บทที่ 1
https://ppantip.com/topic/36553008
บทที่ 2
https://ppantip.com/topic/36559240
บทที่ 3
https://ppantip.com/topic/36573449
.....
.
เจอแบบนี้คุณหมอคงไม่คิดว่าผมเมาหรอกนะ มันชัดเจนเกินไป...ชัดเจนมากเกินกว่าจะเป็นอาการประสาทหลอนจากความเมา ชัดเจนเกินกว่าจะเป็นฝันร้าย!! ความหวาดกลัวชนิดเกินขีดจำกัดอาจทำให้คนดีๆ เป็นบ้าเป็นหลังไปก็ได้เหมือนกัน อย่างที่เราเคยเรียนมาว่าเป็นกลไกในการป้องกันตัวรูปแบบหนึ่ง ฟังดูน่ากลัวและชวนประสาทเสีย แน่นอนว่าคุณไม่ต้องห่วงผมอย่างหนึ่ง อย่างน้อยผมก็ยังไม่ตาย ถ้าตายคงไม่มีโอกาสมานั่งเขียนบันทึกให้คุณอ่าน คุณหมอเองก็อาจคิดว่าผมบ้าไปแล้ว แต่ลองอ่านต่อไปสักนิดครับ เรื่องมันใกล้จะจบแล้ว และผมก็กำลังจะไปหาคุณหมอ เมื่อจบการเขียนบันทึก ลองอ่านต่อไปอีกหน่อยนะครับ
“ไอ้บ้านี่คงบ้าได้ที่”
จิตแพทย์วัยกลางคนสั่นหน้าพลางหัวเราะให้กับบันทึกข้างหน้า เออ....พวกคนบ้าคิดอะไรเป็นตุเป็นตะ ... เขานึกถึงคนไข้เจ้าของบันทึกแต่นึกหน้าไม่ออกสักเท่าไร หนอย...บอกจะมาหาเรา มันจะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อล่าสุดเจ้าหมอนี่เปลี่ยนเป็นคนไข้ระดับอันตรายแบบไม่คาดฝัน ถูกพันธนาการด้วยเสื้อที่ใช้สำหรับคนบ้าสมบูรณ์แบบ กับการมัดตรึงกับเตียงแบบไร้ทางหนี เป็นวิธีการที่ใช้กับคนไข้อาการหนัก แล้วมาเขียนบันทึกได้อย่างไรกัน
คุณหมอละสายตามองออกไปทางหน้าต่างเพื่อพักสายตา เครื่องบินท้องแก่บินวนผ่านไปอีกครั้ง ท่าจะบ้า..มันจะบินวนหาพระแสงอะไรกัน เขาคิดในใจ เดี๋ยวก็คลอดกลางอากาศหรอก แต่พอคิดแบบนั้นเขาก็รู้สึกขำกับความคิดของตัวเอง เมื่อนึกภาพเครื่องบินกำลังคลอดกลางอากาศออกมาเป็นเครื่องบินลำเล็กๆ บินว่อนไปทั่วท้องฟ้าร้องอุแว้ออกจากเครื่องยนต์ดังระงม บาลำหิวน้ำมันคงบินลงมาวนเวียนแถวปั๊มน้ำมัน
เริ่มคิดเหมือนคนบ้าเข้าไปทุกที คุณหมอจิตแพทย์สะดุ้งเฮือกให้กับความคิดของตนเอง ไม่เป็นไรน่า..... นานๆ ครั้งคิดแบบคนบ้าดูก็เข้าท่าเหมือนกัน เหลือบมองนาฬิกา ยังอีกนานกว่าจะถึงเวลาอาหารเย็น คุณหมอจึงพลิกบันทึกอ่านต่อไป
ผมเริ่มเหนื่อยและอ่อนแรง ได้ยินแค่เสียงฝีเท้าตัวเองกระทบผิวถนนอันแข็งกระด้างและน่าจะเย็นชืด รอบตัวมีแค่ความมืด หลายครั้งร่างกายปะทะกับผนังจนล้มลุกคลุกคลาน มันคงไม่ตามมาแล้วล่ะ ในที่สุดยืนพิงผนังหอบหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย ทำไมตรอกซอกซอยนรกมันยาวเหลือเกิน เห็นแสงไฟสลัวเป็นจุดเล็กๆบริเวณทางออกอยู่ไกลออกไปประมาณสองสามร้อยเมตร แต่ก็กลัวว่าจะไปเจอกับรถบรรทุกศพสยองอีก พยายามนึกว่ามันต้องมีธุระไปทำเหมือนกัน คงไม่มีเวลามาไล่กวดชาวบ้านหรอก และถ้ามันจะคิดทำร้ายผมจริง ก็คงทำไปนานแล้ว
มันต้องการอะไรกันแน่ คิดอะไรไม่ออกเลย
ค่อยรู้สึกดีขึ้นหน่อย อย่างน้อยก็ไม่มีใบหน้าศพมาจ้องมองให้กลัวจนบ้าตาย ศพหลังรถคงฟื้นขึ้นมาไม่ได้ มันอาจเกิดจากเส้นเอ็นคลายตัวจากแรงสั่นสะเทือน ไม่เห็นจะต้องกลัวจนวิ่งเตลิดมาถึงนี่เลย
ในตรอกมีกลิ่นอับ และกลิ่นเหม็น เหมือนมีอะไรตายอยู่ใกล้ๆ ผมยืนนิ่งจนตาเริ่มปรับกับความมืดได้ และเห็นภาพสลัวราง บรรยากาศเงียบเหลือเกิน เงียบจนได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้น เออ..ไม่ว่ากัน เต้นเข้าไปเถอะ... ไม่ว่ากัน... อย่างน้อยคนที่หัวใจเต้นก็ยังไม่ตาย
