.
บทที่ 1
https://ppantip.com/topic/36593368
ความมืดเริ่มปกคลุมหลังช่วงบ่ายอันค่อนข้างร้อนอบอ้าวผ่านไป ท้องฟ้าทางทิศตะวันตกมืดทะมืนคล้ายเมฆฝนกำลังตั้งเค้าก่อตัว มันเป็นความมืดดำน่ากลัวอย่างประหลาดค่อยเคลื่อนตัวเข้ามาอย่างช้าๆ แต่เต็มไปด้วยพลังมหาศาลน่าประหวั่นพรั่นพรึง คุณหมอหนุ่มนั่งพิงพนักเก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน สนใจกับบันทึกของคนไข้ตามโครงการแจกสมุดให้คนไข้ทางจิตระดับไม่เป็นอันตรายเขียนระบายความคิดความรู้สึก บางเล่มอ่านแล้วคงไม่มีคนธรรมดาคนไหนเข้าใจ แต่บางเล่มก็มีเนื้อหาข้อความแปลก ๆน่าสนใจเกินกว่าจะมองข้าม
ความจริงหน้าที่การอ่านบันทึกของคนไข้ ไม่ใช่งานประจำของคุณหมอเลย ถ้าไม่เป็นเพราะว่าคุณหมอคนหนึ่ง หายไปจากสถาบันวิเคราะห์ทางจิตอย่างน่าแปลกใจพร้อมกับคนไข้ของเขา ทุกคนรู้ว่าเป็นเรื่องผิดปกติแต่ไม่มีใครอยากพูดถึง เพราะปัญหาคือเรื่องนี้อาจส่งผลต่องบประมาณและเงินทุนในภายภาคหน้า
ทั้งหมอและคนไข้หายไปโดยไม่มีร่องรอย เรื่องแบบนี้ใครจะเชื่อถือสถาบันและให้การสนับสนุนต่อไป คุณหมอหนุ่มตัดความคิดสับสนออกจากหัวสมอง เขาเริ่มอ่านบันทึกของตนไข้ซึ่งเลือกมาถือไว้เล่มหนึ่ง เพื่อจะได้เขียนรายงาน ให้จบเรื่องไปโดยเร็วที่สุด
ผมพยายามบอกใครต่อใครแล้ว แต่ไม่มีใครเชื่อ ผมก็ไม่แปลกใจหรอกว่าทำไมไม่มีใครเชื่อ แม้แต่คุณหมอก็เถอะ มันไม่เกิดกับทุกคน แต่เลือกเกิดกับใครบางคนที่มันหมายตาเอาไว้ ไม่ใช่ว่ามันไม่ต้องการทั้งหมด แต่มันฉลาดและใจเย็นพอ สนุกกับการค่อยตะครุบพวกเราทีละน้อย ไม่ให้พวกที่เหลือไหวตัวป้องกันทัน มันเลือกผมคงเพราะเห็นว่าครอบครัวของผมกำลังลำบาก ตกงานตามสภาวะเศรษฐกิจหลายเดือนจนทำให้รู้สึกว่าโลกช่างเต็มไปด้วยความโหดร้าย ในขณะครอบครัวต้องอยู่ต้องใช้ต้องกิน สุดท้ายผมต้องกลั้นใจรวบรวมเงินที่ยังเหลือพาลูกเมียออกจากบ้านไปหาสถานที่พักผ่อนคลายเครียด
มันเริ่มต้นในช่วงพักร้อนช่วงผ่านมา กับบ้านพักริมทะเล
ช่วงเย็นพวกเรา - พ่อแม่ ลูกสาว ลูกชายวัยน่ารัก พักอยู่ในบ้านพักตากอากาศริมทะเล กลางวันอาบน้ำ รับประทานอาหาร บางครั้งสังสรรค์พร้อมกับเพื่อนละแวกใกล้เคียง เวลากลางคืนนอนฟังเสียงคลื่นซัดฝั่งกับสายลมเย็น ไม่มีใครคิดว่าเราจะเจอสิ่งเลวร้ายที่สุดในชีวิต ผมรู้ว่าโลกของเรายังมีหลายอย่างที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ และถ้าเล่าถึงเรื่องที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ใครล่ะจะไปเชื่อง่ายๆ เรื่องบางอย่างเกิดขึ้นได้เพียงครั้งเดียว กว่าจะรู้ก็ทำอะไรไม่ได้ คุณคิดว่าโลกของเราจะแตกให้เห็นได้กี่ครั้งกันล่ะ
“พ่อคะ” ลูกสาววัยห้าขวบชี้มือให้ดูขอบฟ้าทางตะวันตกในช่วงใกล้ค่ำด้านตรงข้ามกับทะเล ผมหันไปมองอย่างไม่ใส่ใจนักเพราะกำลังสนใจทิวทัศน์สวยงามริมชายหาดมากกว่า
“เมฆตรงโน้นค่ะ...น่ากลัวจัง”
ผมมองตามมือชี้ของลูกสาว ท้องฟ้าทางทิศตะวันตกมองเห็นทิวเขาไกลเริ่มมีเงามืดทะมืนคล้ายเมฆฝนกำลังตั้งเค้าก่อตัว แต่มันเป็นความมืดดำดูน่ากลัวอย่างประหลาด ในชีวิตไม่เคยเห็นเมฆอะไรรูปร่างลักษณะน่ากลัวอย่างนั้นมาก่อน มันดูเหมือนมีชีวิตและกำลังขยายใหญ่ขึ้นทุกที
