หลอนวิปลาส.........3

กระทู้สนทนา
.

บทที่ 1
https://ppantip.com/topic/36553008


บทที่ 2
https://ppantip.com/topic/36559240

ความเดิม
เขาอุ้มมาอย่างไม่ค่อยระมัดระวัง ศีรษะเธอกระแทกกับกระจกรถอย่างไม่จงใจ ใบหน้าเหมือนสะบัดตามการชนไร้เจตนา และเหมือนกับว่าจะบังเอิญหันมามองจ้องหน้าผมพอดิบพอดี ผิวหน้าขาวซีดจนเกือบเขียวคล้ำหมุนผิดรูปอย่างถนัดชัดตา ปากอ้ากว้าง  เหมือนจะกรีดร้องแต่ไม่มีสรรพเสียงสำเนียงอะไร นัยน์ตากลอกกลับเห็นแต่ตาขาว ของเหลวสีขาวขุ่นไหลออกมาจากปากหลายหยด ก่อนริมฝีปากจะขยับเหมือนยังคงมีชีวิต มือห้อยลงตามแรงโน้มถ่วงเหมือนจะขยับแกว่งไกวไหวไปมาตามจังหวะการย่างก้าวของคนอุ้ม



.


             มันฝันร้ายนรกอะไรกัน  เธอเป็นศพ...

             ดูเหมือนคนอุ้มจะไม่เดือดร้อนอะไร  แน่ล่ะ ทำไมต้องสนใจคนตายไปแล้ว จะกระทบกระแทกอะไรก็ไม่มีความหมายเพราะคนตายไม่รู้สึกรู้สม  เขาอุ้มซากศพไปด้านหลังรถด้วยท่าทางธรรมดาเหลือเกินราวกับกำลังอุ้มตุ๊กตาไร้ชีวิตจิตใจ  มีเสียงประตูรถเปิดออกและเสียงของหนักๆ ถูกโยนเข้ามาในรถด้านหลัง ก่อนคนขับจะเดินโยกตัวมาประจำตำแหน่งพลขับ เสียงพึมพำเหมือนเสียงสวดดังมาจากกลุ่มชนรายรอบ พอกวาดตามองเห็นทุกคนยังยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหวอย่างน่าประหลาด แสงไฟจากเทียนไขและตะเกียงโบราณสาดจับซีกใบหน้าเหลืองซีดราวซากศพวูบวาบไปมาบนร่างกายแข็งทื่อ

             “งานผมล่ะ”   เขาเอ่ยด้วยเสียงเริงรื่นจนไม่น่าเชื่อ ไม่มีวี่แววความวิตกทุกข์ร้อนใดๆ ขณะประจำหน้าที่คนขับ

             “งานเก็บศพเร่งด่วน มีหลายคนไม่อยากเก็บศพไว้ในบ้านแม้แต่วินาทีเดียว นี่ล่ะนะคนเรา... ตอนไม่ตายไม่ค่อยกลัวไม่ค่อยเกรง แต่พอตายไปแล้วค่อยกลัวกัน”

             “คุณขับแท็กซี่แบบไหนกัน”  

             ผมถามเสียงพร่าและสะท้านตามความรู้สึกจนแทบจำเสียงตนเองไม่ได้ รู้สึกผิดมากเหลือเกินในการตัดสินใจขึ้นรถนรกคันนี้ ไม่น่าเลย แต่จะให้ผมผละลงรถในซอยเล็กอันน่ากลัวตัวคนเดียวยิ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าจะเดินทางไปทิศทางใด

             “ขับแท็กซี่…”   เขาทวนคำก่อนหัวเราะจนเห็นฟันทั้งปาก สีหน้าท่าทางดูขบขันเหลือเกิน แต่ถ้าจะพูดอย่างไม่เกรงใจ คงต้องบอกว่ากลิ่นน้ำยาดองศพ ติดตัวเขาอยู่อย่างรับรู้ได้จากจมูกของคนหรือหมาก็ตาม

             “ผมเคยบอกคุณยังงั้นเหรอ....ผมเคยบอกคุณไหมว่าผมขับแท็กซี่ ...รถคันนี้เป็นรถบรรทุกศพ คุณไม่สังเกตเหรอ...ใช่.... ผมลืมบอกคุณไป”

             “รถบรรทุกศพ!”