บริเวณตึกด้านตรงข้ามกับจุดที่ผมยืนอยู่ก็มีแสงสว่างวับแวมขึ้นมา แสงมาจากหน้าต่างบานหนึ่งของชั้นสอง ยังมีคนไม่นอนอีกแฮะ ผมคิดในใจ... และพยายามทำตัวให้เงียบเข้าไว้ มีเสียงดังสะท้านไปทั้งวิญญาณ เสียงเหมือนกลองขนาดใหญ่ถูกกระหน่ำด้วยค้อนมหึมาท่ามกลางเสียงพายุ มันเสียงหัวใจของผมเอง หัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำผสานเสียงลมหายใจ รู้สึกใจวูบหวิว เหมือนจะเป็นลม เสียงดังเหมือนไม้กระแทกผนังตึก หน้าต่างห้องชั้นสองฝั่งตรงกันข้ามเปิดออก กรอบสี่เหลี่ยมถูกสร้างจากแสงจางซีดของตะเกียง หรือไม่ก็หลอดไฟไร้เรี่ยวแรง หญิงชราในกรอบหน้าต่างดูเก่าแก่และน่ากลัว ในมือแกคงถือตะเกียงหรือเทียนไขติดไฟสักเล่ม แสงจึงสาดมาจากด้านล่างขึ้นด้านบน แรเงาใบหน้าวูบวาบในโทนสยองขวัญ สมัยเด็กๆ ผมกับเพื่อนเคยหยอกล้อกัน โดยฉายไฟจากด้านล่างของใบหน้า มันจะดูน่ากลัว แต่ไม่เคยคิดว่าจะน่ากลัวอย่างที่ในเวลานี้ เห็นนัยน์ตาของคุณยายเหมือนกำลังจ้องมองไปเบื้องหน้า ร่างแข็งทื่อเหมือนศพตายซาก ชั้นสองของอาคารไม่ได้สูงอะไรมากมาย เพียงแต่แกก้มหน้าลงมามอง อาจจะสบตากับใครคนหนึ่งผู้กำลังตัวสั่นอย่างไม่อาจควบคุมได้
ไม่... ข้างล่างมันมืด คุณยายคงมองไม่เห็น ทำไมเราต้องไปกลัวคุณยายด้วยนะ บางทีแกอาจเปิดหน้าต่างออกมามองหาหมาแมวที่วิ่งเพ่นพ่าน หรือออกมารับลมเย็นเวลาดึก แต่ดูให้ดีไม่น่าจะใช่ คุณยายตัวแข็งทื่อผิดธรรมชาติเหลือเกิน สายตาเหมือนจับจ้องไปยังผนังตึกด้านตรงข้าม
ใช่.....ด้านตรงกันข้าม...มันก็อยู่เหนือหัวผมไม่กี่เมตรนี่เอง คุณยายมองอะไรอยู่นะ...
แหงนหน้าขึ้นไปมองอย่างไม่ตั้งใจอีกแล้วก็มองเห็นเธออย่างชัดเจนชนิดไม่น่าเป็นไปได้ อยู่สูงเหนือศีรษะห่างขึ้นไปไม่เท่าไร
เส้นผมสยายของเธอยาวเหลือเกิน ยาวเหยียดจนยื่นลงมาแทบแตะใบหน้าผม เธอกำลังชะโงกตัวพ้นหน้าต่างก้มชั้นที่สองลงมามองดูข้างล่าง ใบหน้าเลือนราง แต่ความรู้สึกบอกว่าเธอกำลังจ้องมองลงมาแบบตาไม่กะพริบ ตัวของเธอพ้นกรอบหน้าต่างออกมาดูนิ่งเหมือนหุ่น แต่มองเห็นปลายนิ้วมือกำลังโผล่ไต่ไปมาจากผนังด้านล่างของกรอบขอบหน้าต่าง เหมือนคนกำลังพร่างพรมนิ้วเล่นเปียโนไปมาไม่หยุดยั้งจากนั้นลำตัวของเธอค่อยยื่นยาวออกมาจากหน้าต่างแบบผิดธรรมชาติไม่น่าเป็นไปได้ ด้วยกิริยาผิดปกติจนสุดจะทนทานอาการแบบนี้ คนดีๆที่ไหนเขาทำกัน
อะไรก็ตามถ้ามันผิดปกติผิดธรรมชาติ มันคือความน่ากลัว
“มีคนตาย ...มีคนตาย...ตายทั้งเมือง” เสียงแหบแห้งกระชากความสนใจของผม ให้กลับไปมองคุณยายอีกครั้งราวถูกมนต์สะกดตอกตรึงไม่ให้ขยับเท้าวิ่งหนีไปไหนได้
ให้มันได้อย่างนี้สิทูนหัว คุณยายที่ตอนแรกยืนนิ่ง กำลังทำท่าทางมือไขว่คว้าตะกายขึ้นไปในอากาศ มืองอหงิกบิดไปมาผิดรูป ใบหน้าเคยสงบเงียบกลายเป็นกำลังแลบลิ้นปลิ้นตาอย่างน่าสยดสยอง ลิ้นยาวเหยียดตวัดแลบเลียเหมือนหิวกระหายเสียเต็มประดา ศีรษะสะบัดรุนแรงจนน่ากลัวคอหัก จนได้ยินเสียงกระดูกต้นคอลั่นชัดเจน
วินาทีนั้น ผมบอกกับตัวเองว่ากำลังถูกผีหลอก มันไม่ใช่อาการประสาทหลอนแล้ว
ผีหลอก.....ผีหลอก.....