“ก็แค่เมฆฝนธรรมดา...ไม่มีอะไรหรอกจ๊ะ”
ผมปลอบใจลูกสาว เธอกำลังน่ารัก อุ้มตุ๊กตาหมีแพนด้าตัวโปรดไม่ห่างกายไม่ว่าจะหลับหรือตื่น แต่เมื่อหันไปมองดูให้ดีอีกครั้งก็รู้สึกว่านอกจากความน่าพิศวงของก้อนเมฆประหลาดแล้ว ท้องฟ้าทางทิศตะวันตกดูยังดูน่ากลัวมากกว่าทุกวัน ผมไม่เคยเห็นเมฆหรือขอบฟ้าดำมืดแปลกพิกลอย่างนี้มาก่อนเลยในชีวิตเมฆอะไรจะดำมืดชวนขนลุก ไม่มีแสงสว่างวูบวาบอย่างเมฆฝนธรรมดา ไม่มีเสียงคำรามกระหึ่ม มีแต่ความเงียบชนิดน่าตกใจ เมื่อดูให้ดีก็เริ่มไม่แน่ใจว่ามันเป็นเมฆจริงหรือเปล่า มันกำลังลากความมืดเข้ามา ผมเริ่มรู้สึกถึงความน่ากลัวอันไร้สภาพแผ่ซ่านมารอบข้างเกาะกุมความรู้สึกจนทำให้หัวใจเต้นแรง เหงื่อซึมตามแผ่นหลังจนเปียกชุ่ม มองไม่เห็นเรือประมงลอยลำอยู่ในทะเลแม้แต่ลำเดียว ทั้งที่ปกติควรจะเริ่มมีแสงวับแวมจากบรรดาเรือต่างๆ
ความมืดคืบคลานเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทิวสนดงไม้ยอดเขากำลังถูกกลืนหายไปในความมืด แผ่นน้ำและแผ่นฟ้าเริ่มผสมผสานกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียว น่าแปลกอย่างหนึ่งคือพอหันมองขึ้นไปดูบนแนวชายหาด มองอย่างไรก็ไม่เห็นแสงไฟสว่างวับแวมเรียงรายจากอาคารบ้านเรือนตามริมฝั่งทะเลอย่างเคย ผมรู้สึกไม่ดี อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน บางอย่างรบกวนควารู้สึกจนขนลุกไปทั้งตัว
“คุณคะ ไฟฟ้าดับค่ะ” เสียงภรรยาของผมร้องเรียกมาจากทางหน้าต่างบ้านพักริมชายหาดห่างออกไปไม่ไกลนัก
“ดา หาเทียนไข หรือตะเกียง อะไรสักอย่าง จุดไฟให้สว่างเข้าไว้” ผมร้องบอกวรดาผู้เป็นภรรยา แล้วหันไปสังเกตดูขอบฟ้าทางทิศตะวันตกอย่างสนใจอีกครั้ง มีอะไรบางอย่างสะกดใจให้ความสำคัญกับเมฆดำและท้องฟ้าเป็นพิเศษ
“มีอะไรหรือเปล่าคะ” ภรรยาผมร้องถามมาอีกด้วยน้ำเสียงมีแววกังวล
“ไม่มีอะไรที่รัก รีบหาไฟฉายหรือเทียนไขเร็วเข้า มืดแล้ว” ประโยคหลังแทบเป็นการตะโกน ความมืดปกคลุมเข้ามาก่อให้เกิดความหวาดวิตกร้อนรนใจอย่างบอกไม่ถูกและไม่มีเหตุผล จนต้องเผ่นเข้าไปในบ้านจัดการรื้อหาเทียนไข ตะเกียง หรืออะไรก็ได้ที่สามารถให้แสงสว่าง
ขอบคุณพระเจ้า....! มีไฟฉายท่อนหนึ่ง เทียนไขหลายกล่อง ไม้ขีดอยู่ในลิ้นชักโต๊ะภายในห้องนอนสภาพพร้อมใช้งาน วรดามองอย่างประหลาดใจเมื่อเห็นผมจุดเทียนไขวางเรียงรายจนสว่างทั่วบ้าน ยังดีว่าไม่มีลมฝนพัดกระโชกแรงอย่างควรจะเป็น จึงไม่มีปัญหาเกี่ยวกับเทียนไขดับเพราะแรงลม แต่ภายหลังผมจึงได้คิดว่าถ้าจะมีลมฝนพายุพัดแรงอย่างควรเป็นไปตามธรรมชาติจะดีกว่าสภาพอันเงียบสงบผิดปกติจนน่ากลัว
“มีอะไรหรือคะ ดูคุณวิตกกังวลชอบกล”
เสียงของวรดาถามขึ้นมาอีก ผมจ้องใบหน้าของภรรยาและพบสีหน้าท่าทางไม่สบายใจอย่างเห็นได้ชัด ลางสังหรณ์น่ากลัวชนิดหนึ่งวิ่งเข้าเกาะกุมจิตใจจนขนลุกเกรียวอย่างไร้เหตุผล จะบอกออกมาได้อย่างไรว่าผมวิตกกังวลกับความมืด ฟังดูไม่เข้าท่าเอาเสียเลย
“คุณว่าวันนี้มีอะไรผิดปกติไหม” เสียงถามของผมแหบพร่าจนตัวเองตกใจ ความรู้สึกเครียดภายในประดังทะลักจนแทบควบคุมไม่อยู่และผมก็สังเกตเห็นความวิตกกังวลปรากฏอยู่ในแววตาเธอเช่นกัน
“มันมืดและเงียบแปลก ๆ ...”
