เรื่องสั้น : คฤหาสน์แสงจันทร์ แห่งเกาะรัตติกาล ตอนที่ 2

.

ตอนที่ 1  https://ppantip.com/topic/36605828



ตอนที่ 2


เขาค่อยๆลดความเร็วลงเพื่อนำเรือเข้าจอดเทียบท่าเรือที่เกาะรัตติกาล
สะพานหินสีขาวยื่นออกสู่ทะเล โดยรอบสะพานมีเรือสปีดโบ๊ทห้าลำสภาพเก่ามีเชือกผูกมัดไว้กับเสาสะพาน ไกลออกไปราวสามเมตรฉันเห็นเรือสำราญลำใหญ่ทอดสมออยู่อย่างโดดเดี่ยว

“แน่ใจนะคะว่า ที่นี่คือเกาะรัตติกาล”

ฉันเอ่ยถาม ความรู้สึกหวาดกลัวแทรกผ่านเข้ามาในหัวใจ ยกมือขึ้นกอดอกเมื่อลมเย็นเยียบพัดผ่านแผ่วเบา มองไปทางข้างหน้าคือหาดทรายขาวถัดไปเป็นป่าสนและต้นมะพร้าวขึ้นสลับกันทอดยาวไกล ไม่ได้ยินเสียงนกร้องหรือสิ่งมีชีวิตใดๆ

“น่าจะใช่นะ” เขาชี้นิ้วไปที่ป้ายสีขาวตัวอักษรสีแดง ซึ่งแขวนอยู่เหนือศีรษะเยื้องสะพานหินไปเล็กน้อย ป้ายนั่นเขียนว่า ‘ยินดีต้อนรับสู่เกาะรัตติกาล’

“แล้วยังไงต่อดีคะ เราจะไปคฤหาสน์แสงจันทร์ยังไง ไม่มีใครให้ถามเลยสักคน แปลกนะคะคนที่นี่หายไปไหนกันหมด”

“ผมโทรมานัดกับทางนี้ไว้แล้ว เห็นบอกว่าจะส่งคนมารับเรา แต่เรามาสายนะ ผมนัดทางนี้สิบโมง แต่นี่สิบเอ็ดโมงกว่าแล้ว คนที่มารอรับเราคงไปหาอะไรกินมั้ง ใกล้เที่ยงแล้วนิ” คำพูดเขาช่วยให้ฉันรู้สึกใจชื่นขึ้นมาหน่อย

“แล้วคุณหิวหรือยังล่ะ” และเขาหันมาถามฉันต่อ

“ยังค่ะ ฟาดแซนวิชไปสี่ชิ้นกับนมอีกสองกล่องคงอีกนานกว่าท้องจะว่าง”

คำตอบของฉันทำให้เขาฉีกยิ้มเล็กน้อย เพียงเล็กน้อยเท่านั้นก่อนจะกลับมาทำหน้าเคร่งเครียดตามเดิม

“เราไปจากตรงนี้กันเถอะ ดูท่าฝนจะตกหนัก”

เราทั้งคู่เงยหน้ามองท้องฟ้า เมื่อก้อนเมฆดำทะมึนเคลื่อนตัวมาปกคลุมเกาะรัตติกาลทั่วทั้งเกาะ เวลาเกือบเที่ยงวันพลันมืดมิดทันตา

“แล้วคุณลุงล่ะคะ แกจะไม่เป็นอะไรแน่นะ” ฉันอดเป็นห่วงคนขับเรือไม่ได้ ถ้าฝนเกิดตกลงมาจริงๆ แกจะไม่นอนเปียกฝนหรอกหรือ และเขาดูเหมือนจะเข้าใจสิ่งที่ฉันคิด

“คุณไปรอที่ซุ้มนั่นก่อน เดี๋ยวผมจะอุ้มแกไปนอนบนแคร่ไม้ในซุ้ม”

ซุ้มที่เขาว่าคือซุ้มไม้เก่าดูเหมือนเป็นร้านค้าขายของริมหาด แต่ท่าทางจะร้างไปนานแล้ว เพราะมันดูสกปรกเศษขยะพัดมากองสุมเต็มซุ้ม ฉันมองสำรวจโดยรอบเห็นซุ้มอื่นๆอีกสี่ห้าหลังมีสภาพไม่ต่างกันมากนัก หรือที่นี่จะเป็นเกาะร้าง

