.
.
บทที่ 1
https://ppantip.com/topic/36593368
บทที่ 2
https://ppantip.com/topic/36601045
บทที่ 3
https://ppantip.com/topic/36609836
เวลานี้เขาไม่สามารถแยกออกว่าอะไรคือ ความมืด อะไรคือความไม่มี หรือเพราะไม่มีจึงมืดดำ พอมาถึงประตู เท้าทั้งคู่แข็งทื่อก้าวไม่ออก ถ้าเดินออกไปเขาจะหลุดร่วงลงไปในความมืดหรือไม่ ยังจะมีพื้นดินรองรับอยู่หรือไม่ จะเป็นไปได้ไหมว่าด้านนอกเป็นความว่างเปล่ามืดดำ ก้าวออกไปแล้วหลุดหายหายลับไปตลอดกาล
มันเกิดบ้าอะไรขึ้นมาวะ..! หมอหนุ่มสบถในใจขณะชะงักงันอยู่หน้าประตู และพยายามปลอบใจตัวเอง ก็แค่ไฟดับธรรมดาเท่านั้น ทุกคนคงกำลังยุ่งอยู่กับการแก้ปัญหาเลยไม่มีเวลาเอะอะโวยวาย แต่ว่า... พอมีคำว่า “แต่ว่า” ตามมาทำให้เขาขนลุกขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ
ไม่มี “แต่ว่า”....เขาพยายามคัดค้านสุดชีวิต ทำไมต้องไปคิดถึงเรื่องเหลวไหล แต่ทำนบปราการแห่งความแข็งแกร่งภายในจิตใจกลับค่อยพังทลายลงทุกที ความคิดด้านลบแบบอัปมงคลบุกโจมตีความแข็งแกร่งของจิตใจ อย่างไม่หยุดยั้งด้วยเหตุผลและความสงสัยเหนือชั้น
ไม่โว้ย ฉันไม่คิด....ไม่คิดบ้าๆ....แต่ถ้าสมมุติว่ามันอาจเป็นไปได้ว่าขณะนี้เหลือเขาเพียงคนเดียวในจักรวาลล่ะ มันจะเป็นอย่างไร พอความคิดประหลาดเริ่มเกิดตามมา เทียนไขในมือสั่นไหวตามมือระริกอย่างควบคุมไม่อยู่จนน้ำตาเทียนไหลหยดลงบนข้อมือ ความเจ็บร้อนเหมือนกระตุ้นสติให้กลับมามั่นคงอีกครั้ง เขาสูดลมหายใจลึก ๆ พยายามรวบรวมสติให้มั่นคง ค่อยย่อเข่าลงนั่ง ลดเทียนในมือลงไปติดพื้นตรงหน้าบันได
แสงไฟสว่างมองเห็นพื้นคอนกรีต ถัดออกไปพอมองเห็นเป็นพื้นดิน
มีพื้นดิน!
หมอหนุ่มหัวเราะลั่นออกมาเหมือนคนบ้า และถ้าใครมาเห็นเข้าคงนึกว่าเขาบ้าจริง ๆ ทำไมแค่มองเห็นพื้นดินนอกห้องต้องดีอกดีใจมากมายเกินจริงราวคนเสียสติ มันอาการของคนบ้าไม่ใช่หรือ... จิตแพทย์หนุ่มกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากเริ่มค่อยเลื่อนเคลื่อนที่อย่างระมัดระวัง คุกเข่าลงเอามือแตะพื้นด้านนอกดูแผ่วเบา มันให้ความรู้สึกถึงความเป็นพื้นดินจริง ยังสัมผัสถึงต้นหญ้าเล็ก ๆ ขึ้นประปรายบริเวณนอกเหนือพื้นทางเดินคอนกรีต มีพื้นดินสามารถจับต้องได้ด้วย.... ถ้ามีใครรู้ว่าเขาคิดแบบนี้คงหาว่าเขาบ้าอย่างไม่ต้องสงสัย ทำไมต้องให้ความสำคัญกับพื้นดินขนาดนั้น ใช่แล้ว...นอกห้องไม่ใช่อวกาศจะต้องกลัวอะไรอีก รถก็จอดอยู่ในลานจอดรถห่างออกไปไม่ไกล แค่เดินตรงไปหาเปิดประตูรถแล้วสตาร์ทรถ ขับตรงไปยังบ้าน หาลูกและภรรยา กินอาหารเย็นด้วยกันอย่างมีความสุข
