ความมืด.........4

กระทู้สนทนา
.

.
บทที่ 1
https://ppantip.com/topic/36593368

บทที่ 2
https://ppantip.com/topic/36601045

บทที่ 3
https://ppantip.com/topic/36609836





             เวลานี้เขาไม่สามารถแยกออกว่าอะไรคือ ความมืด อะไรคือความไม่มี หรือเพราะไม่มีจึงมืดดำ พอมาถึงประตู เท้าทั้งคู่แข็งทื่อก้าวไม่ออก  ถ้าเดินออกไปเขาจะหลุดร่วงลงไปในความมืดหรือไม่  ยังจะมีพื้นดินรองรับอยู่หรือไม่  จะเป็นไปได้ไหมว่าด้านนอกเป็นความว่างเปล่ามืดดำ ก้าวออกไปแล้วหลุดหายหายลับไปตลอดกาล

             มันเกิดบ้าอะไรขึ้นมาวะ..! หมอหนุ่มสบถในใจขณะชะงักงันอยู่หน้าประตู และพยายามปลอบใจตัวเอง ก็แค่ไฟดับธรรมดาเท่านั้น ทุกคนคงกำลังยุ่งอยู่กับการแก้ปัญหาเลยไม่มีเวลาเอะอะโวยวาย แต่ว่า... พอมีคำว่า  “แต่ว่า”  ตามมาทำให้เขาขนลุกขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ

             ไม่มี “แต่ว่า”....เขาพยายามคัดค้านสุดชีวิต ทำไมต้องไปคิดถึงเรื่องเหลวไหล แต่ทำนบปราการแห่งความแข็งแกร่งภายในจิตใจกลับค่อยพังทลายลงทุกที   ความคิดด้านลบแบบอัปมงคลบุกโจมตีความแข็งแกร่งของจิตใจ อย่างไม่หยุดยั้งด้วยเหตุผลและความสงสัยเหนือชั้น

             ไม่โว้ย ฉันไม่คิด....ไม่คิดบ้าๆ....แต่ถ้าสมมุติว่ามันอาจเป็นไปได้ว่าขณะนี้เหลือเขาเพียงคนเดียวในจักรวาลล่ะ มันจะเป็นอย่างไร   พอความคิดประหลาดเริ่มเกิดตามมา เทียนไขในมือสั่นไหวตามมือระริกอย่างควบคุมไม่อยู่จนน้ำตาเทียนไหลหยดลงบนข้อมือ ความเจ็บร้อนเหมือนกระตุ้นสติให้กลับมามั่นคงอีกครั้ง  เขาสูดลมหายใจลึก ๆ พยายามรวบรวมสติให้มั่นคง ค่อยย่อเข่าลงนั่ง ลดเทียนในมือลงไปติดพื้นตรงหน้าบันได

             แสงไฟสว่างมองเห็นพื้นคอนกรีต ถัดออกไปพอมองเห็นเป็นพื้นดิน

             มีพื้นดิน!

             หมอหนุ่มหัวเราะลั่นออกมาเหมือนคนบ้า  และถ้าใครมาเห็นเข้าคงนึกว่าเขาบ้าจริง ๆ  ทำไมแค่มองเห็นพื้นดินนอกห้องต้องดีอกดีใจมากมายเกินจริงราวคนเสียสติ มันอาการของคนบ้าไม่ใช่หรือ...  จิตแพทย์หนุ่มกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากเริ่มค่อยเลื่อนเคลื่อนที่อย่างระมัดระวัง คุกเข่าลงเอามือแตะพื้นด้านนอกดูแผ่วเบา มันให้ความรู้สึกถึงความเป็นพื้นดินจริง  ยังสัมผัสถึงต้นหญ้าเล็ก ๆ ขึ้นประปรายบริเวณนอกเหนือพื้นทางเดินคอนกรีต  มีพื้นดินสามารถจับต้องได้ด้วย.... ถ้ามีใครรู้ว่าเขาคิดแบบนี้คงหาว่าเขาบ้าอย่างไม่ต้องสงสัย  ทำไมต้องให้ความสำคัญกับพื้นดินขนาดนั้น ใช่แล้ว...นอกห้องไม่ใช่อวกาศจะต้องกลัวอะไรอีก รถก็จอดอยู่ในลานจอดรถห่างออกไปไม่ไกล แค่เดินตรงไปหาเปิดประตูรถแล้วสตาร์ทรถ ขับตรงไปยังบ้าน หาลูกและภรรยา กินอาหารเย็นด้วยกันอย่างมีความสุข

