie Gras และ Crisp and soft quinoa, smoked piquillo flavor
Foie Gras ในแก้วเป็น Custard foie gras ด้านบนมีฟองครีมจาก Parmesan Cheese ทานพร้อมกันทั้งสามชั้นให้รสชาติที่กลมกล่อม หอมๆ มันๆ รสชาติเข้มข้น ส่วนข้างๆกัน Crisp and soft quinoa, smoked piquillo flavor รสคินัวมาเต็มๆ รสชาติโดยรวมอ่อนๆ มี texture ให้เคี้ยวเล่นหนุบหนับ


เข้าสู่อาหารที่เราสั่งกันค่ะ Une entrée One starter เนื่องจากเราไปกัน 3 คน จึงตกลงกันว่าจะสั่งคนละอย่างไม่ให้ซ้ำกัน เพื่อจะได้มีอาหารให้ชิมหลากหลาย เริ่มจาก

จานแรก LA CREVETTE sur une fine semoule au curry vert et coulis de tomate
Fresh prawn on a thin semolina, green curry and tomato coulis

กุ้งย่างวางมาบนแป้งเซโมลินา กับซอสรสแกง ตัวกุ้งสดและเนื้อแน่น หั่นมา 3 ท่อน และแป้งเซโมลินา รสคล้ายคินัวมาก ตัวซอสก็รสเนียนๆ นุ่มๆ หอมๆ ค่ะ


จานสอง LE FOIE GRAS dr canard et sses petits poireaux vinaigrette facon mimosa
Leeks and foie gras shavings, mustard vivaigrette, egg mimosa

เป็นตับห่านฝานมาบางๆ วางบนต้น leek ต้น leek อร่อยมาก เข้ากับซอสที่ราดมาได้ดีสุดๆ รสชาติจานนี้จะเป็นมันๆ เค็มนิดๆ ตัดเปรี้ยวหน่อยๆ อร่อยดีค่ะ


จานสาม L’ASPERGE BLANCHE DU VAUCLUSE et ses ceufs de caille frits aux copeaux de jambon Joselito
Vaucluse white asparagus with fried quail eggs and Joselito ham

จานนี้แต่งมาสีสันสวยงาม หน่อไม้ฝรั่ง นุ่มมากๆ ตัวครีมรสชาติมันๆ โดยรวมทานได้โดยไม่ต้องจิ้มซอสครีมเลย


มาต่อกันที่อาหารจานหลักของเรากันบ้างค่ะ Un plat One main course เริ่มจาก

จานแรก LE BAR cuit entier en croute de sel, cœur de palmier et palet de patate douce
Whole sea bass cooked in salted crust, heart of palm tree and sweet potato – For two persons

จานนี้ พนักงานย้ำแล้วย้ำอีกว่า สำหรับ 2 ท่านนะคะ เพราะมันมาทั้งตัว แต่ทางทีมสายแข็งเช่นเราก็ไม่ได้นำพา จัดไปฮะ
เป็นปลากะพงห่อด้วยแป้งเอาไปอบ แล้วพนักงานจะเป็นคนเลาะเนื้อมาเสิร์ฟให้ สกิลการแกะปลานี่เทพมาก โดยเฉพาะตอนลอกหนัง เค้ากรีดรอบตัวปลาก่อน จากนั้น ใช้ส้อมม้วนๆลอกหนังออก ดูดีมีสกุลมากๆ ปลาอบมาได้พอดี นุ่มฉ่ำ เสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียงคือยอดมะพร้าวนุ่มนิ่มคล้ายจะนำไปแกง มีมันม่วงบดท็อปด้วยมะพร้าวคั่วแห้งๆ และมะนาวย่าง เป็นการรวมตัวที่แปลกมาก






จานสอง L’AGNEAU le filet aux saveurs méridionales sur une mousseline de courgette
Filet of lamb with Mediterranean flavors, zucchini thin mousse