“คนตาย คนตาย....ตายกันหมดทุกคน” เสียงแหบโหยสั่นประสาทดังซ้ำซากออกมาจากปากของคุณยายสยองขวัญ
แค่นี้ก็เกินพอจะทำให้ขวัญกระเจิดกระเจิง สิ่งที่จะต้องทำคือหนีออกจากตรอกผีสิงก่อนจะถูกอำนาจของความกลัวโถมทับจนสติแตกดับ สายตาพร่าเลือนมองเห็นทางออกอยู่ไกลลิบ แสงสว่างตามถนนปรากฏให้เห็นเป็นช่องราวประตูสวรรค์ วิ่ง.....จะต้องวิ่งหนีให้ไกลแสนไกล สองเท้าเริ่มขยับได้ราวกับถูกปลดปล่อยจากพันธนาการแห่งความค้างคา ผมพยายามไม่มองไม่คิดอะไรต่อไป รวบรวมกำลังวิ่งตรงไปยังถนนใหญ่สุดชีวิตโดยมีเสียงร้องไม่เป็นภาษาของตัวเองเป็นเพื่อน ร้องจนร้องไม่ออกเพราะเสียงขาดหายไปจากการเหนื่อยหอบสำลักเสียงในลำคอ พอหยุดร้องก็ได้ยินเสียงฝีเท้ากระทบพื้นดังก้องสะท้อนไปมาในตรอก เหมือนมีเสียงฝีเท้าผู้คนจำนวนมากวิ่งไล่หลังตามมาติดๆ กราวใหญ่ เสียงอุบาทว์นั่นไล่มาตั้งแต่พื้นผิวถนนชื้นแฉะ วนไปรอบตัว ไต่ขึ้นมาตามสองขาอันอ่อนล้า คืบคลานมาตามไขสันหลังอย่างเชื่องช้า ราวกับกับตัวหนอนมรณะอันเยือกเย็นน่าพรั่นพรึง
จะเรียกว่าเป็นการวิ่งแบบล้มลุกคลุกคลานก็ได้ เพราะความมืดทำให้ลื่นล้ม ฝีเท้าโซซัดโซเซ หรือไม่ก็ชนถังขยะล้มลงไปหลายใบ กลิ่นเหม็นเน่าสาบสางโชยออกมาแทรกอณูอากาศ แมลงบางชนิดวิ่งพล่านไปตามแขนขาอย่างน่าขนลุก หลายตัวส่งเสียงหึ่งๆอยู่ข้างหู ถังขยะพวกนี้มันมีสำหรับทิ้งอะไรกันนะ ถึงได้เหม็นบรรลัยวายวอดสุดทน สิ่งที่กระจัดกระจายอยู่ตามพื้นเมื่อมือควานคว้าไปถูกมันมีลักษณะเหมือนเศษหนังตากแห้งสาปสาง บางชิ้นก็หยุ่นเหนียวเย็นชืดน่ากลัว จนชวนให้คิดไปว่าเป็นเศษชิ้นส่วนของซากศพตายซาก ความมืดทำให้มองไม่เห็นว่ามันคืออะไรกันแน่ บางอย่างไม่รู้เสียเลยจะดีกว่า
ในที่สุดก็มาถึงปากซอยถนนใหญ่จนได้ พ้นจากตรอกนรกเสียที ด้วยอาการเหนื่อยหอบแทบสิ้นสติ ถนนด้านหน้าเวิ้งว้างว่างเปล่า…. ว่างเปล่าจนใจหาย ตาฝาด... ประสาทหลอน ...เราจินตนาการไปเอง…พยายามคิดปลอบใจตัวเองจนสุดความสามารถ เพราะดูเหมือนจะเป็นทางออกดีที่สุดของคำตอบอันควรจะเป็นไปได้ แม้ว่าความรู้สึกลึกๆบอกว่าเป็นไปไม่ได้ ไม่มีใครจะประสาทหลอนชัดเจนเป็นจริงเป็นจังขนาดนี้แน่นอน แต่มันต้องเป็นเราที่วิปริตเพี้ยนไปเอง..ผมภาวนาให้ตัวเองวิปริตผิดเพี้ยนไปจริงๆ เพื่อจะได้ปลอบใจตัวเอง ว่าสิ่งพบเห็นเมื่อครู่ไม่ใช่เรื่องจริง เพราะเรื่องจริงน่ากลัวแบบอย่างที่เผชิญมา มันยากยิ่งในการจะทำใจรับได้