             เขาลองขยับตัวไปอีกสองสามฟุต พื้นดินก็ปรากฏให้เห็นไกลออกไปอีกสองสามฟุตเช่นกัน   แต่นอกนั้นคือความมืดดำ ไม่มีแสงไฟ ไม่มีแสงดาว ไม่มีแสงสว่างอะไรทั้งนั้น มืดและเงียบจนได้ยินเสียงหัวใจตนเองเต้นระทึกสะท้านทรวง แสงเทียนสั่นไหว เงาแห่งความมืดกำลังเป่าเปลวเทียน ละอองแห่งความมืดเคลื่อนไหวไปมาราวกับมีชีวิต  จิตแพทย์หนุ่มถอยกรูดเข้ามาในห้องอย่างไม่ตั้งใจเหมือนคนโรคจิตไม่กล้าเผชิญโลกภายนอก เวลาช่างยาวนานเหลือเกินในความรู้สึก เขายังมีเทียนไขเหลือไว้ต่อกรกับความมืดอยู่ไม่มากนัก

             ให้ตายสิ!….เขาตรวจนับดู

             เทียนไขเหลือไม่กี่เล่ม ใครจะไปนึกว่าจะเจอความมืดบ้าเลือดขนาดนี้ ดูก็รู้ว่าต่อให้จุดทีละเล่มก็ไม่มีวันพ้นคืนนี้ไปจนถึงรุ่งเช้า แล้วถ้าเทียนไขหมดจะเกิดอะไรขึ้น เขาจะหายไปเหมือนทุกคนในเรื่องราวบันทึกของคนบ้าหรือไม่ รู้สึกเหมือนว่าถูกไล่ให้จนมุมเข้าไปทุกที ด้วยจุดประสงค์อะไรเร้นลับบางอย่าง แผ่นหลังเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่ออันถูกขับเคลื่อนด้วยความหวาดกลัว

             แว่วเสียงคล้ายคนหายใจเฮือกใหญ่ คุณหมอยืนหันรีหันขวาง  น้ำเสียงคุ้นหูอย่างแปลกประหลาด ยามกะทันหันนึกไม่ออกว่าเป็นเสียงของใคร

             “จำพ่อไม่ได้หรือลูกรัก”

             คราวนี้เสียงดังชัดเจนออกมาจากหน้าต่าง เขาหันขวับไปมองแล้วขนลุกซู่ทั้งตัว  เลือดในกายเหมือนจับตัวเป็นน้ำแข็ง หน้าต่างเคยมืดดำเป็นกรอบแห่งความมืด  ปรากฏร่างของชายชราคนหนึ่งปรากฏอยู่ด้านนอก มองเห็นตั้งแต่ส่วนท้องขึ้นมาจนถึงใบหน้าซีดเซียวเหมือนซากศพ กำลังชำเลืองจ้องมองมาด้วยสีหน้ามีรอยยิ้มเล็กน้อยอันยากต่อการเข้าใจ มือขวายกขึ้นทำท่าเหมือนทักทาย

             คุณพ่อของเขาจริงๆ  แต่ท่านตายไปนานแล้ว!