              ผมร้องเสียงลั่น รู้สึกเหมือนถูกจับโยนลงในห้วงหุบเหวดิ่งดำล้ำลึกอันเยือกเย็นขวัญสะท้าน

             “ครับ”    เขาตอบรับสั้นๆ ด้วยรอยยิ้มเช่นเคย     “อยู่หลังรถก็ศพทั้งนั้นล่ะครับ”

             ผมขนลุกเกรียวทันที นรกหรืออะไรก็แล้วแต่ รถคันนี้เป็นรถบรรทุกศพ!  ทำไมผมไม่สังเกตเห็นตั้งแต่แรกนะ เพิ่งรู้สึกว่ามันเป็นรถกระบะธรรมดา ไม่ใช่รถแท็กซี่ อะไรทำให้ละเลยมันไป มันคืนนรกอะไรกัน เพียงแค่ต้องการกลับบ้านเท่านั้น ทำไมมาเจอเรื่องราวอันน่าสยดสยองจิตแตกขนาดหนัก

             “อยู่ข้างหลัง คนตายทั้งนั้นครับ”  

             เขาหันหน้าไปมองข้างหลัง น้ำเสียงก็สุภาพเรียบร้อยเหลือเกิน ยักไหล่ทำท่าเหมือนต้องการหาหลักฐานพยานมารับรองคำพูด ผมหันไปมองอย่างไม่ตั้งใจ เห็นเพียงเงาตะคุ่มไหวไปมาอยู่หลังรถ เขาเข้าเกียร์พารถคืบคลานต่อไปอย่างไม่รีบร้อน ในอากาศมีกลิ่นน้ำมันเผาไหม้ไม่สมบูรณ์จางๆ ทำให้บรรยากาศดูประหลาดพิกลมากขึ้น แต่นั่นก็พอจะกระชากขวัญและวิญญาณกระเจิดกระเจิง ศพเดียวยังพอว่า..แต่นี่อะไร....เป็นรถบรรทุกศพจริงๆ  ด้านหน้าด้านหลังมีกระจกกั้นอยู่ ศพคนตายคงอยู่ด้านหลัง อาจนอนอยู่บนเบาะหรือกองบนพื้นอย่างไม่รู้สึกรู้สมว่าเขาจะเอาร่างกายไปจัดการอะไร แขนขาจะพับจะห้อยผิดรูปก็ไม่เห็นเป็นไร

            ผมไม่กล้าแม้จะหันไปมองแต่สุดท้ายก็อดใจไม่ได้

             พอมองกระจกหลัง เห็นเงาวูบวาบ ผมรู้สึกเหมือนว่ามีไฟฟ้าแรงแรงสูงวิ่งผ่านไปทั่วตัวจนประสาทลั่นครืนตัวชาดิกก่อนมีอะไรบางอย่างบังคับให้หันไปมองด้านหลัง   ใบหน้าศพทั้งหลายแนบกระจกพากันจับจ้องมองมาอย่างว่างเปล่า...มือซีดขาวตะกายแปะตามกระจก ใบหน้าคนตายผู้ควรจะนอนอย่างสงบเจียมเนื้อเจียมตัว  ไม่น่าจะมานั่งนอนเอาใบหน้าเหลืองจนเขียวเอียงแก้มแนบกระจกและมองมาเขม็ง

             มันหมายถึงว่าศพทุกศพกำลังเอาหน้าแนบกระจก มองมาเป็นจุดเดียวราวกับอยากรู้อยากเห็นเหลือเกิน!