เธอตอบเสียงแผ่วพลางหันไปมองทางหน้าต่าง นอกบ้านมืดสนิทและเงียบเชียบ ลูกสองคนนอนหลับในห้องที่จุดเทียนสว่างโร่และคิดว่าจะจุดเทียนให้สว่างทั้งคืน ความมืดดำกลืนกินบ้านพักของเพื่อนบ้านที่อยู่ห่างออกไปแถวนั้นจนสิ้น ผมมองไม่เห็นแสงไฟหรืออะไรสักอย่างจากบ้านใกล้เรือนเคียงหรือแม้แต่ไกลออกไป
เสียงสุนัขเห่าดังแว่วมา เสียงเจ้าฟาโรสุนัขตัวโปรดของครอบครัวเรา มันคงออกไปวิ่งเล่นตามประสาหมา เสียงของมันดังเหมือนว่าอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ผมผิวปากและส่งเสียงเรียกมันหลายครั้งด้วยเสียงที่ปกติแล้วไม่ว่าจะอยู่ไกลขนาดไหน ฟาโรจะวิ่งมาหาเสมอ แต่วันนี้มีเพียงเสียงของเจ้าฟาโรครางเบาๆ พอได้ยินเหมือนหวาดกลัวจนหัวหดแล้วเงียบไป
ใบหน้าใต้แสงเทียนของวรดาซีดขาวก่อนเอ่ยปากตั้งข้อสังเกตอย่างวิตกกังวล
“ถ้าคุณเรียกมันแบบนี้ปกติมันต้องวิ่งมาหาแล้วนี่คะ”
ผมพยักหน้ารับรู้ พยายามยิ้มให้ดูเหมือนเป็นเรื่องปกติ ทั้งที่เริ่มรู้ว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล
“หรือมันจะบาดเจ็บ” เธอคว้าไฟฉายทำท่าจะลงไปจากบ้าน ผมรีบดึงแขนเธอไว้ “อย่า....คุณก็รู้ว่าเสียงร้องอย่างนั้นมันไม่ได้บาดเจ็บ แต่มันกลัวต่างหาก”
“กลัวอะไรคะ”
“ผมก็อยากรู้เหมือนกัน”
“ฟาโรมันอาจอยู่แถวนี้” นิสัยของเธอเป็นคนอย่างนี้เอง ใจอ่อนและจอมสงสาร ดื้ออีกต่างหาก ถ้าไม่จัดการอะไรสักอย่างเธอไม่มีวันเลิกราแน่ ผมจ้องมองดูภรรยาคู่ชีวิตแล้วพยายามลืมเรื่องบางอย่างไป แต่คนเราควบคุมความคิดไม่ได้ เพราะไม่ว่าจะหาเรื่องคิดเบนความสนใจอย่างเรื่องอื่น ผมก็ถอนความคิดจากข่าวลือเกี่ยวกับวรดาและเพื่อนชายคนสนิทในที่ทำงานไม่ได้ มันอาจจะไม่จริงเพราะผมเองยังจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน ได้แต่ภาวนาว่าให้มันเป็นข่าวลือ
“เอาล่ะ… ผมจะไปดู” ว่าพลางผมก็คว้าไฟฉายออกมาจากมือเธอก่อนหันไปสั่งการ
“คุณไปอยู่กับลูก ระวังอย่าให้ไฟดับเด็ดขาด ผมจะออกไปตามหาเจ้าฟาโร”
สั่งเสร็จ ผมก้าวลงบันได เปิดไฟฉายสว่างจ้าเป็นลำยาว รอบด้านมืดสนิทชนิดไม่เคยเห็นมาก่อน ท้องฟ้าไม่มีแสงดาวสักดวง ความมืดนรกกัดกินแสงไฟฉายจนไม่สว่างเท่าที่ควร บรรยากาศหนักอึ้งราวกับว่ารอบตัวเต็มไปด้วยบางสิ่งบางอย่างมีตัวตนแต่มองไม่เห็น แต่สัมผัสได้ถึงพลังความชั่วร้ายเร้นลับอันคาดไม่ถึง
