.
.
บทที่ 1
https://ppantip.com/topic/36593368
บทที่ 2
https://ppantip.com/topic/36601045
.
จิตแพทย์หนุ่มปิดสมุดบันทึกของคนไข้ หันไปมองนาฬิกาก่อนนั่งเงียบคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ ลองคิดแบบคนบ้าเล่น ๆ ดู ไม่เห็นจะมีอะไรเสียหาย
ความมืดจะมีชีวิตได้อย่างไร ถ้าเป็นจริงทำไมมันไม่กลืนกินสรรพสิ่งในโลกให้หมดไปในคราวเดียว หรือว่าถ้ามันมีชีวิตจริงมันจะมีวิธีการเลือกเหยื่ออย่างเหมาะสมด้วยวิธีการและจุดประสงค์เร้นลับอะไรบางอย่าง
คนไข้เจ้าของบันทึกหายไปตั้งแต่เมื่อคืนที่มีพายุฝน ไฟฟ้าดับลงเป็นครั้งแรกในรอบปี สถาบันทางจิตอยู่ในสภาพวุ่นวายพอสมควร แต่ทุกอย่างก็สามารถควบคุมได้ในที่สุดเมื่อไฟฟ้าสว่างขึ้นอีกครั้งในสิบนาทีต่อมา มีเพียงคนไข้ทางจิตเจ้าของบันทึกฉบับนี้ที่หายไปจากห้องอย่างลึกลับ เขานึกถึงวันแรกในการรับตัวคนไข้พิเศษ ความจริงเขาตกเป็นผู้ต้องหาวางเพลิงเผาบ้านพักตากอากาศชายทะเล และเป็นผู้ต้องสงสัยในการหายไปของคนในครอบครัว คำให้การของเขาฟังดูประหลาดเหลือเชื่อ แต่เครื่องจับเท็จรายงานว่าเขาพูดความจริงครั้งแล้วครั้งเล่า
ใครล่ะจะเชื่อ... ที่เชื่อกันได้คือพวกคนบ้าทำให้เรื่องบ้าบอเป็นเรื่องจริงได้ในความคิดของพวกเหมอ ในเมื่อทุกคนคิดว่าเขาเป็นฆาตกรโรคจิตแล้ว ความเชื่อนั้นจะถูกตอกฝังลงไปในสมอง จนเหตุผลใดก็ยากจะงัดแงะออกมาให้พิจารณาหาเหตุผลเที่ยงธรรมได้ง่าย อิทธิพลของความเชื่อทำให้ระนาบแห่งความเที่ยงธรรมเอนเอียงไปข้างหนึ่งข้างใดเสมอ เขาถูกส่งมาแผนกจิตวิเคราะห์แห่งนี้ เพื่อหาข้อมูลไปประกอบการพิจารณาคดี
คนไข้รายนี้อ้อนวอนขอไม้ขีด เทียนไข ไฟฉาย ไว้ในห้อง แน่ล่ะ..ใครจะไปยอมให้ไฟกับคนเผาบ้านพักจนวายวอด วันดีคืนดีเกิดแกนึกสนุกเผาตึกเล่นใครจะรับผิดชอบ เขาถูกกักตัวในห้องบำบัด ถูกนำตัวเข้าตรวจวัดสภาพจิตใจ ผลการตรวจวัดยังไม่สรุปผล แต่เขาดูหวาดกลัวมากกว่าจะทำร้ายตนเองหรือใครได้
ในคืนไฟดับ เขาหายไปอย่างไร้ร่องรอยทั้งที่มียามรักษาการณ์เฝ้าดูอยู่หลายคน ประตูล็อคจากด้านนอกแน่นหนา ยังไม่มีใครหาคำตอบได้ว่าเขาหายไปได้อย่างไร
จิตแพทย์หนุ่มเดินไปชะโงกดูทางหน้าต่าง จ้องมองออกไปอย่างไร้เป้าหมาย ความมืดเริ่มมาเยือนอย่างรวดเร็วแต่แสงไฟสว่างตามหมู่ตึกเรียงรายรอบล้อมทำให้ไม่รู้สึกว่ากำลังอยู่โดดเดี่ยว ความสว่างกระจ่างชัดดูอบอุ่นและปลอดภัยมากกว่าความมืด เขามองไม่เห็นคนในหมู่ตึก แต่รู้ว่ามีคนมากมายกำลังดำเนินชีวิตไปตามเส้นทางของตัวเอง ทุกข์สุขอย่างไรยากจะหยั่งรู้ การคิดแบบนั้นทำให้ไม่รู้สึกว่าอยู่โดดเดี่ยวเพียงลำพังในโลก ไม่เห็นผู้คนไม่ได้หมายถึงไม่มีคน แล้วอะไรล่ะที่มีแต่ไม่สามารถมองเห็น ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าตัวเองกำลังจมลงไปในฟองความสับสนอันเดือดพล่าน
ห้องทำงานมีหน้าต่างเปิดออกไปทางทิศตะวันตก เนื่องจากอยู่มุมตัวอาคารพอดี มองออกไปเห็นแสงไฟไล่เรียงรายสูงต่ำตามสภาพอาคารบ้านเรือน แต่ทำไมด้านทิศตะวันตกดำมืดอย่างน่าประหลาด มันเป็นความมืดแบบไม่เคยเห็นไม่เคยสัมผัสมาก่อน มืดยิ่งกว่าคืนเดือนมืด