             ผมได้ยินเสียงตัวเองร้องเสียงหลง จนกระทั่งยังรู้สึกประหลาดใจกับตัวเองไม่คิดว่าจะร้องอะไรออกมาได้ บางทีอาจจะเกิดจากรถตกหลุมหรือวิ่งผ่านไปบนพื้นผิวขรุขระ ใบหน้าของศพกำลังเอาหน้าแนบกระจกจึงดูเหมือนพยักหน้าหรือหัวสั่นหัวคลอนราวกับสนุกสนานเต็มประดา  ริมฝีปากนาบกับแผ่นกระจกขาวซีดบิดเบี้ยวผิดรูป และดูน่าเกลียดน่ากลัวเหมือนมองดูท้องตัวทากกำลังเกาะผิวกระจก และคืบคลานไต่ไปมาอย่างสยดสยอง

             ไม่มีอะไรหรอกน่า..”    คนขับยิ้มนรกพูดด้วยน้ำเสียงธรรมดาเหลือเกินจนแทบไม่น่าเชื่อ

             “ศพวางกองกันไม่เป็นระเบียบ มันก็แค่สั่นไปตามแรงกระแทกเวลารถวิ่ง บางทีคุณอาจจะยังไม่ชิน เดี๋ยวผมจะปิดไฟก็ได้ คุณจะไม่ต้องเห็นศพ”

             “ไม่ต้อง....”  

              ผมรีบห้ามด้วยเสียงสั่นพร่า ถ้าปิดไฟเพดานรถมันคงดูน่ากลัวหนักขึ้นไปอีก สิ่งที่พยายามทำใจคือเชื่อ หรืออย่างน้อยก็พยายามเชื่อในสิ่งที่เขาบอก มันก็แค่ศพสั่นไหวไปตามการสั่นสะเทือนของรถตอนวิ่ง แต่ผมจ้างสักพันก็ไม่หันไปมองอีก

             คุณจะคิดว่าผมฟั่นเฟือนไปหรือเปล่า ถ้าจะบอกว่าต่อให้ไม่หันไปมอง หูยังได้ยินเสียงเหมือนบรรดาศพกำลังพากันตะกายกระจกไปมา เสียงเล็บขูดผิวกระจกแกรกกรากฟังเสียดประสาท แต่พระเจ้าหรือผีห่าซาตานช่วยก็ตามเถอะ .. ผมไม่กล้าหันไปมองอีกแล้ว มีเสียงลมหายใจกระทบกระจกและบางครั้งเป็นเสียงถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย เสียงกระซิบแหบโหย ลมหายใจแห่งความตายของร่างสยองหลังรถราวผ่านกระจกมากระทบต้นคอจนขนลุกไปทั้งตัว

             สิ่งที่ต้องทำในคือพยายามรวบรวมสติสัมปชัญญะกำลังเจียนขาดให้อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่มีใครคิดหรือประเมินความน่ากลัวแทบทำให้ฟั่นเฟือนได้ถ้าไม่อยู่สถานการณ์จริง บางทีคุณอาจนั่งอ่านบันทึกสยองอยู่ในห้องนอนอันอบอุ่น มีไฟเปิดสว่างเจิดจ้า บางทีอาจมีเพื่อนนั่งอยู่ด้วย คุณไม่ได้อยู่ในบรรยากาศเจียนคลั่งแทบบ้าแบบผม จึงไม่สัมผัสถึงความน่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง

             ให้ตายเถอะ..ผมรู้ว่ามันเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่เพราะประสาทหลอนเพราะความเมาเลยสักนิด  ต้องตั้งสติสู้กับเหตุการณ์นรกนี้ให้ได้ มันไม่ใช่ฝันร้าย ยังมีโอกาสสะดุ้งตื่น แม้ว่าจะหวังไว้อย่างนั้น แต่คุณก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้