เขาลองขยับตัวไปอีกสองสามฟุต พื้นดินก็ปรากฏให้เห็นไกลออกไปอีกสองสามฟุตเช่นกัน แต่นอกนั้นคือความมืดดำ ไม่มีแสงไฟ ไม่มีแสงดาว ไม่มีแสงสว่างอะไรทั้งนั้น มืดและเงียบจนได้ยินเสียงหัวใจตนเองเต้นระทึกสะท้านทรวง แสงเทียนสั่นไหว เงาแห่งความมืดกำลังเป่าเปลวเทียน ละอองแห่งความมืดเคลื่อนไหวไปมาราวกับมีชีวิต จิตแพทย์หนุ่มถอยกรูดเข้ามาในห้องอย่างไม่ตั้งใจเหมือนคนโรคจิตไม่กล้าเผชิญโลกภายนอก เวลาช่างยาวนานเหลือเกินในความรู้สึก เขายังมีเทียนไขเหลือไว้ต่อกรกับความมืดอยู่ไม่มากนัก
ให้ตายสิ!….เขาตรวจนับดู
เทียนไขเหลือไม่กี่เล่ม ใครจะไปนึกว่าจะเจอความมืดบ้าเลือดขนาดนี้ ดูก็รู้ว่าต่อให้จุดทีละเล่มก็ไม่มีวันพ้นคืนนี้ไปจนถึงรุ่งเช้า แล้วถ้าเทียนไขหมดจะเกิดอะไรขึ้น เขาจะหายไปเหมือนทุกคนในเรื่องราวบันทึกของคนบ้าหรือไม่ รู้สึกเหมือนว่าถูกไล่ให้จนมุมเข้าไปทุกที ด้วยจุดประสงค์อะไรเร้นลับบางอย่าง แผ่นหลังเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่ออันถูกขับเคลื่อนด้วยความหวาดกลัว
แว่วเสียงคล้ายคนหายใจเฮือกใหญ่ คุณหมอยืนหันรีหันขวาง น้ำเสียงคุ้นหูอย่างแปลกประหลาด ยามกะทันหันนึกไม่ออกว่าเป็นเสียงของใคร
“จำพ่อไม่ได้หรือลูกรัก”
คราวนี้เสียงดังชัดเจนออกมาจากหน้าต่าง เขาหันขวับไปมองแล้วขนลุกซู่ทั้งตัว เลือดในกายเหมือนจับตัวเป็นน้ำแข็ง หน้าต่างเคยมืดดำเป็นกรอบแห่งความมืด ปรากฏร่างของชายชราคนหนึ่งปรากฏอยู่ด้านนอก มองเห็นตั้งแต่ส่วนท้องขึ้นมาจนถึงใบหน้าซีดเซียวเหมือนซากศพ กำลังชำเลืองจ้องมองมาด้วยสีหน้ามีรอยยิ้มเล็กน้อยอันยากต่อการเข้าใจ มือขวายกขึ้นทำท่าเหมือนทักทาย
คุณพ่อของเขาจริงๆ แต่ท่านตายไปนานแล้ว!
ในชีวิตของคุณหมอไม่เคยตกใจกลัวอะไรขนาดนี้มาก่อนเลย คนตายไปแล้วมาปรากฏให้เห็นต่อหน้าต่อตา ให้จิตแข็งแกร่งขนาดไหนก็คงอดสะท้านหวั่นไหวไม่ได้ นี่มันความฝันนรกแตกหรืออย่างไร อย่างไรก็ตามความเป็นจิตแพทย์มือหนึ่งทำให้เขาไม่ได้แหกปากร้องโวยวายแบบคนสติแตก ได้เพียงยืนถือแท่งเทียนในสภาพปากอ้าตาค้างก้าวขาไม่ออก
“ทำไมไม่ออกมาจากห้องเสียทีล่ะลูกรัก พวกเรารอลูกอยู่นะ”
น้ำเสียงนุ่มนวลคุ้นหูแบบนั้น จะเป็นใครอื่นไม่ได้เด็ดขาด แต่เป็นแบบนี้ได้อย่างไร ประหลาดหลอน.....มันต้องเป็นอาการประสาทหลอน.... จะให้เชื่อว่าเป็นการหลอกหลอนของภูตผีปีศาจเป็นไปไม่ได้ ต้องเป็นผลจากสารเคมีหรืออะไรสักอย่าง ขณะกำลังรีดเค้นความคิดความเชื่อออกมาสุดชีวิตจิตใจ น้ำตาเทียนไหลหยดลงบนมือทำให้สะดุ้งเฮือก เงาร่างคุณพ่อพยักหน้าให้ ก่อนถอยหายไปในความมืด
นั่นไง....คุณหมอพยายามฝืนยิ้มให้กับตัวเอง พอความสะดุ้งตกใจเพราะความร้อนของน้ำตาเทียน ภาพหลอนก็หายไปเพราะจิตใจถูกรบกวนกะทันหัน เหมือนคนผวาตื่นจากในร้าย ในหนังสือจิตวิทยาก็เคยอธิบายเอาไว้ ไม่มีอะไรจะอธิบายได้มากกว่านี้แน่นอน แต่ภาพหลอนอะไรชัดเจนเหลือเกิน