หมอหนุ่มรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างกำลังจ้องมองอย่างเงียบงัน ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องรู้สึกอย่างนั้น ความเย็นยะเยียบชนิดหนึ่งกำลังกดลงบนบ่า แล้วค่อยไหลลงไปตามแผ่นหลังอย่างเชื่องช้า เป็นความรู้สึกสะท้อนออกมาจากก้นบึ้งของจิตใจอันหวาดกลัว
ตึกสูงหลายสิบชั้นหลังหนึ่งที่มองเห็นไฟสว่างทั่วตึก จู่ ๆไฟทั้งตึกดับวูบลง
จิตแพทย์หนุ่มมองดูอย่างแปลกใจแกมงุนงง
อาจเป็นได้ว่าไฟดับทั้งตึกเป็นเหตุการณ์ไม่บ่อยและไม่น่าจะเกิด ไม่มีพายุฝนฟ้าคะนอง ไฟดับลงได้อย่างไร แถมดับเป็นบริเวณกว้างเสียด้วย เขามองขึ้นไปยังท้องฟ้า มันดำมืดและบางส่วนยังคล้ายเคลื่อนไหวไปมาเหมือนมีแมงกะพรุนยักษ์สีดำข้นบนฟากฟ้า เกลียวแห่งความมืดดำคล้ายบิดม้วนไปมาอย่างน่าสยดสยอง
ไม่มีแสงสายฟ้า ไม่มีเสียงคำรามของลมฝนพายุคลั่ง เขานึกถึงเรื่องในสมุดบันทึกของคนไข้ จะมีใครเชื่อสิ่งที่คนบ้าเขียน มันไม่มีทางเป็นไปได้เพราะอ่านดูแล้วมันบ้ายิ่งกว่าบ้า ความมืดก็คือสภาพการมีวัตถุทึบแสงมาบังแสงสว่างเท่านั้น หรือบริเวณที่ไม่มีแสง ความมืดจะเป็นสิ่งมีชีวิตได้อย่างไร อย่าว่าแต่มันเป็นเพียงปรากฏการณ์ธรรมชาติอย่างหนึ่ง ที่ไม่มีตัวตนอะไรเลย
แต่ถ้ามันเป็นความจริงล่ะ เขาอดคิดเล่น ๆ ไม่ได้… ความมืดมีชีวิตกำลังคืบคลานมา กลืนกินมนุษยชาติโดยจุดประสงค์ซึ่งยากต่อการเข้าใจ ด้านทิศตะวันตก แสงไฟเคยเห็นสว่างตามตึกอาคารบ้านเรือนต่างทยอยดับลงเรื่อย ๆ จนในที่สุดหน้าต่างทางทิศตะวันตกก็เหลือเพียงฉากดำคลี่ทิ้งตัวลงมาปกคลุมจนหมดสิ้น
กว่าจะรู้ตัวจิตแพทย์หนุ่มก็พบว่าตัวเองกำลังควานหาเทียนไข ไม้ขีดไฟ ในลิ้นชักเป็นการใหญ่ อะไรบางอย่างมากับความมืดทำให้เขารู้สึกตัวเย็นเฉียบอย่างไม่มีเหตุผล แสงไฟบนเพดานยังสว่างไม่ได้ดับลงอย่างที่วิตกกังวล แต่แสงของมันดูสลัวเลือนรางอย่างประหลาด ถ้าตาไม่ฝาดหรือไม่คิดมากเกินไป เขาคิดว่าเห็นละอองแห่งความมืดรั่วไหลเข้ามาทางหน้าต่างเสียด้วยซ้ำ
ไอของความมืด.... คล้ายกลิ่นไอของความตาย ความรู้สึกบอกแบบนั้น...ความมืดระเหยได้หรืออย่างไร กลิ่นของมันแทรกซึมเข้าไปในความรู้สึกราวกับโดนรมด้วยยากล่อมประสาทจนต้องสลัดศีรษะไปมาแรงๆ พยายามขับไล่ความวิปริตออกไปจากสมองเพราะเริ่มรู้สึกว่าไม้ยินอะไรแปลกๆแว่วมาจากความมืด
ตรวจดูความพร้อมภายในห้อง มีเทียนไขอยู่กล่องหนึ่งกับไม้ขีดไฟ จึงจับมาวางบนโต๊ะในสภาพพร้อมใช้งาน จะจุดเทียนก็รู้สึกละอายใจกับการกระทำอันดูแล้วไม่ต่างคนคนบ้าเท่าไรนัก ไม่ต่างจากทหารกำลังจัดเตรียมอาวุธเพื่อออกศึก หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งในที่สุดก็ตัดสินใจจุดเทียนไขด้วยมือสั่นระริกทั้งที่หลอดไฟบนเพดานยังคงสว่าง ไม่เป็นไร...สุภาษิตบอกว่าน้ำเยอะปลาไม่ตาย มีแสงไฟมากไม่เห็นมีผลเสียหาย
หางตาของคุณหมอคล้ายมองเห็นอะไรบางอย่างบริเวณประตู พอหันไปมองก็ไม่พบอะไร ประตูยังปิดสนิท แต่ทำไมความรู้สึกบอกว่ามีใครบางคนเดินผ่านไป ใครบางคนที่เคยรู้สึกมาก่อน ทันใดนั้นเองก็นึกขึ้นมาได้โดยไม่มีเหตุผลว่าคนดังกล่าวคือคุณพ่อของเขาเอง
คุณพ่อ...