จานนี้ชอบบบบบบบสุดๆไปเลย แกะย่างมาได้ดีมาก หนานุ่ม สุกพอดี ไม่มีกลิ่นเลย และก็มีมันบด ซึ่งรสเข้มมาก เนียนนนนนนน นุ่ม หอม มัน โอ้ยยยย รักเลย หัวใจ





จานสาม LE SAUMON D’ECOSSE confit sur un jus perlé au balsamique et ses choux grillés
Scottish salmon delicately confit, light balsamic jus, grilled cabbage

แซลมอนมากันแบบดิบๆ เสิร์ฟมาในซอสใสๆ เนื้อปลานุ่มมมมมนวล ได้รสแซลมอนเต็มๆ รสชาติเค็มอ่อนๆ มีจานข้างเตียงมาด้วย แต่เราไม่ได้ทานเลยบรรยายรสไม่ได้ค่ะ



มาต่อกันที่ของหวานกันบ้างค่ะ Un fromage ou dessert One cheese or dessert

จานแรก MANGO coulis fraise, mangue fraîche et mousse de mangue, sorbet passion banane Fresh mango and mango mousse, strawberry coulis, passion fruit and banana sorbet

เค้าว่าเป็นมูสมะม่วง แต่รสหลักดันกลายเป็นเสาวรส รสมะม่วงอ่อนไปนิดเนื่องจากโดนเสาวรสกลบ แต่โดยรวม เปรี้ยวหวาน ทานแล้วสดชื่นนน


จานสอง SEDUCTION FRAMBOISE crémeux framboise, paillettes givrées de Champagne rosé et sorbet lychee
Raspberry custard with a pink Champagne granite and lychee sorbet

อันนี้ทั้งรสและกลิ่น เหมือนทานลิ้นจี่กระป๋อง หัวเราะ หัวเราะ หัวเราะ แหะๆ แต่เสิร์ฟมาสวยมากๆๆๆ ไม่อยากตักทานเลย



จานสาม LE SACHER gâteau classique au
chocolat tainori 64% abricot et velouté amande
Classic Sacher cake with chocolate tainori 64% apricot filling and almond velouté

ช็อคโกแลตเข้มข้นมากกกกกกก ตัวเค้กทานคู่กันกับช็อคโกแลตเข้ากันดีมาก เข้มเข้นสุดๆ


พอจบของหวาน ทางร้านก็มี Petit four มาให้ 2 อย่างค่ะ

จานแรกเป็นขนมอบ คล้ายขนมไข่ กลิ่นส้ม YUZU


จานสองเป็นช้อคโกแลตไส้ครีมราคาเมลเข้มข้น


แอบส่อง Executive Chef ที่ดูแลสาขาในไทยร้านนี้ นั่นก็คือเชฟ Olivier Limousin ซึ่งเคยทำงานให้สาขาที่ลอนดอนมาก่อน (Michelin 2 star) ประหลาดใจ


ได้เวลาคิดต่าเสียหายมื้อนี้กันแล้วค่ะ เรียกเก็บเงินกันค่ะ


ค่าเสียหายมื้อนี้ค่ะ


สรุปประสบการณ์ในการรีวิวร้านอาหารในมื้อนี้ อาหารรสชาติเลอค่ามากๆ การบริการที่สุดแห่ง VIP (55555 รู้สึกโอเวอร์จัง) บรรยากาศร้านดูหรูหรา อาหารจัดเสิร์ฟมาสวยงาม ประทับใจมากๆค่ะ

รูปเยอะมากๆต้องขออภัยด้วยนะคะ เนื่องจากเป็นการทานอาหารร้านของเชฟที่ได้ชื่อว่าเป็น 'Chef of the Century' ซึ่งเป็นเชฟที่ครอบครองดาวมิชลินมากที่สุดในโลก เลยทำให้ตื่นเต้น และอยากเก็บบันทึกภาพแห่งความทรงจำไว้เยอะๆ

ขอจบรีวิวด้วยภาพผู้ร่วมประสบการณ์ในมื้อนี้ ขอบคุณและสวัสดีค่ะ อมยิ้ม02

ชื่อสินค้า:   L'Atelier de Joël Robuchon
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่