             ในชีวิตของคุณหมอไม่เคยตกใจกลัวอะไรขนาดนี้มาก่อนเลย คนตายไปแล้วมาปรากฏให้เห็นต่อหน้าต่อตา  ให้จิตแข็งแกร่งขนาดไหนก็คงอดสะท้านหวั่นไหวไม่ได้ นี่มันความฝันนรกแตกหรืออย่างไร อย่างไรก็ตามความเป็นจิตแพทย์มือหนึ่งทำให้เขาไม่ได้แหกปากร้องโวยวายแบบคนสติแตก ได้เพียงยืนถือแท่งเทียนในสภาพปากอ้าตาค้างก้าวขาไม่ออก

             “ทำไมไม่ออกมาจากห้องเสียทีล่ะลูกรัก  พวกเรารอลูกอยู่นะ”

             น้ำเสียงนุ่มนวลคุ้นหูแบบนั้น  จะเป็นใครอื่นไม่ได้เด็ดขาด แต่เป็นแบบนี้ได้อย่างไร  ประหลาดหลอน.....มันต้องเป็นอาการประสาทหลอน.... จะให้เชื่อว่าเป็นการหลอกหลอนของภูตผีปีศาจเป็นไปไม่ได้ ต้องเป็นผลจากสารเคมีหรืออะไรสักอย่าง ขณะกำลังรีดเค้นความคิดความเชื่อออกมาสุดชีวิตจิตใจ น้ำตาเทียนไหลหยดลงบนมือทำให้สะดุ้งเฮือก เงาร่างคุณพ่อพยักหน้าให้ ก่อนถอยหายไปในความมืด

             นั่นไง....คุณหมอพยายามฝืนยิ้มให้กับตัวเอง พอความสะดุ้งตกใจเพราะความร้อนของน้ำตาเทียน ภาพหลอนก็หายไปเพราะจิตใจถูกรบกวนกะทันหัน เหมือนคนผวาตื่นจากในร้าย ในหนังสือจิตวิทยาก็เคยอธิบายเอาไว้  ไม่มีอะไรจะอธิบายได้มากกว่านี้แน่นอน แต่ภาพหลอนอะไรชัดเจนเหลือเกิน

            วางเทียนไขตั้งลงบนโต๊ะ ลองยกหูโทรศัพท์อีกครั้ง ไม่มีอะไรตอบกลับมานอกจากความเงียบและอ้างว้าง

             ตั้งสติให้ดีสิ ไอ้บ้า...เขาสบถด่าตัวเอง  ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมันน่าจะมีคำอธิบายสักอย่าง ข้างนอกนั่นเขาก็พิสูจน์แล้วว่ามันยังมีอยู่ มีพื้นดิน  ภาพนอกหน้าตาก็เป็นเพียงภาพหลอน ด้านนอกห้องยังคงเป็นปกติ ทุกอย่างที่เคยมีและควรจะมีก็ไม่ได้หายไปไหน   ไม่เชื่อลองดูอีกทีก็ได้...  เขาปลุกปลอบใจให้เข้มแข็งและความเชื่อมั่นกลับคืนมา  บนโต๊ะมีหนังสือหลายเล่มคุณหมอเลือกเล่มหนา ๆ ติดมือมาสามเล่มเดินก่อนตรงไปยังประตู ยกหนังสือขึ้นและทุ่มออกไปเต็มแรงในความมืด เสียงหนังสือกระทบพื้นจะไพเราะน่าฟังขนาดไหน