วางเทียนไขตั้งลงบนโต๊ะ ลองยกหูโทรศัพท์อีกครั้ง ไม่มีอะไรตอบกลับมานอกจากความเงียบและอ้างว้าง
ตั้งสติให้ดีสิ ไอ้บ้า...เขาสบถด่าตัวเอง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมันน่าจะมีคำอธิบายสักอย่าง ข้างนอกนั่นเขาก็พิสูจน์แล้วว่ามันยังมีอยู่ มีพื้นดิน ภาพนอกหน้าตาก็เป็นเพียงภาพหลอน ด้านนอกห้องยังคงเป็นปกติ ทุกอย่างที่เคยมีและควรจะมีก็ไม่ได้หายไปไหน ไม่เชื่อลองดูอีกทีก็ได้... เขาปลุกปลอบใจให้เข้มแข็งและความเชื่อมั่นกลับคืนมา บนโต๊ะมีหนังสือหลายเล่มคุณหมอเลือกเล่มหนา ๆ ติดมือมาสามเล่มเดินก่อนตรงไปยังประตู ยกหนังสือขึ้นและทุ่มออกไปเต็มแรงในความมืด เสียงหนังสือกระทบพื้นจะไพเราะน่าฟังขนาดไหน
หมอหนุ่มตัวเย็นเฉียบ... ทรุดกายลงนั่งอย่างไร้เรี่ยวแรง ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมาเลยสักนิด เงียบขนาดแทบจะเรียกได้ว่าเข็มหล่นยังได้ยิน แต่หนังสือทั้งสามเล่มเมื่อปลิวจากมือเข้าสู่ความมืด ต่างพากันหายไร้ตัวตนไปเลย ไม่มีเสียงหนังสือกระทบพื้นอย่างควรจะเป็น ความเชื่อมั่นเล็ก ๆ ที่เพิ่งก่อตัวขึ้นมาลดหายไปอีกครั้ง มันเรื่องบ้าอะไรกัน.. ก็เขาเพิ่งเห็นพื้นดินอยู่เมื่อครู่แล้วมาเป็นแบบนี้ได้อย่างไร นั่งเหงื่อตกอยู่พักหนึ่งจึงพยายามฝืนใจลุกขึ้นยืน หยิบเทียนไขซึ่งปักตั้งไว้บนโต๊ะมาเล่มหนึ่ง ลากขาช้า ๆ ไปยังประตู ขอพิสูจน์อีกครั้ง เขาค่อยย่อตัวก้มลงส่องดูพื้นดิน ยื่นเทียนไขในมือออกไปข้างหน้า
ก็นั่นไงเล่า....พื้นดินยังอยู่ไม่ได้หายไปไหน!
“พื้นดินยังอยู่ มันยังอยู่..พื้นดินยังอยู่ ...มันไม่ได้หายหัวไปไหน!”
จิตแพทย์หนุ่มตะโกนสุดเสียงเป็นการปลุกปลอบขวัญตัวเอง เห็นพื้นดินแล้วตะโกนดีใจ ใครเห็นเข้าก็ต้องนึกว่าบ้าไปแล้วแน่นอน แต่เวลานี้ไม่มีอะไรจะต้องกลัวแล้ว ผู้คนไม่รู้ว่าไปอยู่ไหนหมด ถ้ามีใครสักคนโผล่มาและชี้หน้าด่าว่าเขาเป็นบ้า คงทำให้ดีใจแทบบ้า...
ค่อยขยับไปอีกอย่างระมัดระวัง พื้นดินค่อยปรากฏให้เห็นไกลออกไปเป็นลำดับ ตามรัศมีแสงเทียน
นั่นไง...หนังสือทั้งสามเล่มวางอยู่อย่างไม่เป็นระเบียบ เขาเอื้อมมือสั่นเทาไปแตะ ไม่ใช่ภาพลวงตา เป็นหนังสือชัด ๆ
“มันไม่ได้หายไป มันไม่ได้หายไป..!!!”
ร้องออกมาอีกเหมือนคนบ้า และถ้าคิดจริง ๆ พฤติกรรมของหมอหนุ่มก็เหมือนคนบ้ามากเข้าไปแล้วทุกที คนดี ๆ ที่ไหนแค่เห็นหนังสือวางบนพื้นก็ดีใจเป็นบ้าเป็นบอ เขาหยิบหนังสือติดมือมาเล่มเดียว ถอยกลับมายังพักทำงานอย่างรีบร้อน ขณะเดินมาถึงประตู อารามรีบร้อนทำให้ข้อศอกขวากระแทกขอบประตูปังใหญ่ เทียนไขในมือหลุดร่วงลงบนพื้นดับวูบ ในขณะขาของเขายังอยู่ด้านนอก และอยู่ในความมืด...!