             รถยังคงวิ่งไปอย่างแบบใจเย็นเหลือเกิน ชายหนุ่มหน้าเสี้ยมผอมซีดแต่ทะลึ่งมีรอยยิ้มนรกอุบาทว์ยังคงขับรถไปพลางมองข้างทางซ้ายขวาไปเรื่อย เหมือนมีความสุขเสียเต็มประดา ตรอกเล็กดูมืดจนน่ากลัว ไฟตามอาคารบ้านเรือนแทบไม่มีให้เห็น ก็ไม่น่าแปลก เพราะคงดึกมากแล้ว แสงไฟหน้ารถส่องให้เห็นถนนสกปรกและอ้างว้าง แต่ก็มีบางครั้งเห็นคนท่าทางเหมือนคนเมาโซเซผ่านมาบริเวณริมถนน ท่าทางอ่อนระโหยโรยแรงอย่างประหลาด

            เขาแวะจอดบ้านอีกสองหลัง ทุกหลังเหมือนกันคือหน้าบ้านจุดเทียนเรียงรายไหววูบวาบตามแรงลม ดูหม่นมัวหนักอึ้ง สมาชิกในบ้านพากันมายืนมานั่งแข็งทื่อเหมือนผีตายซากริมถนนหน้าบ้าน ใบหน้าว่างเปล่าไร้ความรู้สึก  วูบวาบไปตามการสั่นไหวของแสงไฟจากเทียนไข ศพคนตายวางริมทางเท้าเหมือนสิ่งของไร้ค่า  หรือความตายมันทำให้คนเราไร้ค่าขนาดนี้

             คนขับรถจอมยิ้มนรกยังคงกระทำการเช่นเดิม คือลงจากรถไป อุ้มศพขึ้นมาอย่างไม่เกรงใจหรือใส่ใจ ผมไม่เห็นด้วยกับการกระทำรุนแรง ใช่..พวกเขาพวกเธอเป็นคราบสังขารอันว่างเปล่าไร้ชีวิต แต่ก็ยังไม่อยากเห็นการกระทำย่ำยีอยู่ดี ศพสุดท้ายเป็นผู้หญิงอีกแล้ว มองเห็นตอนถูกอุ้มอ้อมผ่านด้านข้างไป

             เสียงดังทึบหนัก และรถสะเทือนยวบเล็กน้อยเมื่อเขาโยนศพลงกระบะท้ายรถ ให้ตายเถอะ..ทุกครั้งที่เขาทำแบบนั้น ผมได้ยินเสียงถอนลมหายใจเฮือกใหญ่ดังมาจากด้านหลัง ไม่ใช่เพียงหนึ่งหรือสอง แต่มากกว่านั้น..ไม่…มันก็แค่ลมคั่งค้างอยู่ในปอดของศพที่ถูกกระแทกจนพ่นอากาศออกมา ผมหันไปมองอย่างไม่ตั้งใจ ใบหน้าของศพแนบกระจกอยู่ด้านหลังพอดับพอดี  ห่างออกไปไม่ถึงคืบเป็นใบหน้าของศพหญิงสาวเมื่อครู่ หล่อนเพิ่งถูกโยนลงมาไม่น่าตะกายขึ้นมาเอาหน้าแนบกระจกได้  ใบหน้าอยู่ตรงกับด้านหลังของผมห่างออกไปเพียงนิดเดียว..