ถนนใหญ่เงียบกริบ ด้านซ้ายขวาไม่มีรถผ่านมาสักคัน แสงไฟตามเสาไฟฟ้าเหลืองซีดและหม่นมัว ส่วนแสงไฟตามตึกรามบ้านช่องข้างทางดับไปเกือบหมด เบื้องบนเห็นดวงจันทร์กำลังพยายามสลัดตัวเองออกจากม่านเมฆมืดดำเคลื่อนผ่านกราดเกรี้ยว ก้อนเมฆบางก้อนปั้นหน้าทะมึนปานผีนรกสิงสู่
ตอนนั้นเองเป็นอีกครั้งทำให้ผมรู้ว่าความหวาดกลัวแท้จริงคืออะไร ความหวาดกลัวมันประกอบขึ้นมาจากสภาพจิตใจอันอ่อนแอราวไฟกำลังสิ้นเชื้อ ความเงียบ ความโดดเดี่ยวอ้างว้าง ความไม่เข้าใจ ความสับสนและสิ้นหวังผสมผสานเป็นองค์ประกอบลงตัวสำหรับอาการสติแตกจากความกลัวเจียนคลั่ง สายลมยามราตรีเย็นยะเยือก พัดมาจากตรอกซอกซอยอันลี้ลับมืดดำ พัดไปตามถนนอันเปล่าเปลี่ยวอ้างว้าง พัดผ่านมุมตึกและป้ายโฆษณาต่างๆดังหวีดหวิวเหมือนเสียงปีศาจคร่ำครวญหวนไห้ ป้ายโฆษณาบางอันแกว่งไปมาตามลมกระโชกดัง ปึงปังกระทบความรู้สึก ผ้าใบประดับหน้าร้านบางผืนหลุดร่วงลงมาห้อยหลุดลุ่ย หมายถึงการสะบัดพัดพลิ้วราวผ้าพันคอใครบางคนที่มองไม่เห็น
ไม่…ผมจะไม่พยายามคิดอะไรน่ากลัวเด็ดขาด..เรื่องที่ผ่านมาก็แค่อาการประสาทเสียควบคุมไม่อยู่..ผมจะต้องไม่สติแหลกแตกดับ ยังมีบ้านแสนอบอุ่นรอคอยอยู่ พอนึกถึงคนรักแรงใจผมก็เริ่มกลับมาอีกครั้งจากอาการริบหรี่จวนดับ ผมเริ่มต้นเดินย่ำไปบนผิวถนนอันเต็มไปด้วยฝุ่นละอองและเศษขยะ เดินไปอย่างไร้จุดหมายสุดแต่เท้าจะพาไป ให้ตายเถิด ...ทำไมเมืองมันสกปรกรกร้างเหลือเกิน
บานหน้าต่างกระชากตัวเองกระแทกขอบหน้าต่างดังกึง... ดังพอที่จะทำให้สะดุ้งเฮือกมองไปรอบตัวด้วยหัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ มนุษย์หน้าไหนฟะ.. มาปิดหน้าต่างยามวิกาล แต่ภาพเบื้องหน้ามีเพียงความดำมืดและความเงียบปราศจากร่องรอยความมีชีวิต อาคารบ้านเรือนเป็นเงาดำมืดปราศจากแสงสว่าง เออ..มันอาจเป็นแรงลมกระชากหน้าต่างสักบานก็ได้ แต่ลมก็ไม่เห็นพัดแรงเท่าไร ช่างหัวมันเถอะ... คิดมากเดี๋ยวประสาทเสีย กลิ่นอะไรบางอย่างลอยมาตามสายลม กลิ่นคุ้นๆ เหมือนกลิ่นธูปลอยมาจากหน้าโลงศพ ฉุนเหมือนผสมมากับน้ำยาดับกลิ่นและซากศพ ทำให้นึกถึงเรื่องเล่าของคนสมัยเก่ามีชีวิตอยู่ในความไร้ความเจริญทางวัตถุ เล่าถึงประเพณีแห่ศพไปยังป่าช้า ที่มักจะอยู่นอกหมูบ้าน บางครั้งสภาพศพยังไม่พร้อม แขนขาถูกหักและดัดจนผิดรูปให้เข้ากับโลงศพมาตรฐานสากล
คิดอะไรบ้าๆ ผมกระชากความคิดตัวเองกลับมาอย่างรุนแรงและเฉียบพลัน ไม่..เราต้องไม่คิดเรื่องชวนขนลุก
.