จิตแพทย์หนุ่มรู้สึกว่าขาทั้งสองข้างของเขาไม่มีอีกต่อไปแล้ว...ความรู้สึกประหลาดผุดขึ้นมาในใจเองเหมือนอะไรบางอย่างจู่โจมเข้ามาโดยกะทันหัน ไม่เจ็บไม่ปวดกับการรู้สึกว่าขาของเขาไม่มี...มันไม่ได้หายไป แต่มันไม่มี.....
เขานอนนิ่งไม่กล้าขยับ ความหวาดกลัวปะทุขึ้นมาอย่างรุนแรง ทะลักออกมาจากจิตใจไหลลงไปตามบ่าและไขสันหลังจนเย็นเฉียบ โอบล้อมบีบรัดจนกลายเป็นความเย็นชาไร้ความรู้สึก จิตแพทย์หนุ่มนั่งมองขาตนเองซึ่งหายไปในความมืด เขาไม่รับรู้เลยสักนิดกับขาทั้งสองข้าง ทำได้เพียงนอนเงียบงันนิ่งนาน และแล้วในที่สุด จิตใจของเขากลับสงบเยือกเย็นลงอย่างประหลาด ความคิดซึ่งเคยสับสนสั่นไหวค่อย ๆ หมุนเวียนวนเริ่มเป็นระเบียบก่อตัวจับกันเป็นรูปแบบร่างอย่างช้า ๆ ราวกับการก่อกำเนิดของกลุ่มดาวฤกษ์ โดยอิทธิพลเร้นลับบางที่ไม่มีวันเข้าใจ ความคิดแปลกประหลาดเริ่มเรียงหน้าราวกับมีพลังพิเศษชักนำเชิญชวน
ความมืด ?
ไม่ใช่ ..เขาคิด... ไม่ใช่ความมืดหรอก ความจริงมันเป็นความ “ไม่มี” ต่างหาก ความไม่มีกับความมืดคล้ายกันก็จริงแต่ไม่น่าจะเหมือนกัน เพราะว่าข้างนอกนั้น “ไม่มี” อะไร มันจึง “มืด” เขาเชื่อว่าพื้นฐานจักรวาลจริง ๆ คือความมืด ถ้าทุกอย่างไม่มี ที่เหลือจึงเป็นความมืด ในเมื่อความมืดเป็นแก่นแท้ของสรรพสิ่ง แสงสว่างจึงไม่อาจทรงพลานุภาพเทียบเท่ากับความมืดได้ ไม่ว่าแสงสว่างจะมาจากแหล่งกำเนิดใด สุดท้ายคงมีวันดับสิ้น
หมอหนุ่มใช้มือลากตัวเองเข้ามาในห้อง ดึงขาทั้งสองออกมาจากความมืด..หรือจะว่าออกจากความไม่มีก็คงไม่ต่างกันมากนัก
นั่นไง….! เพราะมีแสงสว่างเขาจึงได้ขาทั้งคู่กลับคืนมา เพราะแสงสว่างจึงมองเห็น ความ “มี”ของขาตัวเอง ทั้งที่เมื่อครู่เขารู้สึกว่าขาทั้งสอง “ไม่มี” แต่ปัจจุบันกลับรู้สึกว่า “มี” และอนาคต ล่ะ... แล้วอะไรคือความจริง? ฉับพลันจิตแพทย์หนุ่มรู้สึกว่าจิตใจสงบราวผิวน้ำไร้คลื่นลม ความสงบทำให้เกิดสมาธิ สมาธิทำให้เกิดปัญญา เขาได้ยินประโยคนี้มากมายหลายครั้ง
เออ..ลูกเมียจะเป็นอย่างไร หรือจะกลายเป็นความ “ไม่มี” ไปแล้ว ความจริงและความฝันในอดีตอย่างไรก็เป็นเพียงความทรงจำไร้ตัวตนจับจ้องยึดเหนี่ยวไม่ได้ แล้วคำว่ามี กับไม่มีต่างกันตรงไหน เขาเหมือนมองเห็นสายน้ำสายหนึ่งไหลเอื่อยหายลับไปทิวไม้ ตัวเขานั่งอยู่ตำแหน่งปัจจุบัน หยิบใบไม้โยนลงน้ำทีละใบ....ทีละใบ ถ้านึกว่าใบไม้เหล่านั้นเป็นของตนเอง ใบไม้ “ของเขา” ก็จะไกลออกไปในอดีต ในขณะอนาคตยังไหลมาอีกฝากหนึ่ง ถ้าคิดว่าใบไม้ไม่ใช่ของเขาล่ะ...มันจะเป็นอะไรกันแน่ถ้าไม่ใช่ความทรงจำไร้ตัวตน
.