แต่ท่านเสียชีวิตไปแล้วหลายปี !
คุณหมอขนลุกเกรียวทันที ทำไมรู้สึกบ้าๆ โดยไม่มีเหตุผล ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ามองเห็นจริงหรือไม่ แต่ความรู้สึกมันบอกว่าชัดเจนเหลือเกิน ดูเหมือนว่าท่านกำลังยิ้มให้เสียด้วย มันเรื่องบ้าอะไรกัน...พอรู้ว่าตัวเองเริ่มฟุ้งซ่านจึงหายใจลึกหลับตารวมรวมสติอารมณ์ตามวิธีที่เรียนรู้มา เวลาผ่านไปหลายนาทีจนจิตใจผ่อนคลายลงจึงค่อยลืมตาขึ้น
มันก็แค่อาการคิดมากเท่านั้น ถ้าตั้งสติให้ดีก็จะรู้เท่าทันถึงความลวงหลอนของตัวเอง
มองออกไปทางหน้าต่าง ม่านราตรีโรยรายปรายโปรยลงมารุกไล่กลืนกินหมู่ตึก อาคารบ้านเรือน อย่างหิวกระหาย แสงไฟเริ่มดับไล่มาจากด้านตะวันตกอย่างน่ากลัว หมอหนุ่มยืนตัวแข็งทื่อก่อนนึกอะไรขึ้นมาได้ รีบปราดไปยังโทรศัพท์กดเบอร์โทรออกไปยังบ้านที่มีภรรยาและลูกชายหญิง ก็เหมือนครอบครัวธรรมดาอื่น สิบกว่าปีกับการรับบทของความเป็นพ่อ และการพยายามทำหน้าที่ของสามี ทุกข์บ้างสุขบ้างว่ากันไป
“คุณรีบกลับบ้านเถอะค่ะ” เสียงภรรยาแว่วมาตามสายก่อนเขาจะมีโอกาสพูด “รู้สึกว่าวันนี้มีอะไรบางอย่างแปลกๆ กว่าทุกวัน”
“อะไรที่ว่าแปลก” เขากลั้นใจถาม พยายามทำเสียงให้เป็นปกติและทุกอย่างไม่มีอะไรผิดปกติ
“ฝนทำท่าจะตก ฟ้าดำมืดมาเชียว แต่แปลกนะคะ ไม่ได้ยินเสียงฟ้าร้องหรือฟ้าแลบอย่างเคยเห็น ทุกอย่างมันดูเงียบแบบบอกไม่ถูก คุณรีบกลับมาเถอะค่ะ”
เสียงของเธอมีแววร้อนรนปนประหลาดใจ เขารีบกรอกเสียงสวนกลับไป
“คุณหาไฟฉาย ตะเกียง เทียนไข หรืออะไรก็ได้ จุดไฟให้สว่างเตรียมพร้อมเอาไว้ก่อน เปิดไฟทุกดวงในบ้าน ผมจะรีบกลับมาหาคุณเดี๋ยวนี้”
“มีอะไรหรือคะ”
“ทำตามที่ผมบอกเถอะ มันอธิบายตอนนี้ไม่ได้ รอผมในบ้านอย่าออกไปไหน” เขาพูดเสียงดังจนรู้สึกตกใจกับตัวเอง
จู่ ๆ โทรศัพท์เงียบกริบเหมือนสายขาด เขายืนถือหูโทรศัพท์ยืนค้างนิ่งเนิ่นนาน แทบไม่อยากเชื่อว่าเป็นไปได้ อะไรบางอย่างกำลังพยายามให้เขาอยู่อย่างโดดเดี่ยว ความรู้สึกบอกอย่างนั้น
หันไปมองหน้าต่างอย่างไม่ตั้งใจเพื่อพบกับฉากมืดดำปกคลุมไปจนหมดสิ้น ไม่มีแสงไฟจากบ้านเพื่อนบ้าน ไม่มีอะไรสักอย่างนอกจากความมืดซึ่งเฝ้าจับตามองอยู่ ในชีวิตจิตแพทย์หนุ่มไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน มันชวนให้นึกไปว่าเขาบ้าไปแล้ว ห้องของเขาห้องเหมือนเป็นกล่องสี่เหลี่ยมลอยคว้างอยู่ในอวกาศมืดมิด และเป็นเพียงแห่งเดียวที่มีสัญญาณแห่งความมีชีวิตปรากฏให้เห็น