             พอดีในการจะหันไปสบตาโดยบังเอิญแบบนรกจัดให้

             ผมเคยสบตากับหญิงสาวมามากมายหลายคนจนนับไม่ถ้วน เคยสบตาหวานซึ้งกับสาวรุ่นน้องที่ทำงาน เคยประสานสายตาแข็งกร้าวกับสาวคู่อริหรือเจ้านาย  แต่ไม่เคยสบตากับคนตายจังๆ มาก่อน การจ้องมองนัยน์ตาแห่งความตายทำให้ความหวาดกลัวทะลักทลายแทบแตกปริ นัยน์ตาเบิกโพลงเหลือกค้างเห็นตาแต่ขาว แต่ทำไมถึงรู้สึกว่ากำลังจ้องมองมา และร้ายกว่านั้น เธอกะพริบตาไปมาเหมือนคนกำลังได้สติ จะเป็นเพราะกล้ามเนื้อกระตุกหรืออะไรก็ตามเถอะ แต่ดูน่ากลัวเหลือเกิน สามัญสำนึกบอกว่าเธอตายไปแล้ว  ใบหน้าที่มองเห็นในแสงไฟเพดานรถมันเป็นใบหน้าคนตาย แต่สิ่งที่เห็นคืออาการกะพริบตาแบบมีชีวิต มันเป็นความขัดแย้งแบบน่าขนลุก และร้ายกว่านั้นตามกระจกหลังเริ่มมีใบหน้าคนตายมาแปะเพิ่มขึ้นเรื่อยชวนให้สยดสยองยิ่งกว่าฝันร้าย ดวงตาเหลือกขึ้นด้านบนมองเห็นชัดเจนอย่างไม่น่าเชื่อ

             “ไม่ไหวแล้วเว้ย....”    ผมแหกปากร้องสุดเสียง กระชากประตูรถโครมครามเขย่าจนรถทั้งคันสะท้านสะเทือน และในที่สุดประตูรถก็เปิดออก พร้อมกับการออกวิ่งแบบสุดชีวิต หูเหมือนได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกฟังไม่ได้ศัพท์ และคล้ายมีคนวิ่งตามมาติดๆ ทำให้ผมร้องเพื่อเอาเสียงแห่งความกลัวกลบเสียงวิ่งไล่ตามอันน่าสะพรึงกลัว

             แสงไฟสาดผ่านกระทบผนัง ผมเห็นเงาตัวเองทอดยาวเหยียดไปตามถนน แสงไฟจากรถบรรทุกศพคันนั้น ไม่ต้องทายให้เสียเวลาก็รู้ว่ามันกำลังขับตามหลังมาแล้ว แม้จะไม่หันไปมอง ผมก็ทราบว่าหลังพวงมาลัยรถจะต้องเป็นคนขับใบหน้าซูบผอมประทับรอยยิ้มกว้างอุบาทว์

             เสียงคำรามของเครื่องรถไล่หลังใกล้เข้ามาและแสงไฟหน้ารถก็สว่างจ้ามากขึ้นทุกที  มันจะตามมาหาสวรรค์วิมานทำซากอะไรกัน แต่โชคยังเข้าข้างผมบ้าง มองเห็นตรอกเล็กแยกอยู่ด้านหน้า มันแคบเกินกว่าจะมีรถยนต์คันใดวิ่งผ่านไปได้ ไม่ต้องคิดให้เสียเวลา สองเท้าเปลี่ยนทิศทางกระโจนเข้าไปในตรอกเล็กทันที และวิ่งหน้าตั้งแบบไม่คิดชีวิต ไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมองด้านหลัง




จบบทครับ

บทนี้สั้นหน่อย  เพราะความคิดของผมสับสนหม่นมัวยุ่งเหยิง ราวอยู่ในหมอกควันหม่นมัวเลือนราง
ขอบคุณ ทุกท่านที่แวะมาเยือนเด้อ
ขอบคุณอิโมน่ารักกกก    จากคุณ  Lazy return , คุณอ้อม สมาชิกหมายเลข 868666 , คุณมัศยวีร์  , คุณ kdunagin ,  คุณ WANG JIE , คุณ  Na(นะ) ,  ตุณนัน turtle_cheesecake , คุณออมรัชต์สารินท์ , คุณลายลิขิต , ตุณ  พาราพัฒน์   คุณ Susisiri  คุณ  Lady Star 919  คุณเปลวอัคคีอัคคี   คุณ  KTHc
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่