ความมืด.........4
.
บทที่ 1
https://ppantip.com/topic/36593368
บทที่ 2
https://ppantip.com/topic/36601045
บทที่ 3
https://ppantip.com/topic/36609836
เวลานี้เขาไม่สามารถแยกออกว่าอะไรคือ ความมืด อะไรคือความไม่มี หรือเพราะไม่มีจึงมืดดำ พอมาถึงประตู เท้าทั้งคู่แข็งทื่อก้าวไม่ออก ถ้าเดินออกไปเขาจะหลุดร่วงลงไปในความมืดหรือไม่ ยังจะมีพื้นดินรองรับอยู่หรือไม่ จะเป็นไปได้ไหมว่าด้านนอกเป็นความว่างเปล่ามืดดำ ก้าวออกไปแล้วหลุดหายหายลับไปตลอดกาล
มันเกิดบ้าอะไรขึ้นมาวะ..! หมอหนุ่มสบถในใจขณะชะงักงันอยู่หน้าประตู และพยายามปลอบใจตัวเอง ก็แค่ไฟดับธรรมดาเท่านั้น ทุกคนคงกำลังยุ่งอยู่กับการแก้ปัญหาเลยไม่มีเวลาเอะอะโวยวาย แต่ว่า... พอมีคำว่า “แต่ว่า” ตามมาทำให้เขาขนลุกขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ
ไม่มี “แต่ว่า”....เขาพยายามคัดค้านสุดชีวิต ทำไมต้องไปคิดถึงเรื่องเหลวไหล แต่ทำนบปราการแห่งความแข็งแกร่งภายในจิตใจกลับค่อยพังทลายลงทุกที ความคิดด้านลบแบบอัปมงคลบุกโจมตีความแข็งแกร่งของจิตใจ อย่างไม่หยุดยั้งด้วยเหตุผลและความสงสัยเหนือชั้น
ไม่โว้ย ฉันไม่คิด....ไม่คิดบ้าๆ....แต่ถ้าสมมุติว่ามันอาจเป็นไปได้ว่าขณะนี้เหลือเขาเพียงคนเดียวในจักรวาลล่ะ มันจะเป็นอย่างไร พอความคิดประหลาดเริ่มเกิดตามมา เทียนไขในมือสั่นไหวตามมือระริกอย่างควบคุมไม่อยู่จนน้ำตาเทียนไหลหยดลงบนข้อมือ ความเจ็บร้อนเหมือนกระตุ้นสติให้กลับมามั่นคงอีกครั้ง เขาสูดลมหายใจลึก ๆ พยายามรวบรวมสติให้มั่นคง ค่อยย่อเข่าลงนั่ง ลดเทียนในมือลงไปติดพื้นตรงหน้าบันได
แสงไฟสว่างมองเห็นพื้นคอนกรีต ถัดออกไปพอมองเห็นเป็นพื้นดิน
มีพื้นดิน!
หมอหนุ่มหัวเราะลั่นออกมาเหมือนคนบ้า และถ้าใครมาเห็นเข้าคงนึกว่าเขาบ้าจริง ๆ ทำไมแค่มองเห็นพื้นดินนอกห้องต้องดีอกดีใจมากมายเกินจริงราวคนเสียสติ มันอาการของคนบ้าไม่ใช่หรือ... จิตแพทย์หนุ่มกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากเริ่มค่อยเลื่อนเคลื่อนที่อย่างระมัดระวัง คุกเข่าลงเอามือแตะพื้นด้านนอกดูแผ่วเบา มันให้ความรู้สึกถึงความเป็นพื้นดินจริง ยังสัมผัสถึงต้นหญ้าเล็ก ๆ ขึ้นประปรายบริเวณนอกเหนือพื้นทางเดินคอนกรีต มีพื้นดินสามารถจับต้องได้ด้วย.... ถ้ามีใครรู้ว่าเขาคิดแบบนี้คงหาว่าเขาบ้าอย่างไม่ต้องสงสัย ทำไมต้องให้ความสำคัญกับพื้นดินขนาดนั้น ใช่แล้ว...นอกห้องไม่ใช่อวกาศจะต้องกลัวอะไรอีก รถก็จอดอยู่ในลานจอดรถห่างออกไปไม่ไกล แค่เดินตรงไปหาเปิดประตูรถแล้วสตาร์ทรถ ขับตรงไปยังบ้าน หาลูกและภรรยา กินอาหารเย็นด้วยกันอย่างมีความสุข