หลอนวิปลาส.........4
https://ppantip.com/topic/36553008
บทที่ 2
https://ppantip.com/topic/36559240
บทที่ 3
https://ppantip.com/topic/36573449
.....
.
เจอแบบนี้คุณหมอคงไม่คิดว่าผมเมาหรอกนะ มันชัดเจนเกินไป...ชัดเจนมากเกินกว่าจะเป็นอาการประสาทหลอนจากความเมา ชัดเจนเกินกว่าจะเป็นฝันร้าย!! ความหวาดกลัวชนิดเกินขีดจำกัดอาจทำให้คนดีๆ เป็นบ้าเป็นหลังไปก็ได้เหมือนกัน อย่างที่เราเคยเรียนมาว่าเป็นกลไกในการป้องกันตัวรูปแบบหนึ่ง ฟังดูน่ากลัวและชวนประสาทเสีย แน่นอนว่าคุณไม่ต้องห่วงผมอย่างหนึ่ง อย่างน้อยผมก็ยังไม่ตาย ถ้าตายคงไม่มีโอกาสมานั่งเขียนบันทึกให้คุณอ่าน คุณหมอเองก็อาจคิดว่าผมบ้าไปแล้ว แต่ลองอ่านต่อไปสักนิดครับ เรื่องมันใกล้จะจบแล้ว และผมก็กำลังจะไปหาคุณหมอ เมื่อจบการเขียนบันทึก ลองอ่านต่อไปอีกหน่อยนะครับ
“ไอ้บ้านี่คงบ้าได้ที่”
จิตแพทย์วัยกลางคนสั่นหน้าพลางหัวเราะให้กับบันทึกข้างหน้า เออ....พวกคนบ้าคิดอะไรเป็นตุเป็นตะ ... เขานึกถึงคนไข้เจ้าของบันทึกแต่นึกหน้าไม่ออกสักเท่าไร หนอย...บอกจะมาหาเรา มันจะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อล่าสุดเจ้าหมอนี่เปลี่ยนเป็นคนไข้ระดับอันตรายแบบไม่คาดฝัน ถูกพันธนาการด้วยเสื้อที่ใช้สำหรับคนบ้าสมบูรณ์แบบ กับการมัดตรึงกับเตียงแบบไร้ทางหนี เป็นวิธีการที่ใช้กับคนไข้อาการหนัก แล้วมาเขียนบันทึกได้อย่างไรกัน
คุณหมอละสายตามองออกไปทางหน้าต่างเพื่อพักสายตา เครื่องบินท้องแก่บินวนผ่านไปอีกครั้ง ท่าจะบ้า..มันจะบินวนหาพระแสงอะไรกัน เขาคิดในใจ เดี๋ยวก็คลอดกลางอากาศหรอก แต่พอคิดแบบนั้นเขาก็รู้สึกขำกับความคิดของตัวเอง เมื่อนึกภาพเครื่องบินกำลังคลอดกลางอากาศออกมาเป็นเครื่องบินลำเล็กๆ บินว่อนไปทั่วท้องฟ้าร้องอุแว้ออกจากเครื่องยนต์ดังระงม บาลำหิวน้ำมันคงบินลงมาวนเวียนแถวปั๊มน้ำมัน
เริ่มคิดเหมือนคนบ้าเข้าไปทุกที คุณหมอจิตแพทย์สะดุ้งเฮือกให้กับความคิดของตนเอง ไม่เป็นไรน่า..... นานๆ ครั้งคิดแบบคนบ้าดูก็เข้าท่าเหมือนกัน เหลือบมองนาฬิกา ยังอีกนานกว่าจะถึงเวลาอาหารเย็น คุณหมอจึงพลิกบันทึกอ่านต่อไป
ผมเริ่มเหนื่อยและอ่อนแรง ได้ยินแค่เสียงฝีเท้าตัวเองกระทบผิวถนนอันแข็งกระด้างและน่าจะเย็นชืด รอบตัวมีแค่ความมืด หลายครั้งร่างกายปะทะกับผนังจนล้มลุกคลุกคลาน มันคงไม่ตามมาแล้วล่ะ ในที่สุดยืนพิงผนังหอบหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย ทำไมตรอกซอกซอยนรกมันยาวเหลือเกิน เห็นแสงไฟสลัวเป็นจุดเล็กๆบริเวณทางออกอยู่ไกลออกไปประมาณสองสามร้อยเมตร แต่ก็กลัวว่าจะไปเจอกับรถบรรทุกศพสยองอีก พยายามนึกว่ามันต้องมีธุระไปทำเหมือนกัน คงไม่มีเวลามาไล่กวดชาวบ้านหรอก และถ้ามันจะคิดทำร้ายผมจริง ก็คงทำไปนานแล้ว
มันต้องการอะไรกันแน่ คิดอะไรไม่ออกเลย
ค่อยรู้สึกดีขึ้นหน่อย อย่างน้อยก็ไม่มีใบหน้าศพมาจ้องมองให้กลัวจนบ้าตาย ศพหลังรถคงฟื้นขึ้นมาไม่ได้ มันอาจเกิดจากเส้นเอ็นคลายตัวจากแรงสั่นสะเทือน ไม่เห็นจะต้องกลัวจนวิ่งเตลิดมาถึงนี่เลย
ในตรอกมีกลิ่นอับ และกลิ่นเหม็น เหมือนมีอะไรตายอยู่ใกล้ๆ ผมยืนนิ่งจนตาเริ่มปรับกับความมืดได้ และเห็นภาพสลัวราง บรรยากาศเงียบเหลือเกิน เงียบจนได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้น เออ..ไม่ว่ากัน เต้นเข้าไปเถอะ... ไม่ว่ากัน... อย่างน้อยคนที่หัวใจเต้นก็ยังไม่ตาย