พระเจ้าช่วย…! เขาคร่ำครวญในใจขณะจุดเทียนวางเพิ่มลงบนโต๊ะ หรือเขาบ้าไปแล้วเพราะรับรู้โลกของคนบ้ามากเกินไปจนส่งผลกระทบให้มรอาการฟั่นเฟือนไปด้วย หลอดไฟข้างบนหรี่ลงทำท่าจะดับ กะพริบวูบวาบ แสงเทียนบนโต๊ะไหวสั่นคล้ายมีลมหายใจของปีศาจพัดผ่าน เขาหันรีหันขวางอยู่กลางห้องครู่หนึ่งก่อนปราดไปประตู ขอบคุณสวรรค์หรือนรกก็ได้ ทำให้มันเปิดออกง่ายๆไม่ล็อคขังเขาไว้ข้างในเหมือนหนังเขย่าขวัญ แต่สิ่งรอคอยอยู่ข้างนอกคือความมืดมิด รอคอยเหมือนแมวเปิดประตูให้หนูวิ่งออกมาจากกรงเข้าปากแมวในตอนท้ายด้านนอก มันรอเขาอยู่ทุกแห่ง จะอะไรเสียอีกถ้าไม่ใช่ความมืด
จากการทำงานมาหลายปีทำให้เขานึกถึงพื้นที่ทุกตารางเมตรของสถานที่แห่งนี้ได้เป็นอย่างดี ห้องทำงานของเขาอยู่ชั้นล่างสะดวกในการเดินเข้าออก ห่างออกไปไม่เท่าไรเป็นโรงรถและรถเขาจอดอยู่บริเวณนั้น เป็นไปได้ไหมในการวิ่งตรงไปยังรถ ติดเครื่อง เปิดไฟทุกดวง ทั้งด้านหน้าด้านหลังด้านนอกด้านใน ขับทะยานตรงไปยังบ้าน
เขามองไม่เห็นอาคารคนไข้อยู่ถัดออกไปไม่มากนัก เหมือนว่ามันไม่เคยมีมาก่อน
ไฟฟ้าในห้องดับวูบลง จิตแพทย์หนุ่มใจหายวาบ ความมืดด้านนอกเหมือนพวกมันรออยู่ พอแสงไฟจากหลอดไฟหายไปพวกมันเริ่มไหลเลื้อยเข้ามาหาอย่างมุ่งร้ายหมายขวัญ โชคดีว่าบนโต๊ะยังมีเทียนจุดอยู่สามเล่มกำลังสะบัดไหวเปลวไปมาอย่างน่าเป็นห่วงทั้งที่ไม่มีแรงลมแม้สักน้อยนิด เงาวูบวาบไต่ตามผนังเหมือนเงาภูตผีปีศาจเคลื่อนตัวไปมาคอยหาโอกาสทำร้าย เขาเงี่ยหูฟังเสียงต่าง ๆ ไม่มีแม้แต่เสียงยานพาหนะวิ่งไปมาอย่างควรจะเป็น ไม่มีเสียงอะไรหลุดรอดออกมาจากความมืดรายรอบ จนทำให้นึกไปว่าในความมืดไม่มีอะไรเลยสักอย่าง
จิตแพทย์หนุ่ม เดินวนไปมาเป็นหนูติดจั่น นอกจากความมืดภายนอก ยังมีความมืดภายในใจของเขากำลังเริ่มก่อตัวขึ้นมาเช่นกัน ความมืดในใจเกิดจากความไม่รู้.. ความหวาดกลัวที่หาสาเหตุไม่ได้ มันทำให้เขาตัวสั่น บนโต๊ะมีแจกันใส่ดอกไม้แห้งวางอยู่ เขาหยิบขึ้นมาอย่างไม่แน่ใจ มองไปยังหน้าต่างดำมืดรูปสี่เหลี่ยม ก่อนตัดสินใจขว้างแจกันออกไปนอกหน้าต่าง
.