เขาลองขยับตัวไปอีกสองสามฟุต พื้นดินก็ปรากฏให้เห็นไกลออกไปอีกสองสามฟุตเช่นกัน แต่นอกนั้นคือความมืดดำ ไม่มีแสงไฟ ไม่มีแสงดาว ไม่มีแสงสว่างอะไรทั้งนั้น มืดและเงียบจนได้ยินเสียงหัวใจตนเองเต้นระทึกสะท้านทรวง แสงเทียนสั่นไหว เงาแห่งความมืดกำลังเป่าเปลวเทียน ละอองแห่งความมืดเคลื่อนไหวไปมาราวกับมีชีวิต จิตแพทย์หนุ่มถอยกรูดเข้ามาในห้องอย่างไม่ตั้งใจเหมือนคนโรคจิตไม่กล้าเผชิญโลกภายนอก เวลาช่างยาวนานเหลือเกินในความรู้สึก เขายังมีเทียนไขเหลือไว้ต่อกรกับความมืดอยู่ไม่มากนัก
ให้ตายสิ!….เขาตรวจนับดู
เทียนไขเหลือไม่กี่เล่ม ใครจะไปนึกว่าจะเจอความมืดบ้าเลือดขนาดนี้ ดูก็รู้ว่าต่อให้จุดทีละเล่มก็ไม่มีวันพ้นคืนนี้ไปจนถึงรุ่งเช้า แล้วถ้าเทียนไขหมดจะเกิดอะไรขึ้น เขาจะหายไปเหมือนทุกคนในเรื่องราวบันทึกของคนบ้าหรือไม่ รู้สึกเหมือนว่าถูกไล่ให้จนมุมเข้าไปทุกที ด้วยจุดประสงค์อะไรเร้นลับบางอย่าง แผ่นหลังเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่ออันถูกขับเคลื่อนด้วยความหวาดกลัว
แว่วเสียงคล้ายคนหายใจเฮือกใหญ่ คุณหมอยืนหันรีหันขวาง น้ำเสียงคุ้นหูอย่างแปลกประหลาด ยามกะทันหันนึกไม่ออกว่าเป็นเสียงของใคร
“จำพ่อไม่ได้หรือลูกรัก”
คราวนี้เสียงดังชัดเจนออกมาจากหน้าต่าง เขาหันขวับไปมองแล้วขนลุกซู่ทั้งตัว เลือดในกายเหมือนจับตัวเป็นน้ำแข็ง หน้าต่างเคยมืดดำเป็นกรอบแห่งความมืด ปรากฏร่างของชายชราคนหนึ่งปรากฏอยู่ด้านนอก มองเห็นตั้งแต่ส่วนท้องขึ้นมาจนถึงใบหน้าซีดเซียวเหมือนซากศพ กำลังชำเลืองจ้องมองมาด้วยสีหน้ามีรอยยิ้มเล็กน้อยอันยากต่อการเข้าใจ มือขวายกขึ้นทำท่าเหมือนทักทาย
คุณพ่อของเขาจริงๆ แต่ท่านตายไปนานแล้ว!
ในชีวิตของคุณหมอไม่เคยตกใจกลัวอะไรขนาดนี้มาก่อนเลย คนตายไปแล้วมาปรากฏให้เห็นต่อหน้าต่อตา ให้จิตแข็งแกร่งขนาดไหนก็คงอดสะท้านหวั่นไหวไม่ได้ นี่มันความฝันนรกแตกหรืออย่างไร อย่างไรก็ตามความเป็นจิตแพทย์มือหนึ่งทำให้เขาไม่ได้แหกปากร้องโวยวายแบบคนสติแตก ได้เพียงยืนถือแท่งเทียนในสภาพปากอ้าตาค้างก้าวขาไม่ออก
“ทำไมไม่ออกมาจากห้องเสียทีล่ะลูกรัก พวกเรารอลูกอยู่นะ”
น้ำเสียงนุ่มนวลคุ้นหูแบบนั้น จะเป็นใครอื่นไม่ได้เด็ดขาด แต่เป็นแบบนี้ได้อย่างไร ประหลาดหลอน.....มันต้องเป็นอาการประสาทหลอน.... จะให้เชื่อว่าเป็นการหลอกหลอนของภูตผีปีศาจเป็นไปไม่ได้ ต้องเป็นผลจากสารเคมีหรืออะไรสักอย่าง ขณะกำลังรีดเค้นความคิดความเชื่อออกมาสุดชีวิตจิตใจ น้ำตาเทียนไหลหยดลงบนมือทำให้สะดุ้งเฮือก เงาร่างคุณพ่อพยักหน้าให้ ก่อนถอยหายไปในความมืด
นั่นไง....คุณหมอพยายามฝืนยิ้มให้กับตัวเอง พอความสะดุ้งตกใจเพราะความร้อนของน้ำตาเทียน ภาพหลอนก็หายไปเพราะจิตใจถูกรบกวนกะทันหัน เหมือนคนผวาตื่นจากในร้าย ในหนังสือจิตวิทยาก็เคยอธิบายเอาไว้ ไม่มีอะไรจะอธิบายได้มากกว่านี้แน่นอน แต่ภาพหลอนอะไรชัดเจนเหลือเกิน