             หมอหนุ่มตัวเย็นเฉียบ... ทรุดกายลงนั่งอย่างไร้เรี่ยวแรง ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมาเลยสักนิด เงียบขนาดแทบจะเรียกได้ว่าเข็มหล่นยังได้ยิน แต่หนังสือทั้งสามเล่มเมื่อปลิวจากมือเข้าสู่ความมืด ต่างพากันหายไร้ตัวตนไปเลย  ไม่มีเสียงหนังสือกระทบพื้นอย่างควรจะเป็น ความเชื่อมั่นเล็ก ๆ ที่เพิ่งก่อตัวขึ้นมาลดหายไปอีกครั้ง  มันเรื่องบ้าอะไรกัน.. ก็เขาเพิ่งเห็นพื้นดินอยู่เมื่อครู่แล้วมาเป็นแบบนี้ได้อย่างไร นั่งเหงื่อตกอยู่พักหนึ่งจึงพยายามฝืนใจลุกขึ้นยืน หยิบเทียนไขซึ่งปักตั้งไว้บนโต๊ะมาเล่มหนึ่ง ลากขาช้า ๆ ไปยังประตู ขอพิสูจน์อีกครั้ง เขาค่อยย่อตัวก้มลงส่องดูพื้นดิน ยื่นเทียนไขในมือออกไปข้างหน้า

             ก็นั่นไงเล่า....พื้นดินยังอยู่ไม่ได้หายไปไหน!

             “พื้นดินยังอยู่ มันยังอยู่..พื้นดินยังอยู่ ...มันไม่ได้หายหัวไปไหน!”

             จิตแพทย์หนุ่มตะโกนสุดเสียงเป็นการปลุกปลอบขวัญตัวเอง  เห็นพื้นดินแล้วตะโกนดีใจ ใครเห็นเข้าก็ต้องนึกว่าบ้าไปแล้วแน่นอน แต่เวลานี้ไม่มีอะไรจะต้องกลัวแล้ว ผู้คนไม่รู้ว่าไปอยู่ไหนหมด ถ้ามีใครสักคนโผล่มาและชี้หน้าด่าว่าเขาเป็นบ้า คงทำให้ดีใจแทบบ้า...

             ค่อยขยับไปอีกอย่างระมัดระวัง พื้นดินค่อยปรากฏให้เห็นไกลออกไปเป็นลำดับ  ตามรัศมีแสงเทียน

             นั่นไง...หนังสือทั้งสามเล่มวางอยู่อย่างไม่เป็นระเบียบ เขาเอื้อมมือสั่นเทาไปแตะ ไม่ใช่ภาพลวงตา เป็นหนังสือชัด ๆ

           “มันไม่ได้หายไป มันไม่ได้หายไป..!!!”

              ร้องออกมาอีกเหมือนคนบ้า และถ้าคิดจริง ๆ พฤติกรรมของหมอหนุ่มก็เหมือนคนบ้ามากเข้าไปแล้วทุกที คนดี ๆ ที่ไหนแค่เห็นหนังสือวางบนพื้นก็ดีใจเป็นบ้าเป็นบอ  เขาหยิบหนังสือติดมือมาเล่มเดียว ถอยกลับมายังพักทำงานอย่างรีบร้อน  ขณะเดินมาถึงประตู อารามรีบร้อนทำให้ข้อศอกขวากระแทกขอบประตูปังใหญ่ เทียนไขในมือหลุดร่วงลงบนพื้นดับวูบ  ในขณะขาของเขายังอยู่ด้านนอก และอยู่ในความมืด...!

             จิตแพทย์หนุ่มรู้สึกว่าขาทั้งสองข้างของเขาไม่มีอีกต่อไปแล้ว...ความรู้สึกประหลาดผุดขึ้นมาในใจเองเหมือนอะไรบางอย่างจู่โจมเข้ามาโดยกะทันหัน ไม่เจ็บไม่ปวดกับการรู้สึกว่าขาของเขาไม่มี...มันไม่ได้หายไป แต่มันไม่มี.....