ความมืด.........3
.
บทที่ 1
https://ppantip.com/topic/36593368
บทที่ 2
https://ppantip.com/topic/36601045
.
จิตแพทย์หนุ่มปิดสมุดบันทึกของคนไข้ หันไปมองนาฬิกาก่อนนั่งเงียบคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ ลองคิดแบบคนบ้าเล่น ๆ ดู ไม่เห็นจะมีอะไรเสียหาย
ความมืดจะมีชีวิตได้อย่างไร ถ้าเป็นจริงทำไมมันไม่กลืนกินสรรพสิ่งในโลกให้หมดไปในคราวเดียว หรือว่าถ้ามันมีชีวิตจริงมันจะมีวิธีการเลือกเหยื่ออย่างเหมาะสมด้วยวิธีการและจุดประสงค์เร้นลับอะไรบางอย่าง
คนไข้เจ้าของบันทึกหายไปตั้งแต่เมื่อคืนที่มีพายุฝน ไฟฟ้าดับลงเป็นครั้งแรกในรอบปี สถาบันทางจิตอยู่ในสภาพวุ่นวายพอสมควร แต่ทุกอย่างก็สามารถควบคุมได้ในที่สุดเมื่อไฟฟ้าสว่างขึ้นอีกครั้งในสิบนาทีต่อมา มีเพียงคนไข้ทางจิตเจ้าของบันทึกฉบับนี้ที่หายไปจากห้องอย่างลึกลับ เขานึกถึงวันแรกในการรับตัวคนไข้พิเศษ ความจริงเขาตกเป็นผู้ต้องหาวางเพลิงเผาบ้านพักตากอากาศชายทะเล และเป็นผู้ต้องสงสัยในการหายไปของคนในครอบครัว คำให้การของเขาฟังดูประหลาดเหลือเชื่อ แต่เครื่องจับเท็จรายงานว่าเขาพูดความจริงครั้งแล้วครั้งเล่า
ใครล่ะจะเชื่อ... ที่เชื่อกันได้คือพวกคนบ้าทำให้เรื่องบ้าบอเป็นเรื่องจริงได้ในความคิดของพวกเหมอ ในเมื่อทุกคนคิดว่าเขาเป็นฆาตกรโรคจิตแล้ว ความเชื่อนั้นจะถูกตอกฝังลงไปในสมอง จนเหตุผลใดก็ยากจะงัดแงะออกมาให้พิจารณาหาเหตุผลเที่ยงธรรมได้ง่าย อิทธิพลของความเชื่อทำให้ระนาบแห่งความเที่ยงธรรมเอนเอียงไปข้างหนึ่งข้างใดเสมอ เขาถูกส่งมาแผนกจิตวิเคราะห์แห่งนี้ เพื่อหาข้อมูลไปประกอบการพิจารณาคดี
คนไข้รายนี้อ้อนวอนขอไม้ขีด เทียนไข ไฟฉาย ไว้ในห้อง แน่ล่ะ..ใครจะไปยอมให้ไฟกับคนเผาบ้านพักจนวายวอด วันดีคืนดีเกิดแกนึกสนุกเผาตึกเล่นใครจะรับผิดชอบ เขาถูกกักตัวในห้องบำบัด ถูกนำตัวเข้าตรวจวัดสภาพจิตใจ ผลการตรวจวัดยังไม่สรุปผล แต่เขาดูหวาดกลัวมากกว่าจะทำร้ายตนเองหรือใครได้
ในคืนไฟดับ เขาหายไปอย่างไร้ร่องรอยทั้งที่มียามรักษาการณ์เฝ้าดูอยู่หลายคน ประตูล็อคจากด้านนอกแน่นหนา ยังไม่มีใครหาคำตอบได้ว่าเขาหายไปได้อย่างไร
จิตแพทย์หนุ่มเดินไปชะโงกดูทางหน้าต่าง จ้องมองออกไปอย่างไร้เป้าหมาย ความมืดเริ่มมาเยือนอย่างรวดเร็วแต่แสงไฟสว่างตามหมู่ตึกเรียงรายรอบล้อมทำให้ไม่รู้สึกว่ากำลังอยู่โดดเดี่ยว ความสว่างกระจ่างชัดดูอบอุ่นและปลอดภัยมากกว่าความมืด เขามองไม่เห็นคนในหมู่ตึก แต่รู้ว่ามีคนมากมายกำลังดำเนินชีวิตไปตามเส้นทางของตัวเอง ทุกข์สุขอย่างไรยากจะหยั่งรู้ การคิดแบบนั้นทำให้ไม่รู้สึกว่าอยู่โดดเดี่ยวเพียงลำพังในโลก ไม่เห็นผู้คนไม่ได้หมายถึงไม่มีคน แล้วอะไรล่ะที่มีแต่ไม่สามารถมองเห็น ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าตัวเองกำลังจมลงไปในฟองความสับสนอันเดือดพล่าน
ห้องทำงานมีหน้าต่างเปิดออกไปทางทิศตะวันตก เนื่องจากอยู่มุมตัวอาคารพอดี มองออกไปเห็นแสงไฟไล่เรียงรายสูงต่ำตามสภาพอาคารบ้านเรือน แต่ทำไมด้านทิศตะวันตกดำมืดอย่างน่าประหลาด มันเป็นความมืดแบบไม่เคยเห็นไม่เคยสัมผัสมาก่อน มืดยิ่งกว่าคืนเดือนมืด