สิ่งปรากฏให้เห็นในแสงไฟมีเพียงพื้นทรายและรอยเท้าสุนัขตัวโปรด หลังจากเดินตามรอยเท้าไปครู่หนึ่งก็พบว่ารอยเท้าชองฟาโรหายไปเฉย ๆ และไม่มีร่องรอยเจ้าของรอยเท้าเลย ราวกับว่าฟาโรเดินมาแล้วหายลับกลับกลายเป็นอากาศธาตุไปแบบกะทันหัน มันเป็นสิ่งผิดปกติ สุนัขตัวนี้ฉลาดแต่ก็คงไม่เก่งพอจะหายตัวไปจนไร้ร่องรอย นอกจากว่ามีอะไรสักอย่างเกิดขึ้นกับมัน หรือเกิดบังเอิญว่ามันมีปีกงอกออกมาแล้วบินขึ้นท้องฟ้าได้เท่านั้นจึงจะหายไปได้ ผมคิดว่าจะเดินไปดูตามละแวกบ้านพักของเพื่อนบ้าน แต่เกิดจำเส้นทางไม่ได้เฉย เหมือนคนจู่ๆก็พบว่าตัวเองเกิดหลงทางในมหาสมุทรเวิ้งว้างกว้างไกลไร้เหตุผล มันเป็นเรื่องตลกร้ายทำให้หัวเราะไม่ออกเลยสักนิด
ผมหันมองไปทางบ้านพัก แต่เห็นเพียงความมืด ผมใจหายวาบ รู้ว่าตัวเองเดินออกมายังไม่ไกลเท่าไรอย่างน้อยแสงเทียนที่จุดเรียงรายทั่วบ้านควรจะปรากฏให้เห็นบ้าง รู้สึกหลังเย็นวาบ แสงไฟฉายเท่านั้นทำให้ผมรู้ว่ายังมีตัวตนแม้ว่าจะเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าตัวเองมีตัวตนหรือเปล่า เพราะสิ่งที่อยู่ในสายตาข้างหน้าคือแสงไฟฉายที่เริ่มสลัวมัวแสงลงทุกที และถ้าไฟดับลงจะเป็นอย่างไร ยังเห็นอะไรอีกหรือไม่ มีตัวตนหรือไม่ คำถามน่ากลัวอันไม่พึงประสงค์วิ่งพล่านในความคิด บางทีความมืดและความเงียบ บวกกับความโดดเดี่ยวเดียวดายเป็นศัตรูตัวสำคัญของมนุษย์ ต่อให้จิตใจเข้มแข็งปานใดก็ยากจะไม่หวั่นไหว
รอยเท้าของผม ใช่… ไม่น่าโง่เลย นึกได้แล้วอยากจะกระโดดเตะตัวเองสักสองสามที รอยเท้าเดินไปมาบนพื้นทรายต้องทิ้งร่องรอยเอาไว้ เพียงสังเกตและเดินตามรอยเท้าไปก็กลับไปได้ ไม่เห็นจะยากอะไร
ผมเดินกลับบ้านพักจนได้ในที่สุดโดยใช้รอยเท้าบนพื้นทรายนำทาง แต่ความรู้สึกแปลก ๆ ยังคงรบกวนจิตใจไม่จางหาย ไม่อยากจะเชื่อว่าแค่การกลับบ้านพักก็เป็นเรื่องลำบากขนาดนี้ ความมืดเหมือนรอคอยจับจ้องรอจังหวะอยู่ ผมเริ่มรู้สึกแล้วว่ามันมีชีวิต..! รีบก้าวขึ้นบันไดอย่างเร่งร้อน เทียนไขเล่มเล็ก ๆ บนระเบียงสั่นไหวทำท่าจะดับลงได้ทุกเมื่อ ทั้งที่ไม่มีแรงลม ความรู้สึกเหมือนมีบางอย่างจ้องมองมาจากความมืดภายนอก ความมืดราวกับขยับไหวไปมาอย่างเงียบเชียบและมุ่งร้าย หางตาคล้ายเห็นความมืดพยายามเคลื่อนตัวเข้ามาหาด้วยซ้ำไป ฟังดูเหมือนบ้าสิ้นดี ไม่ต้องสงสัยเลย พวกคุณต้องว่าผมบ้าแน่ ๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่จับผมยัดไว้ในห้องคุมขังคนป่วยทางจิตหรอก แต่ก็ยังดีว่ายอมให้ผมเปิดไฟตลอดคืน มาฟังเรื่องราวของผมกันต่อไปนะครับ
ผมเผ่นขึ้นบนบ้านที่มืดสนิท กราดแสงไฟฉายไปรอบกายแล้วใจหายวาบ วรดาและลูก ๆ หายไป ในห้องนอนไม่มีใครสักคน อาจเป็นเพราะเด็ก ๆ วิ่งเล่นกันโดยไม่ทันระวังตามประสาจนชนแท่งเทียนทำให้ไฟดับ แล้วทุกคนก็พากันหายไปจนหมด
.