บริเวณตึกด้านตรงข้ามกับจุดที่ผมยืนอยู่ก็มีแสงสว่างวับแวมขึ้นมา แสงมาจากหน้าต่างบานหนึ่งของชั้นสอง ยังมีคนไม่นอนอีกแฮะ ผมคิดในใจ... และพยายามทำตัวให้เงียบเข้าไว้ มีเสียงดังสะท้านไปทั้งวิญญาณ เสียงเหมือนกลองขนาดใหญ่ถูกกระหน่ำด้วยค้อนมหึมาท่ามกลางเสียงพายุ มันเสียงหัวใจของผมเอง หัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำผสานเสียงลมหายใจ รู้สึกใจวูบหวิว เหมือนจะเป็นลม เสียงดังเหมือนไม้กระแทกผนังตึก หน้าต่างห้องชั้นสองฝั่งตรงกันข้ามเปิดออก กรอบสี่เหลี่ยมถูกสร้างจากแสงจางซีดของตะเกียง หรือไม่ก็หลอดไฟไร้เรี่ยวแรง หญิงชราในกรอบหน้าต่างดูเก่าแก่และน่ากลัว ในมือแกคงถือตะเกียงหรือเทียนไขติดไฟสักเล่ม แสงจึงสาดมาจากด้านล่างขึ้นด้านบน แรเงาใบหน้าวูบวาบในโทนสยองขวัญ สมัยเด็กๆ ผมกับเพื่อนเคยหยอกล้อกัน โดยฉายไฟจากด้านล่างของใบหน้า มันจะดูน่ากลัว แต่ไม่เคยคิดว่าจะน่ากลัวอย่างที่ในเวลานี้ เห็นนัยน์ตาของคุณยายเหมือนกำลังจ้องมองไปเบื้องหน้า ร่างแข็งทื่อเหมือนศพตายซาก ชั้นสองของอาคารไม่ได้สูงอะไรมากมาย เพียงแต่แกก้มหน้าลงมามอง อาจจะสบตากับใครคนหนึ่งผู้กำลังตัวสั่นอย่างไม่อาจควบคุมได้
ไม่... ข้างล่างมันมืด คุณยายคงมองไม่เห็น ทำไมเราต้องไปกลัวคุณยายด้วยนะ บางทีแกอาจเปิดหน้าต่างออกมามองหาหมาแมวที่วิ่งเพ่นพ่าน หรือออกมารับลมเย็นเวลาดึก แต่ดูให้ดีไม่น่าจะใช่ คุณยายตัวแข็งทื่อผิดธรรมชาติเหลือเกิน สายตาเหมือนจับจ้องไปยังผนังตึกด้านตรงข้าม
ใช่.....ด้านตรงกันข้าม...มันก็อยู่เหนือหัวผมไม่กี่เมตรนี่เอง คุณยายมองอะไรอยู่นะ...
แหงนหน้าขึ้นไปมองอย่างไม่ตั้งใจอีกแล้วก็มองเห็นเธออย่างชัดเจนชนิดไม่น่าเป็นไปได้ อยู่สูงเหนือศีรษะห่างขึ้นไปไม่เท่าไร
เส้นผมสยายของเธอยาวเหลือเกิน ยาวเหยียดจนยื่นลงมาแทบแตะใบหน้าผม เธอกำลังชะโงกตัวพ้นหน้าต่างก้มชั้นที่สองลงมามองดูข้างล่าง ใบหน้าเลือนราง แต่ความรู้สึกบอกว่าเธอกำลังจ้องมองลงมาแบบตาไม่กะพริบ ตัวของเธอพ้นกรอบหน้าต่างออกมาดูนิ่งเหมือนหุ่น แต่มองเห็นปลายนิ้วมือกำลังโผล่ไต่ไปมาจากผนังด้านล่างของกรอบขอบหน้าต่าง เหมือนคนกำลังพร่างพรมนิ้วเล่นเปียโนไปมาไม่หยุดยั้งจากนั้นลำตัวของเธอค่อยยื่นยาวออกมาจากหน้าต่างแบบผิดธรรมชาติไม่น่าเป็นไปได้ ด้วยกิริยาผิดปกติจนสุดจะทนทานอาการแบบนี้ คนดีๆที่ไหนเขาทำกัน
อะไรก็ตามถ้ามันผิดปกติผิดธรรมชาติ มันคือความน่ากลัว
“มีคนตาย ...มีคนตาย...ตายทั้งเมือง” เสียงแหบแห้งกระชากความสนใจของผม ให้กลับไปมองคุณยายอีกครั้งราวถูกมนต์สะกดตอกตรึงไม่ให้ขยับเท้าวิ่งหนีไปไหนได้
ให้มันได้อย่างนี้สิทูนหัว คุณยายที่ตอนแรกยืนนิ่ง กำลังทำท่าทางมือไขว่คว้าตะกายขึ้นไปในอากาศ มืองอหงิกบิดไปมาผิดรูป ใบหน้าเคยสงบเงียบกลายเป็นกำลังแลบลิ้นปลิ้นตาอย่างน่าสยดสยอง ลิ้นยาวเหยียดตวัดแลบเลียเหมือนหิวกระหายเสียเต็มประดา ศีรษะสะบัดรุนแรงจนน่ากลัวคอหัก จนได้ยินเสียงกระดูกต้นคอลั่นชัดเจน
วินาทีนั้น ผมบอกกับตัวเองว่ากำลังถูกผีหลอก มันไม่ใช่อาการประสาทหลอนแล้ว
ผีหลอก.....ผีหลอก.....