วางเทียนไขตั้งลงบนโต๊ะ ลองยกหูโทรศัพท์อีกครั้ง ไม่มีอะไรตอบกลับมานอกจากความเงียบและอ้างว้าง
ตั้งสติให้ดีสิ ไอ้บ้า...เขาสบถด่าตัวเอง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมันน่าจะมีคำอธิบายสักอย่าง ข้างนอกนั่นเขาก็พิสูจน์แล้วว่ามันยังมีอยู่ มีพื้นดิน ภาพนอกหน้าตาก็เป็นเพียงภาพหลอน ด้านนอกห้องยังคงเป็นปกติ ทุกอย่างที่เคยมีและควรจะมีก็ไม่ได้หายไปไหน ไม่เชื่อลองดูอีกทีก็ได้... เขาปลุกปลอบใจให้เข้มแข็งและความเชื่อมั่นกลับคืนมา บนโต๊ะมีหนังสือหลายเล่มคุณหมอเลือกเล่มหนา ๆ ติดมือมาสามเล่มเดินก่อนตรงไปยังประตู ยกหนังสือขึ้นและทุ่มออกไปเต็มแรงในความมืด เสียงหนังสือกระทบพื้นจะไพเราะน่าฟังขนาดไหน
หมอหนุ่มตัวเย็นเฉียบ... ทรุดกายลงนั่งอย่างไร้เรี่ยวแรง ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมาเลยสักนิด เงียบขนาดแทบจะเรียกได้ว่าเข็มหล่นยังได้ยิน แต่หนังสือทั้งสามเล่มเมื่อปลิวจากมือเข้าสู่ความมืด ต่างพากันหายไร้ตัวตนไปเลย ไม่มีเสียงหนังสือกระทบพื้นอย่างควรจะเป็น ความเชื่อมั่นเล็ก ๆ ที่เพิ่งก่อตัวขึ้นมาลดหายไปอีกครั้ง มันเรื่องบ้าอะไรกัน.. ก็เขาเพิ่งเห็นพื้นดินอยู่เมื่อครู่แล้วมาเป็นแบบนี้ได้อย่างไร นั่งเหงื่อตกอยู่พักหนึ่งจึงพยายามฝืนใจลุกขึ้นยืน หยิบเทียนไขซึ่งปักตั้งไว้บนโต๊ะมาเล่มหนึ่ง ลากขาช้า ๆ ไปยังประตู ขอพิสูจน์อีกครั้ง เขาค่อยย่อตัวก้มลงส่องดูพื้นดิน ยื่นเทียนไขในมือออกไปข้างหน้า
ก็นั่นไงเล่า....พื้นดินยังอยู่ไม่ได้หายไปไหน!
“พื้นดินยังอยู่ มันยังอยู่..พื้นดินยังอยู่ ...มันไม่ได้หายหัวไปไหน!”
จิตแพทย์หนุ่มตะโกนสุดเสียงเป็นการปลุกปลอบขวัญตัวเอง เห็นพื้นดินแล้วตะโกนดีใจ ใครเห็นเข้าก็ต้องนึกว่าบ้าไปแล้วแน่นอน แต่เวลานี้ไม่มีอะไรจะต้องกลัวแล้ว ผู้คนไม่รู้ว่าไปอยู่ไหนหมด ถ้ามีใครสักคนโผล่มาและชี้หน้าด่าว่าเขาเป็นบ้า คงทำให้ดีใจแทบบ้า...
ค่อยขยับไปอีกอย่างระมัดระวัง พื้นดินค่อยปรากฏให้เห็นไกลออกไปเป็นลำดับ ตามรัศมีแสงเทียน
นั่นไง...หนังสือทั้งสามเล่มวางอยู่อย่างไม่เป็นระเบียบ เขาเอื้อมมือสั่นเทาไปแตะ ไม่ใช่ภาพลวงตา เป็นหนังสือชัด ๆ
“มันไม่ได้หายไป มันไม่ได้หายไป..!!!”
ร้องออกมาอีกเหมือนคนบ้า และถ้าคิดจริง ๆ พฤติกรรมของหมอหนุ่มก็เหมือนคนบ้ามากเข้าไปแล้วทุกที คนดี ๆ ที่ไหนแค่เห็นหนังสือวางบนพื้นก็ดีใจเป็นบ้าเป็นบอ เขาหยิบหนังสือติดมือมาเล่มเดียว ถอยกลับมายังพักทำงานอย่างรีบร้อน ขณะเดินมาถึงประตู อารามรีบร้อนทำให้ข้อศอกขวากระแทกขอบประตูปังใหญ่ เทียนไขในมือหลุดร่วงลงบนพื้นดับวูบ ในขณะขาของเขายังอยู่ด้านนอก และอยู่ในความมืด...!