ความมืด......2
บทที่ 1
https://ppantip.com/topic/36593368
ความมืดเริ่มปกคลุมหลังช่วงบ่ายอันค่อนข้างร้อนอบอ้าวผ่านไป ท้องฟ้าทางทิศตะวันตกมืดทะมืนคล้ายเมฆฝนกำลังตั้งเค้าก่อตัว มันเป็นความมืดดำน่ากลัวอย่างประหลาดค่อยเคลื่อนตัวเข้ามาอย่างช้าๆ แต่เต็มไปด้วยพลังมหาศาลน่าประหวั่นพรั่นพรึง คุณหมอหนุ่มนั่งพิงพนักเก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน สนใจกับบันทึกของคนไข้ตามโครงการแจกสมุดให้คนไข้ทางจิตระดับไม่เป็นอันตรายเขียนระบายความคิดความรู้สึก บางเล่มอ่านแล้วคงไม่มีคนธรรมดาคนไหนเข้าใจ แต่บางเล่มก็มีเนื้อหาข้อความแปลก ๆน่าสนใจเกินกว่าจะมองข้าม
ความจริงหน้าที่การอ่านบันทึกของคนไข้ ไม่ใช่งานประจำของคุณหมอเลย ถ้าไม่เป็นเพราะว่าคุณหมอคนหนึ่ง หายไปจากสถาบันวิเคราะห์ทางจิตอย่างน่าแปลกใจพร้อมกับคนไข้ของเขา ทุกคนรู้ว่าเป็นเรื่องผิดปกติแต่ไม่มีใครอยากพูดถึง เพราะปัญหาคือเรื่องนี้อาจส่งผลต่องบประมาณและเงินทุนในภายภาคหน้า
ทั้งหมอและคนไข้หายไปโดยไม่มีร่องรอย เรื่องแบบนี้ใครจะเชื่อถือสถาบันและให้การสนับสนุนต่อไป คุณหมอหนุ่มตัดความคิดสับสนออกจากหัวสมอง เขาเริ่มอ่านบันทึกของตนไข้ซึ่งเลือกมาถือไว้เล่มหนึ่ง เพื่อจะได้เขียนรายงาน ให้จบเรื่องไปโดยเร็วที่สุด
ผมพยายามบอกใครต่อใครแล้ว แต่ไม่มีใครเชื่อ ผมก็ไม่แปลกใจหรอกว่าทำไมไม่มีใครเชื่อ แม้แต่คุณหมอก็เถอะ มันไม่เกิดกับทุกคน แต่เลือกเกิดกับใครบางคนที่มันหมายตาเอาไว้ ไม่ใช่ว่ามันไม่ต้องการทั้งหมด แต่มันฉลาดและใจเย็นพอ สนุกกับการค่อยตะครุบพวกเราทีละน้อย ไม่ให้พวกที่เหลือไหวตัวป้องกันทัน มันเลือกผมคงเพราะเห็นว่าครอบครัวของผมกำลังลำบาก ตกงานตามสภาวะเศรษฐกิจหลายเดือนจนทำให้รู้สึกว่าโลกช่างเต็มไปด้วยความโหดร้าย ในขณะครอบครัวต้องอยู่ต้องใช้ต้องกิน สุดท้ายผมต้องกลั้นใจรวบรวมเงินที่ยังเหลือพาลูกเมียออกจากบ้านไปหาสถานที่พักผ่อนคลายเครียด
มันเริ่มต้นในช่วงพักร้อนช่วงผ่านมา กับบ้านพักริมทะเล
ช่วงเย็นพวกเรา - พ่อแม่ ลูกสาว ลูกชายวัยน่ารัก พักอยู่ในบ้านพักตากอากาศริมทะเล กลางวันอาบน้ำ รับประทานอาหาร บางครั้งสังสรรค์พร้อมกับเพื่อนละแวกใกล้เคียง เวลากลางคืนนอนฟังเสียงคลื่นซัดฝั่งกับสายลมเย็น ไม่มีใครคิดว่าเราจะเจอสิ่งเลวร้ายที่สุดในชีวิต ผมรู้ว่าโลกของเรายังมีหลายอย่างที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ และถ้าเล่าถึงเรื่องที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ใครล่ะจะไปเชื่อง่ายๆ เรื่องบางอย่างเกิดขึ้นได้เพียงครั้งเดียว กว่าจะรู้ก็ทำอะไรไม่ได้ คุณคิดว่าโลกของเราจะแตกให้เห็นได้กี่ครั้งกันล่ะ
“พ่อคะ” ลูกสาววัยห้าขวบชี้มือให้ดูขอบฟ้าทางตะวันตกในช่วงใกล้ค่ำด้านตรงข้ามกับทะเล ผมหันไปมองอย่างไม่ใส่ใจนักเพราะกำลังสนใจทิวทัศน์สวยงามริมชายหาดมากกว่า
“เมฆตรงโน้นค่ะ...น่ากลัวจัง”
ผมมองตามมือชี้ของลูกสาว ท้องฟ้าทางทิศตะวันตกมองเห็นทิวเขาไกลเริ่มมีเงามืดทะมืนคล้ายเมฆฝนกำลังตั้งเค้าก่อตัว แต่มันเป็นความมืดดำดูน่ากลัวอย่างประหลาด ในชีวิตไม่เคยเห็นเมฆอะไรรูปร่างลักษณะน่ากลัวอย่างนั้นมาก่อน มันดูเหมือนมีชีวิตและกำลังขยายใหญ่ขึ้นทุกที