“คนตาย คนตาย....ตายกันหมดทุกคน” เสียงแหบโหยสั่นประสาทดังซ้ำซากออกมาจากปากของคุณยายสยองขวัญ
แค่นี้ก็เกินพอจะทำให้ขวัญกระเจิดกระเจิง สิ่งที่จะต้องทำคือหนีออกจากตรอกผีสิงก่อนจะถูกอำนาจของความกลัวโถมทับจนสติแตกดับ สายตาพร่าเลือนมองเห็นทางออกอยู่ไกลลิบ แสงสว่างตามถนนปรากฏให้เห็นเป็นช่องราวประตูสวรรค์ วิ่ง.....จะต้องวิ่งหนีให้ไกลแสนไกล สองเท้าเริ่มขยับได้ราวกับถูกปลดปล่อยจากพันธนาการแห่งความค้างคา ผมพยายามไม่มองไม่คิดอะไรต่อไป รวบรวมกำลังวิ่งตรงไปยังถนนใหญ่สุดชีวิตโดยมีเสียงร้องไม่เป็นภาษาของตัวเองเป็นเพื่อน ร้องจนร้องไม่ออกเพราะเสียงขาดหายไปจากการเหนื่อยหอบสำลักเสียงในลำคอ พอหยุดร้องก็ได้ยินเสียงฝีเท้ากระทบพื้นดังก้องสะท้อนไปมาในตรอก เหมือนมีเสียงฝีเท้าผู้คนจำนวนมากวิ่งไล่หลังตามมาติดๆ กราวใหญ่ เสียงอุบาทว์นั่นไล่มาตั้งแต่พื้นผิวถนนชื้นแฉะ วนไปรอบตัว ไต่ขึ้นมาตามสองขาอันอ่อนล้า คืบคลานมาตามไขสันหลังอย่างเชื่องช้า ราวกับกับตัวหนอนมรณะอันเยือกเย็นน่าพรั่นพรึง
จะเรียกว่าเป็นการวิ่งแบบล้มลุกคลุกคลานก็ได้ เพราะความมืดทำให้ลื่นล้ม ฝีเท้าโซซัดโซเซ หรือไม่ก็ชนถังขยะล้มลงไปหลายใบ กลิ่นเหม็นเน่าสาบสางโชยออกมาแทรกอณูอากาศ แมลงบางชนิดวิ่งพล่านไปตามแขนขาอย่างน่าขนลุก หลายตัวส่งเสียงหึ่งๆอยู่ข้างหู ถังขยะพวกนี้มันมีสำหรับทิ้งอะไรกันนะ ถึงได้เหม็นบรรลัยวายวอดสุดทน สิ่งที่กระจัดกระจายอยู่ตามพื้นเมื่อมือควานคว้าไปถูกมันมีลักษณะเหมือนเศษหนังตากแห้งสาปสาง บางชิ้นก็หยุ่นเหนียวเย็นชืดน่ากลัว จนชวนให้คิดไปว่าเป็นเศษชิ้นส่วนของซากศพตายซาก ความมืดทำให้มองไม่เห็นว่ามันคืออะไรกันแน่ บางอย่างไม่รู้เสียเลยจะดีกว่า
ในที่สุดก็มาถึงปากซอยถนนใหญ่จนได้ พ้นจากตรอกนรกเสียที ด้วยอาการเหนื่อยหอบแทบสิ้นสติ ถนนด้านหน้าเวิ้งว้างว่างเปล่า…. ว่างเปล่าจนใจหาย ตาฝาด... ประสาทหลอน ...เราจินตนาการไปเอง…พยายามคิดปลอบใจตัวเองจนสุดความสามารถ เพราะดูเหมือนจะเป็นทางออกดีที่สุดของคำตอบอันควรจะเป็นไปได้ แม้ว่าความรู้สึกลึกๆบอกว่าเป็นไปไม่ได้ ไม่มีใครจะประสาทหลอนชัดเจนเป็นจริงเป็นจังขนาดนี้แน่นอน แต่มันต้องเป็นเราที่วิปริตเพี้ยนไปเอง..ผมภาวนาให้ตัวเองวิปริตผิดเพี้ยนไปจริงๆ เพื่อจะได้ปลอบใจตัวเอง ว่าสิ่งพบเห็นเมื่อครู่ไม่ใช่เรื่องจริง เพราะเรื่องจริงน่ากลัวแบบอย่างที่เผชิญมา มันยากยิ่งในการจะทำใจรับได้