หมอหนุ่มรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างกำลังจ้องมองอย่างเงียบงัน ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องรู้สึกอย่างนั้น ความเย็นยะเยียบชนิดหนึ่งกำลังกดลงบนบ่า แล้วค่อยไหลลงไปตามแผ่นหลังอย่างเชื่องช้า เป็นความรู้สึกสะท้อนออกมาจากก้นบึ้งของจิตใจอันหวาดกลัว
ตึกสูงหลายสิบชั้นหลังหนึ่งที่มองเห็นไฟสว่างทั่วตึก จู่ ๆไฟทั้งตึกดับวูบลง
จิตแพทย์หนุ่มมองดูอย่างแปลกใจแกมงุนงง
อาจเป็นได้ว่าไฟดับทั้งตึกเป็นเหตุการณ์ไม่บ่อยและไม่น่าจะเกิด ไม่มีพายุฝนฟ้าคะนอง ไฟดับลงได้อย่างไร แถมดับเป็นบริเวณกว้างเสียด้วย เขามองขึ้นไปยังท้องฟ้า มันดำมืดและบางส่วนยังคล้ายเคลื่อนไหวไปมาเหมือนมีแมงกะพรุนยักษ์สีดำข้นบนฟากฟ้า เกลียวแห่งความมืดดำคล้ายบิดม้วนไปมาอย่างน่าสยดสยอง
ไม่มีแสงสายฟ้า ไม่มีเสียงคำรามของลมฝนพายุคลั่ง เขานึกถึงเรื่องในสมุดบันทึกของคนไข้ จะมีใครเชื่อสิ่งที่คนบ้าเขียน มันไม่มีทางเป็นไปได้เพราะอ่านดูแล้วมันบ้ายิ่งกว่าบ้า ความมืดก็คือสภาพการมีวัตถุทึบแสงมาบังแสงสว่างเท่านั้น หรือบริเวณที่ไม่มีแสง ความมืดจะเป็นสิ่งมีชีวิตได้อย่างไร อย่าว่าแต่มันเป็นเพียงปรากฏการณ์ธรรมชาติอย่างหนึ่ง ที่ไม่มีตัวตนอะไรเลย
แต่ถ้ามันเป็นความจริงล่ะ เขาอดคิดเล่น ๆ ไม่ได้… ความมืดมีชีวิตกำลังคืบคลานมา กลืนกินมนุษยชาติโดยจุดประสงค์ซึ่งยากต่อการเข้าใจ ด้านทิศตะวันตก แสงไฟเคยเห็นสว่างตามตึกอาคารบ้านเรือนต่างทยอยดับลงเรื่อย ๆ จนในที่สุดหน้าต่างทางทิศตะวันตกก็เหลือเพียงฉากดำคลี่ทิ้งตัวลงมาปกคลุมจนหมดสิ้น
กว่าจะรู้ตัวจิตแพทย์หนุ่มก็พบว่าตัวเองกำลังควานหาเทียนไข ไม้ขีดไฟ ในลิ้นชักเป็นการใหญ่ อะไรบางอย่างมากับความมืดทำให้เขารู้สึกตัวเย็นเฉียบอย่างไม่มีเหตุผล แสงไฟบนเพดานยังสว่างไม่ได้ดับลงอย่างที่วิตกกังวล แต่แสงของมันดูสลัวเลือนรางอย่างประหลาด ถ้าตาไม่ฝาดหรือไม่คิดมากเกินไป เขาคิดว่าเห็นละอองแห่งความมืดรั่วไหลเข้ามาทางหน้าต่างเสียด้วยซ้ำ
ไอของความมืด.... คล้ายกลิ่นไอของความตาย ความรู้สึกบอกแบบนั้น...ความมืดระเหยได้หรืออย่างไร กลิ่นของมันแทรกซึมเข้าไปในความรู้สึกราวกับโดนรมด้วยยากล่อมประสาทจนต้องสลัดศีรษะไปมาแรงๆ พยายามขับไล่ความวิปริตออกไปจากสมองเพราะเริ่มรู้สึกว่าไม้ยินอะไรแปลกๆแว่วมาจากความมืด
ตรวจดูความพร้อมภายในห้อง มีเทียนไขอยู่กล่องหนึ่งกับไม้ขีดไฟ จึงจับมาวางบนโต๊ะในสภาพพร้อมใช้งาน จะจุดเทียนก็รู้สึกละอายใจกับการกระทำอันดูแล้วไม่ต่างคนคนบ้าเท่าไรนัก ไม่ต่างจากทหารกำลังจัดเตรียมอาวุธเพื่อออกศึก หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งในที่สุดก็ตัดสินใจจุดเทียนไขด้วยมือสั่นระริกทั้งที่หลอดไฟบนเพดานยังคงสว่าง ไม่เป็นไร...สุภาษิตบอกว่าน้ำเยอะปลาไม่ตาย มีแสงไฟมากไม่เห็นมีผลเสียหาย
หางตาของคุณหมอคล้ายมองเห็นอะไรบางอย่างบริเวณประตู พอหันไปมองก็ไม่พบอะไร ประตูยังปิดสนิท แต่ทำไมความรู้สึกบอกว่ามีใครบางคนเดินผ่านไป ใครบางคนที่เคยรู้สึกมาก่อน ทันใดนั้นเองก็นึกขึ้นมาได้โดยไม่มีเหตุผลว่าคนดังกล่าวคือคุณพ่อของเขาเอง
คุณพ่อ...