“ก็แค่เมฆฝนธรรมดา...ไม่มีอะไรหรอกจ๊ะ”
ผมปลอบใจลูกสาว เธอกำลังน่ารัก อุ้มตุ๊กตาหมีแพนด้าตัวโปรดไม่ห่างกายไม่ว่าจะหลับหรือตื่น แต่เมื่อหันไปมองดูให้ดีอีกครั้งก็รู้สึกว่านอกจากความน่าพิศวงของก้อนเมฆประหลาดแล้ว ท้องฟ้าทางทิศตะวันตกดูยังดูน่ากลัวมากกว่าทุกวัน ผมไม่เคยเห็นเมฆหรือขอบฟ้าดำมืดแปลกพิกลอย่างนี้มาก่อนเลยในชีวิตเมฆอะไรจะดำมืดชวนขนลุก ไม่มีแสงสว่างวูบวาบอย่างเมฆฝนธรรมดา ไม่มีเสียงคำรามกระหึ่ม มีแต่ความเงียบชนิดน่าตกใจ เมื่อดูให้ดีก็เริ่มไม่แน่ใจว่ามันเป็นเมฆจริงหรือเปล่า มันกำลังลากความมืดเข้ามา ผมเริ่มรู้สึกถึงความน่ากลัวอันไร้สภาพแผ่ซ่านมารอบข้างเกาะกุมความรู้สึกจนทำให้หัวใจเต้นแรง เหงื่อซึมตามแผ่นหลังจนเปียกชุ่ม มองไม่เห็นเรือประมงลอยลำอยู่ในทะเลแม้แต่ลำเดียว ทั้งที่ปกติควรจะเริ่มมีแสงวับแวมจากบรรดาเรือต่างๆ
ความมืดคืบคลานเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทิวสนดงไม้ยอดเขากำลังถูกกลืนหายไปในความมืด แผ่นน้ำและแผ่นฟ้าเริ่มผสมผสานกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียว น่าแปลกอย่างหนึ่งคือพอหันมองขึ้นไปดูบนแนวชายหาด มองอย่างไรก็ไม่เห็นแสงไฟสว่างวับแวมเรียงรายจากอาคารบ้านเรือนตามริมฝั่งทะเลอย่างเคย ผมรู้สึกไม่ดี อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน บางอย่างรบกวนควารู้สึกจนขนลุกไปทั้งตัว
“คุณคะ ไฟฟ้าดับค่ะ” เสียงภรรยาของผมร้องเรียกมาจากทางหน้าต่างบ้านพักริมชายหาดห่างออกไปไม่ไกลนัก
“ดา หาเทียนไข หรือตะเกียง อะไรสักอย่าง จุดไฟให้สว่างเข้าไว้” ผมร้องบอกวรดาผู้เป็นภรรยา แล้วหันไปสังเกตดูขอบฟ้าทางทิศตะวันตกอย่างสนใจอีกครั้ง มีอะไรบางอย่างสะกดใจให้ความสำคัญกับเมฆดำและท้องฟ้าเป็นพิเศษ
“มีอะไรหรือเปล่าคะ” ภรรยาผมร้องถามมาอีกด้วยน้ำเสียงมีแววกังวล
“ไม่มีอะไรที่รัก รีบหาไฟฉายหรือเทียนไขเร็วเข้า มืดแล้ว” ประโยคหลังแทบเป็นการตะโกน ความมืดปกคลุมเข้ามาก่อให้เกิดความหวาดวิตกร้อนรนใจอย่างบอกไม่ถูกและไม่มีเหตุผล จนต้องเผ่นเข้าไปในบ้านจัดการรื้อหาเทียนไข ตะเกียง หรืออะไรก็ได้ที่สามารถให้แสงสว่าง
ขอบคุณพระเจ้า....! มีไฟฉายท่อนหนึ่ง เทียนไขหลายกล่อง ไม้ขีดอยู่ในลิ้นชักโต๊ะภายในห้องนอนสภาพพร้อมใช้งาน วรดามองอย่างประหลาดใจเมื่อเห็นผมจุดเทียนไขวางเรียงรายจนสว่างทั่วบ้าน ยังดีว่าไม่มีลมฝนพัดกระโชกแรงอย่างควรจะเป็น จึงไม่มีปัญหาเกี่ยวกับเทียนไขดับเพราะแรงลม แต่ภายหลังผมจึงได้คิดว่าถ้าจะมีลมฝนพายุพัดแรงอย่างควรเป็นไปตามธรรมชาติจะดีกว่าสภาพอันเงียบสงบผิดปกติจนน่ากลัว
“มีอะไรหรือคะ ดูคุณวิตกกังวลชอบกล”
เสียงของวรดาถามขึ้นมาอีก ผมจ้องใบหน้าของภรรยาและพบสีหน้าท่าทางไม่สบายใจอย่างเห็นได้ชัด ลางสังหรณ์น่ากลัวชนิดหนึ่งวิ่งเข้าเกาะกุมจิตใจจนขนลุกเกรียวอย่างไร้เหตุผล จะบอกออกมาได้อย่างไรว่าผมวิตกกังวลกับความมืด ฟังดูไม่เข้าท่าเอาเสียเลย
“คุณว่าวันนี้มีอะไรผิดปกติไหม” เสียงถามของผมแหบพร่าจนตัวเองตกใจ ความรู้สึกเครียดภายในประดังทะลักจนแทบควบคุมไม่อยู่และผมก็สังเกตเห็นความวิตกกังวลปรากฏอยู่ในแววตาเธอเช่นกัน
“มันมืดและเงียบแปลก ๆ ...”