ถนนใหญ่เงียบกริบ ด้านซ้ายขวาไม่มีรถผ่านมาสักคัน แสงไฟตามเสาไฟฟ้าเหลืองซีดและหม่นมัว ส่วนแสงไฟตามตึกรามบ้านช่องข้างทางดับไปเกือบหมด เบื้องบนเห็นดวงจันทร์กำลังพยายามสลัดตัวเองออกจากม่านเมฆมืดดำเคลื่อนผ่านกราดเกรี้ยว ก้อนเมฆบางก้อนปั้นหน้าทะมึนปานผีนรกสิงสู่
ตอนนั้นเองเป็นอีกครั้งทำให้ผมรู้ว่าความหวาดกลัวแท้จริงคืออะไร ความหวาดกลัวมันประกอบขึ้นมาจากสภาพจิตใจอันอ่อนแอราวไฟกำลังสิ้นเชื้อ ความเงียบ ความโดดเดี่ยวอ้างว้าง ความไม่เข้าใจ ความสับสนและสิ้นหวังผสมผสานเป็นองค์ประกอบลงตัวสำหรับอาการสติแตกจากความกลัวเจียนคลั่ง สายลมยามราตรีเย็นยะเยือก พัดมาจากตรอกซอกซอยอันลี้ลับมืดดำ พัดไปตามถนนอันเปล่าเปลี่ยวอ้างว้าง พัดผ่านมุมตึกและป้ายโฆษณาต่างๆดังหวีดหวิวเหมือนเสียงปีศาจคร่ำครวญหวนไห้ ป้ายโฆษณาบางอันแกว่งไปมาตามลมกระโชกดัง ปึงปังกระทบความรู้สึก ผ้าใบประดับหน้าร้านบางผืนหลุดร่วงลงมาห้อยหลุดลุ่ย หมายถึงการสะบัดพัดพลิ้วราวผ้าพันคอใครบางคนที่มองไม่เห็น
ไม่…ผมจะไม่พยายามคิดอะไรน่ากลัวเด็ดขาด..เรื่องที่ผ่านมาก็แค่อาการประสาทเสียควบคุมไม่อยู่..ผมจะต้องไม่สติแหลกแตกดับ ยังมีบ้านแสนอบอุ่นรอคอยอยู่ พอนึกถึงคนรักแรงใจผมก็เริ่มกลับมาอีกครั้งจากอาการริบหรี่จวนดับ ผมเริ่มต้นเดินย่ำไปบนผิวถนนอันเต็มไปด้วยฝุ่นละอองและเศษขยะ เดินไปอย่างไร้จุดหมายสุดแต่เท้าจะพาไป ให้ตายเถิด ...ทำไมเมืองมันสกปรกรกร้างเหลือเกิน
บานหน้าต่างกระชากตัวเองกระแทกขอบหน้าต่างดังกึง... ดังพอที่จะทำให้สะดุ้งเฮือกมองไปรอบตัวด้วยหัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ มนุษย์หน้าไหนฟะ.. มาปิดหน้าต่างยามวิกาล แต่ภาพเบื้องหน้ามีเพียงความดำมืดและความเงียบปราศจากร่องรอยความมีชีวิต อาคารบ้านเรือนเป็นเงาดำมืดปราศจากแสงสว่าง เออ..มันอาจเป็นแรงลมกระชากหน้าต่างสักบานก็ได้ แต่ลมก็ไม่เห็นพัดแรงเท่าไร ช่างหัวมันเถอะ... คิดมากเดี๋ยวประสาทเสีย กลิ่นอะไรบางอย่างลอยมาตามสายลม กลิ่นคุ้นๆ เหมือนกลิ่นธูปลอยมาจากหน้าโลงศพ ฉุนเหมือนผสมมากับน้ำยาดับกลิ่นและซากศพ ทำให้นึกถึงเรื่องเล่าของคนสมัยเก่ามีชีวิตอยู่ในความไร้ความเจริญทางวัตถุ เล่าถึงประเพณีแห่ศพไปยังป่าช้า ที่มักจะอยู่นอกหมูบ้าน บางครั้งสภาพศพยังไม่พร้อม แขนขาถูกหักและดัดจนผิดรูปให้เข้ากับโลงศพมาตรฐานสากล
คิดอะไรบ้าๆ ผมกระชากความคิดตัวเองกลับมาอย่างรุนแรงและเฉียบพลัน ไม่..เราต้องไม่คิดเรื่องชวนขนลุก
.