แต่ท่านเสียชีวิตไปแล้วหลายปี !
คุณหมอขนลุกเกรียวทันที ทำไมรู้สึกบ้าๆ โดยไม่มีเหตุผล ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ามองเห็นจริงหรือไม่ แต่ความรู้สึกมันบอกว่าชัดเจนเหลือเกิน ดูเหมือนว่าท่านกำลังยิ้มให้เสียด้วย มันเรื่องบ้าอะไรกัน...พอรู้ว่าตัวเองเริ่มฟุ้งซ่านจึงหายใจลึกหลับตารวมรวมสติอารมณ์ตามวิธีที่เรียนรู้มา เวลาผ่านไปหลายนาทีจนจิตใจผ่อนคลายลงจึงค่อยลืมตาขึ้น
มันก็แค่อาการคิดมากเท่านั้น ถ้าตั้งสติให้ดีก็จะรู้เท่าทันถึงความลวงหลอนของตัวเอง
มองออกไปทางหน้าต่าง ม่านราตรีโรยรายปรายโปรยลงมารุกไล่กลืนกินหมู่ตึก อาคารบ้านเรือน อย่างหิวกระหาย แสงไฟเริ่มดับไล่มาจากด้านตะวันตกอย่างน่ากลัว หมอหนุ่มยืนตัวแข็งทื่อก่อนนึกอะไรขึ้นมาได้ รีบปราดไปยังโทรศัพท์กดเบอร์โทรออกไปยังบ้านที่มีภรรยาและลูกชายหญิง ก็เหมือนครอบครัวธรรมดาอื่น สิบกว่าปีกับการรับบทของความเป็นพ่อ และการพยายามทำหน้าที่ของสามี ทุกข์บ้างสุขบ้างว่ากันไป
“คุณรีบกลับบ้านเถอะค่ะ” เสียงภรรยาแว่วมาตามสายก่อนเขาจะมีโอกาสพูด “รู้สึกว่าวันนี้มีอะไรบางอย่างแปลกๆ กว่าทุกวัน”
“อะไรที่ว่าแปลก” เขากลั้นใจถาม พยายามทำเสียงให้เป็นปกติและทุกอย่างไม่มีอะไรผิดปกติ
“ฝนทำท่าจะตก ฟ้าดำมืดมาเชียว แต่แปลกนะคะ ไม่ได้ยินเสียงฟ้าร้องหรือฟ้าแลบอย่างเคยเห็น ทุกอย่างมันดูเงียบแบบบอกไม่ถูก คุณรีบกลับมาเถอะค่ะ”
เสียงของเธอมีแววร้อนรนปนประหลาดใจ เขารีบกรอกเสียงสวนกลับไป
“คุณหาไฟฉาย ตะเกียง เทียนไข หรืออะไรก็ได้ จุดไฟให้สว่างเตรียมพร้อมเอาไว้ก่อน เปิดไฟทุกดวงในบ้าน ผมจะรีบกลับมาหาคุณเดี๋ยวนี้”
“มีอะไรหรือคะ”
“ทำตามที่ผมบอกเถอะ มันอธิบายตอนนี้ไม่ได้ รอผมในบ้านอย่าออกไปไหน” เขาพูดเสียงดังจนรู้สึกตกใจกับตัวเอง
จู่ ๆ โทรศัพท์เงียบกริบเหมือนสายขาด เขายืนถือหูโทรศัพท์ยืนค้างนิ่งเนิ่นนาน แทบไม่อยากเชื่อว่าเป็นไปได้ อะไรบางอย่างกำลังพยายามให้เขาอยู่อย่างโดดเดี่ยว ความรู้สึกบอกอย่างนั้น
หันไปมองหน้าต่างอย่างไม่ตั้งใจเพื่อพบกับฉากมืดดำปกคลุมไปจนหมดสิ้น ไม่มีแสงไฟจากบ้านเพื่อนบ้าน ไม่มีอะไรสักอย่างนอกจากความมืดซึ่งเฝ้าจับตามองอยู่ ในชีวิตจิตแพทย์หนุ่มไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน มันชวนให้นึกไปว่าเขาบ้าไปแล้ว ห้องของเขาห้องเหมือนเป็นกล่องสี่เหลี่ยมลอยคว้างอยู่ในอวกาศมืดมิด และเป็นเพียงแห่งเดียวที่มีสัญญาณแห่งความมีชีวิตปรากฏให้เห็น