เธอตอบเสียงแผ่วพลางหันไปมองทางหน้าต่าง นอกบ้านมืดสนิทและเงียบเชียบ ลูกสองคนนอนหลับในห้องที่จุดเทียนสว่างโร่และคิดว่าจะจุดเทียนให้สว่างทั้งคืน ความมืดดำกลืนกินบ้านพักของเพื่อนบ้านที่อยู่ห่างออกไปแถวนั้นจนสิ้น ผมมองไม่เห็นแสงไฟหรืออะไรสักอย่างจากบ้านใกล้เรือนเคียงหรือแม้แต่ไกลออกไป
เสียงสุนัขเห่าดังแว่วมา เสียงเจ้าฟาโรสุนัขตัวโปรดของครอบครัวเรา มันคงออกไปวิ่งเล่นตามประสาหมา เสียงของมันดังเหมือนว่าอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ผมผิวปากและส่งเสียงเรียกมันหลายครั้งด้วยเสียงที่ปกติแล้วไม่ว่าจะอยู่ไกลขนาดไหน ฟาโรจะวิ่งมาหาเสมอ แต่วันนี้มีเพียงเสียงของเจ้าฟาโรครางเบาๆ พอได้ยินเหมือนหวาดกลัวจนหัวหดแล้วเงียบไป
ใบหน้าใต้แสงเทียนของวรดาซีดขาวก่อนเอ่ยปากตั้งข้อสังเกตอย่างวิตกกังวล
“ถ้าคุณเรียกมันแบบนี้ปกติมันต้องวิ่งมาหาแล้วนี่คะ”
ผมพยักหน้ารับรู้ พยายามยิ้มให้ดูเหมือนเป็นเรื่องปกติ ทั้งที่เริ่มรู้ว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล
“หรือมันจะบาดเจ็บ” เธอคว้าไฟฉายทำท่าจะลงไปจากบ้าน ผมรีบดึงแขนเธอไว้ “อย่า....คุณก็รู้ว่าเสียงร้องอย่างนั้นมันไม่ได้บาดเจ็บ แต่มันกลัวต่างหาก”
“กลัวอะไรคะ”
“ผมก็อยากรู้เหมือนกัน”
“ฟาโรมันอาจอยู่แถวนี้” นิสัยของเธอเป็นคนอย่างนี้เอง ใจอ่อนและจอมสงสาร ดื้ออีกต่างหาก ถ้าไม่จัดการอะไรสักอย่างเธอไม่มีวันเลิกราแน่ ผมจ้องมองดูภรรยาคู่ชีวิตแล้วพยายามลืมเรื่องบางอย่างไป แต่คนเราควบคุมความคิดไม่ได้ เพราะไม่ว่าจะหาเรื่องคิดเบนความสนใจอย่างเรื่องอื่น ผมก็ถอนความคิดจากข่าวลือเกี่ยวกับวรดาและเพื่อนชายคนสนิทในที่ทำงานไม่ได้ มันอาจจะไม่จริงเพราะผมเองยังจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน ได้แต่ภาวนาว่าให้มันเป็นข่าวลือ
“เอาล่ะ… ผมจะไปดู” ว่าพลางผมก็คว้าไฟฉายออกมาจากมือเธอก่อนหันไปสั่งการ
“คุณไปอยู่กับลูก ระวังอย่าให้ไฟดับเด็ดขาด ผมจะออกไปตามหาเจ้าฟาโร”
สั่งเสร็จ ผมก้าวลงบันได เปิดไฟฉายสว่างจ้าเป็นลำยาว รอบด้านมืดสนิทชนิดไม่เคยเห็นมาก่อน ท้องฟ้าไม่มีแสงดาวสักดวง ความมืดนรกกัดกินแสงไฟฉายจนไม่สว่างเท่าที่ควร บรรยากาศหนักอึ้งราวกับว่ารอบตัวเต็มไปด้วยบางสิ่งบางอย่างมีตัวตนแต่มองไม่เห็น แต่สัมผัสได้ถึงพลังความชั่วร้ายเร้นลับอันคาดไม่ถึง