จิตแพทย์หนุ่มรู้สึกว่าขาทั้งสองข้างของเขาไม่มีอีกต่อไปแล้ว...ความรู้สึกประหลาดผุดขึ้นมาในใจเองเหมือนอะไรบางอย่างจู่โจมเข้ามาโดยกะทันหัน ไม่เจ็บไม่ปวดกับการรู้สึกว่าขาของเขาไม่มี...มันไม่ได้หายไป แต่มันไม่มี.....
เขานอนนิ่งไม่กล้าขยับ ความหวาดกลัวปะทุขึ้นมาอย่างรุนแรง ทะลักออกมาจากจิตใจไหลลงไปตามบ่าและไขสันหลังจนเย็นเฉียบ โอบล้อมบีบรัดจนกลายเป็นความเย็นชาไร้ความรู้สึก จิตแพทย์หนุ่มนั่งมองขาตนเองซึ่งหายไปในความมืด เขาไม่รับรู้เลยสักนิดกับขาทั้งสองข้าง ทำได้เพียงนอนเงียบงันนิ่งนาน และแล้วในที่สุด จิตใจของเขากลับสงบเยือกเย็นลงอย่างประหลาด ความคิดซึ่งเคยสับสนสั่นไหวค่อย ๆ หมุนเวียนวนเริ่มเป็นระเบียบก่อตัวจับกันเป็นรูปแบบร่างอย่างช้า ๆ ราวกับการก่อกำเนิดของกลุ่มดาวฤกษ์ โดยอิทธิพลเร้นลับบางที่ไม่มีวันเข้าใจ ความคิดแปลกประหลาดเริ่มเรียงหน้าราวกับมีพลังพิเศษชักนำเชิญชวน
ความมืด ?
ไม่ใช่ ..เขาคิด... ไม่ใช่ความมืดหรอก ความจริงมันเป็นความ “ไม่มี” ต่างหาก ความไม่มีกับความมืดคล้ายกันก็จริงแต่ไม่น่าจะเหมือนกัน เพราะว่าข้างนอกนั้น “ไม่มี” อะไร มันจึง “มืด” เขาเชื่อว่าพื้นฐานจักรวาลจริง ๆ คือความมืด ถ้าทุกอย่างไม่มี ที่เหลือจึงเป็นความมืด ในเมื่อความมืดเป็นแก่นแท้ของสรรพสิ่ง แสงสว่างจึงไม่อาจทรงพลานุภาพเทียบเท่ากับความมืดได้ ไม่ว่าแสงสว่างจะมาจากแหล่งกำเนิดใด สุดท้ายคงมีวันดับสิ้น
หมอหนุ่มใช้มือลากตัวเองเข้ามาในห้อง ดึงขาทั้งสองออกมาจากความมืด..หรือจะว่าออกจากความไม่มีก็คงไม่ต่างกันมากนัก
นั่นไง….! เพราะมีแสงสว่างเขาจึงได้ขาทั้งคู่กลับคืนมา เพราะแสงสว่างจึงมองเห็น ความ “มี”ของขาตัวเอง ทั้งที่เมื่อครู่เขารู้สึกว่าขาทั้งสอง “ไม่มี” แต่ปัจจุบันกลับรู้สึกว่า “มี” และอนาคต ล่ะ... แล้วอะไรคือความจริง? ฉับพลันจิตแพทย์หนุ่มรู้สึกว่าจิตใจสงบราวผิวน้ำไร้คลื่นลม ความสงบทำให้เกิดสมาธิ สมาธิทำให้เกิดปัญญา เขาได้ยินประโยคนี้มากมายหลายครั้ง
เออ..ลูกเมียจะเป็นอย่างไร หรือจะกลายเป็นความ “ไม่มี” ไปแล้ว ความจริงและความฝันในอดีตอย่างไรก็เป็นเพียงความทรงจำไร้ตัวตนจับจ้องยึดเหนี่ยวไม่ได้ แล้วคำว่ามี กับไม่มีต่างกันตรงไหน เขาเหมือนมองเห็นสายน้ำสายหนึ่งไหลเอื่อยหายลับไปทิวไม้ ตัวเขานั่งอยู่ตำแหน่งปัจจุบัน หยิบใบไม้โยนลงน้ำทีละใบ....ทีละใบ ถ้านึกว่าใบไม้เหล่านั้นเป็นของตนเอง ใบไม้ “ของเขา” ก็จะไกลออกไปในอดีต ในขณะอนาคตยังไหลมาอีกฝากหนึ่ง ถ้าคิดว่าใบไม้ไม่ใช่ของเขาล่ะ...มันจะเป็นอะไรกันแน่ถ้าไม่ใช่ความทรงจำไร้ตัวตน
.