พระเจ้าช่วย…! เขาคร่ำครวญในใจขณะจุดเทียนวางเพิ่มลงบนโต๊ะ หรือเขาบ้าไปแล้วเพราะรับรู้โลกของคนบ้ามากเกินไปจนส่งผลกระทบให้มรอาการฟั่นเฟือนไปด้วย หลอดไฟข้างบนหรี่ลงทำท่าจะดับ กะพริบวูบวาบ แสงเทียนบนโต๊ะไหวสั่นคล้ายมีลมหายใจของปีศาจพัดผ่าน เขาหันรีหันขวางอยู่กลางห้องครู่หนึ่งก่อนปราดไปประตู ขอบคุณสวรรค์หรือนรกก็ได้ ทำให้มันเปิดออกง่ายๆไม่ล็อคขังเขาไว้ข้างในเหมือนหนังเขย่าขวัญ แต่สิ่งรอคอยอยู่ข้างนอกคือความมืดมิด รอคอยเหมือนแมวเปิดประตูให้หนูวิ่งออกมาจากกรงเข้าปากแมวในตอนท้ายด้านนอก มันรอเขาอยู่ทุกแห่ง จะอะไรเสียอีกถ้าไม่ใช่ความมืด
จากการทำงานมาหลายปีทำให้เขานึกถึงพื้นที่ทุกตารางเมตรของสถานที่แห่งนี้ได้เป็นอย่างดี ห้องทำงานของเขาอยู่ชั้นล่างสะดวกในการเดินเข้าออก ห่างออกไปไม่เท่าไรเป็นโรงรถและรถเขาจอดอยู่บริเวณนั้น เป็นไปได้ไหมในการวิ่งตรงไปยังรถ ติดเครื่อง เปิดไฟทุกดวง ทั้งด้านหน้าด้านหลังด้านนอกด้านใน ขับทะยานตรงไปยังบ้าน
เขามองไม่เห็นอาคารคนไข้อยู่ถัดออกไปไม่มากนัก เหมือนว่ามันไม่เคยมีมาก่อน
ไฟฟ้าในห้องดับวูบลง จิตแพทย์หนุ่มใจหายวาบ ความมืดด้านนอกเหมือนพวกมันรออยู่ พอแสงไฟจากหลอดไฟหายไปพวกมันเริ่มไหลเลื้อยเข้ามาหาอย่างมุ่งร้ายหมายขวัญ โชคดีว่าบนโต๊ะยังมีเทียนจุดอยู่สามเล่มกำลังสะบัดไหวเปลวไปมาอย่างน่าเป็นห่วงทั้งที่ไม่มีแรงลมแม้สักน้อยนิด เงาวูบวาบไต่ตามผนังเหมือนเงาภูตผีปีศาจเคลื่อนตัวไปมาคอยหาโอกาสทำร้าย เขาเงี่ยหูฟังเสียงต่าง ๆ ไม่มีแม้แต่เสียงยานพาหนะวิ่งไปมาอย่างควรจะเป็น ไม่มีเสียงอะไรหลุดรอดออกมาจากความมืดรายรอบ จนทำให้นึกไปว่าในความมืดไม่มีอะไรเลยสักอย่าง
จิตแพทย์หนุ่ม เดินวนไปมาเป็นหนูติดจั่น นอกจากความมืดภายนอก ยังมีความมืดภายในใจของเขากำลังเริ่มก่อตัวขึ้นมาเช่นกัน ความมืดในใจเกิดจากความไม่รู้.. ความหวาดกลัวที่หาสาเหตุไม่ได้ มันทำให้เขาตัวสั่น บนโต๊ะมีแจกันใส่ดอกไม้แห้งวางอยู่ เขาหยิบขึ้นมาอย่างไม่แน่ใจ มองไปยังหน้าต่างดำมืดรูปสี่เหลี่ยม ก่อนตัดสินใจขว้างแจกันออกไปนอกหน้าต่าง
.