สิ่งปรากฏให้เห็นในแสงไฟมีเพียงพื้นทรายและรอยเท้าสุนัขตัวโปรด หลังจากเดินตามรอยเท้าไปครู่หนึ่งก็พบว่ารอยเท้าชองฟาโรหายไปเฉย ๆ และไม่มีร่องรอยเจ้าของรอยเท้าเลย ราวกับว่าฟาโรเดินมาแล้วหายลับกลับกลายเป็นอากาศธาตุไปแบบกะทันหัน มันเป็นสิ่งผิดปกติ สุนัขตัวนี้ฉลาดแต่ก็คงไม่เก่งพอจะหายตัวไปจนไร้ร่องรอย นอกจากว่ามีอะไรสักอย่างเกิดขึ้นกับมัน หรือเกิดบังเอิญว่ามันมีปีกงอกออกมาแล้วบินขึ้นท้องฟ้าได้เท่านั้นจึงจะหายไปได้ ผมคิดว่าจะเดินไปดูตามละแวกบ้านพักของเพื่อนบ้าน แต่เกิดจำเส้นทางไม่ได้เฉย เหมือนคนจู่ๆก็พบว่าตัวเองเกิดหลงทางในมหาสมุทรเวิ้งว้างกว้างไกลไร้เหตุผล มันเป็นเรื่องตลกร้ายทำให้หัวเราะไม่ออกเลยสักนิด
ผมหันมองไปทางบ้านพัก แต่เห็นเพียงความมืด ผมใจหายวาบ รู้ว่าตัวเองเดินออกมายังไม่ไกลเท่าไรอย่างน้อยแสงเทียนที่จุดเรียงรายทั่วบ้านควรจะปรากฏให้เห็นบ้าง รู้สึกหลังเย็นวาบ แสงไฟฉายเท่านั้นทำให้ผมรู้ว่ายังมีตัวตนแม้ว่าจะเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าตัวเองมีตัวตนหรือเปล่า เพราะสิ่งที่อยู่ในสายตาข้างหน้าคือแสงไฟฉายที่เริ่มสลัวมัวแสงลงทุกที และถ้าไฟดับลงจะเป็นอย่างไร ยังเห็นอะไรอีกหรือไม่ มีตัวตนหรือไม่ คำถามน่ากลัวอันไม่พึงประสงค์วิ่งพล่านในความคิด บางทีความมืดและความเงียบ บวกกับความโดดเดี่ยวเดียวดายเป็นศัตรูตัวสำคัญของมนุษย์ ต่อให้จิตใจเข้มแข็งปานใดก็ยากจะไม่หวั่นไหว
รอยเท้าของผม ใช่… ไม่น่าโง่เลย นึกได้แล้วอยากจะกระโดดเตะตัวเองสักสองสามที รอยเท้าเดินไปมาบนพื้นทรายต้องทิ้งร่องรอยเอาไว้ เพียงสังเกตและเดินตามรอยเท้าไปก็กลับไปได้ ไม่เห็นจะยากอะไร
ผมเดินกลับบ้านพักจนได้ในที่สุดโดยใช้รอยเท้าบนพื้นทรายนำทาง แต่ความรู้สึกแปลก ๆ ยังคงรบกวนจิตใจไม่จางหาย ไม่อยากจะเชื่อว่าแค่การกลับบ้านพักก็เป็นเรื่องลำบากขนาดนี้ ความมืดเหมือนรอคอยจับจ้องรอจังหวะอยู่ ผมเริ่มรู้สึกแล้วว่ามันมีชีวิต..! รีบก้าวขึ้นบันไดอย่างเร่งร้อน เทียนไขเล่มเล็ก ๆ บนระเบียงสั่นไหวทำท่าจะดับลงได้ทุกเมื่อ ทั้งที่ไม่มีแรงลม ความรู้สึกเหมือนมีบางอย่างจ้องมองมาจากความมืดภายนอก ความมืดราวกับขยับไหวไปมาอย่างเงียบเชียบและมุ่งร้าย หางตาคล้ายเห็นความมืดพยายามเคลื่อนตัวเข้ามาหาด้วยซ้ำไป ฟังดูเหมือนบ้าสิ้นดี ไม่ต้องสงสัยเลย พวกคุณต้องว่าผมบ้าแน่ ๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่จับผมยัดไว้ในห้องคุมขังคนป่วยทางจิตหรอก แต่ก็ยังดีว่ายอมให้ผมเปิดไฟตลอดคืน มาฟังเรื่องราวของผมกันต่อไปนะครับ
ผมเผ่นขึ้นบนบ้านที่มืดสนิท กราดแสงไฟฉายไปรอบกายแล้วใจหายวาบ วรดาและลูก ๆ หายไป ในห้องนอนไม่มีใครสักคน อาจเป็นเพราะเด็ก ๆ วิ่งเล่นกันโดยไม่ทันระวังตามประสาจนชนแท่งเทียนทำให้ไฟดับ แล้วทุกคนก็พากันหายไปจนหมด
.