             เขานอนนิ่งไม่กล้าขยับ ความหวาดกลัวปะทุขึ้นมาอย่างรุนแรง   ทะลักออกมาจากจิตใจไหลลงไปตามบ่าและไขสันหลังจนเย็นเฉียบ โอบล้อมบีบรัดจนกลายเป็นความเย็นชาไร้ความรู้สึก จิตแพทย์หนุ่มนั่งมองขาตนเองซึ่งหายไปในความมืด เขาไม่รับรู้เลยสักนิดกับขาทั้งสองข้าง ทำได้เพียงนอนเงียบงันนิ่งนาน และแล้วในที่สุด จิตใจของเขากลับสงบเยือกเย็นลงอย่างประหลาด ความคิดซึ่งเคยสับสนสั่นไหวค่อย ๆ หมุนเวียนวนเริ่มเป็นระเบียบก่อตัวจับกันเป็นรูปแบบร่างอย่างช้า ๆ ราวกับการก่อกำเนิดของกลุ่มดาวฤกษ์  โดยอิทธิพลเร้นลับบางที่ไม่มีวันเข้าใจ  ความคิดแปลกประหลาดเริ่มเรียงหน้าราวกับมีพลังพิเศษชักนำเชิญชวน

             ความมืด ?

               ไม่ใช่ ..เขาคิด... ไม่ใช่ความมืดหรอก ความจริงมันเป็นความ “ไม่มี” ต่างหาก ความไม่มีกับความมืดคล้ายกันก็จริงแต่ไม่น่าจะเหมือนกัน เพราะว่าข้างนอกนั้น “ไม่มี” อะไร มันจึง “มืด” เขาเชื่อว่าพื้นฐานจักรวาลจริง ๆ คือความมืด ถ้าทุกอย่างไม่มี ที่เหลือจึงเป็นความมืด ในเมื่อความมืดเป็นแก่นแท้ของสรรพสิ่ง แสงสว่างจึงไม่อาจทรงพลานุภาพเทียบเท่ากับความมืดได้ ไม่ว่าแสงสว่างจะมาจากแหล่งกำเนิดใด สุดท้ายคงมีวันดับสิ้น

             หมอหนุ่มใช้มือลากตัวเองเข้ามาในห้อง ดึงขาทั้งสองออกมาจากความมืด..หรือจะว่าออกจากความไม่มีก็คงไม่ต่างกันมากนัก

         นั่นไง….! เพราะมีแสงสว่างเขาจึงได้ขาทั้งคู่กลับคืนมา เพราะแสงสว่างจึงมองเห็น ความ “มี”ของขาตัวเอง ทั้งที่เมื่อครู่เขารู้สึกว่าขาทั้งสอง “ไม่มี” แต่ปัจจุบันกลับรู้สึกว่า “มี” และอนาคต ล่ะ... แล้วอะไรคือความจริง? ฉับพลันจิตแพทย์หนุ่มรู้สึกว่าจิตใจสงบราวผิวน้ำไร้คลื่นลม ความสงบทำให้เกิดสมาธิ สมาธิทำให้เกิดปัญญา เขาได้ยินประโยคนี้มากมายหลายครั้ง

             เออ..ลูกเมียจะเป็นอย่างไร หรือจะกลายเป็นความ “ไม่มี” ไปแล้ว ความจริงและความฝันในอดีตอย่างไรก็เป็นเพียงความทรงจำไร้ตัวตนจับจ้องยึดเหนี่ยวไม่ได้  แล้วคำว่ามี กับไม่มีต่างกันตรงไหน เขาเหมือนมองเห็นสายน้ำสายหนึ่งไหลเอื่อยหายลับไปทิวไม้  ตัวเขานั่งอยู่ตำแหน่งปัจจุบัน หยิบใบไม้โยนลงน้ำทีละใบ....ทีละใบ ถ้านึกว่าใบไม้เหล่านั้นเป็นของตนเอง  ใบไม้ “ของเขา” ก็จะไกลออกไปในอดีต ในขณะอนาคตยังไหลมาอีกฝากหนึ่ง  ถ้าคิดว่าใบไม้ไม่ใช่ของเขาล่ะ...มันจะเป็นอะไรกันแน่ถ้าไม่ใช่ความทรงจำไร้ตัวตน



.
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่