ฉันสรุปรวดรัดในใจและพยายามปั้นหน้าให้ดูไม่ตื่นตระหนกจนเกินเหตุเมื่อเขานำร่างคนขับเรือมาวางบนแคร่

“ที่นี่เหมือนเกาะร้างเลยนะคะ” อดรดทนไม่ไหวจำต้องเอ่ยถามเขา

“ไม่หรอกคุณ เห็นชาวบ้านบอกว่ายังมีการซื้อขายและแลกเปลี่ยนสินค้ากับคนบนเกาะอยู่นะ ชาวบ้านยังแนะนำผมให้ติดต่อคนขับเรือคือคุณลุงคนนี้แหละ ทุกคนบอกว่าแกเชี่ยวชาญเส้นทางเกาะรัตติกาลมากกว่าใครเพราะแกนำสินค้ามาขายให้คนบนเกาะอยู่เป็นประจำ”

“สินค้าอะไรคะที่แกนำมาขาย”

“เอ.. อันนี้ผมก็ไม่รู้ ลืมถามซะงั้น ทำไมเหรอ คุณเกิดสนใจอะไรขึ้นมาล่ะ”

“ตอนที่คุณบอกให้ฉันหาผ้าห่ม ฉันเห็นอะไรบ้างอย่างในกล่องนั้นด้วยค่ะ”

“คุณเห็นอะไร”

ฉันรู้สึกหนาวเยือกไปจนถึงเส้นเลือดพลันเกิดความคิดแผลงๆขึ้นมาในหัว มั่นใจเหลือเกินว่า ขวดโหลพวกนั้นต้องบรรจุเลือดแน่ๆ แล้วจะขนเลือดมาที่เกาะรัตติกาลทำไม หรือว่าลุงคนขับเรือจะนำมาขายให้คนบนเกาะ ... คนบนเกาะที่เคยมีประวัติศาสตร์เล่าลือว่าคือผีดูดเลือด

ฉันรู้สึกว่ามือตัวเองกำลังสั่นระริกขณะเลื่อนมือไปเกาะกุมกระเป๋าสะพายข้างที่ซุกไม้กางเขนเอาไว้ ในอารมณ์หวาดหวั่นใจเช่นนี้ ฉันอดขำตัวเองไม่ได้ที่หลงเชื่อคำพูดเขาและพกของสิ่งนี้ติดตัวมาด้วย

“ฉันเห็น ละ..เลือด” ฉันพูดยังไม่ทันจบประโยค พลันมีเสียงอีกคนพูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน คำว่าเลือดราวถูกกลบและเลือนหายไปกับสายลม

“พวกคุณมาจากบริษัทกำจัดรักใช่ไหมครับ” กังวานเสียงฟังนุ่มนวลทว่ากลับดูเย็นชาไร้ชีวิตชีวา ซึ่งช่างเหมาะเจาะกับใบหน้าขาวซีดไร้เลือดฝาดของชายร่างสูงในชุดสูททักซิโด้สีดำ นัยน์ตาดำขลับ ขอบตาดำ ทว่าผิวขาวราวหยวกกล้วย

ฉันอดแปลกใจไม่ได้ อยู่บนเกาะแท้ๆแต่ผิวพรรณกลับขาวหมดจดราวคนไม่เคยเจอแดดมานานหลายปี

“ยังไม่ได้ทักทายพวกคุณเลย สวัสดีครับ ผมสุชาติ จะเป็นคนพาพวกคุณไปที่คฤหาสน์แสงจันทร์”

“ครับ สวัสดีครับ ผมนักกำจัดรักนัมเบอร์วัน และนี่ผู้ช่วยผมคุณหยาดฝน”

เขาเอ่ยทักทายและยื่นมือไปจับมืออีกฝ่ายที่ยื่นออกมารอไว้ก่อนแล้ว สุชาติปล่อยมือนักกำจัดรักนัมเบอร์วัน แล้วเลื่อนมาจับมือฉัน โดยใช้มือทั้งสองข้างกุมมือฉันด้วยความนอบน้อมสุภาพ ค้อมศีรษะลงต่ำก่อนจะยกมือฉันขึ้นมาจุมพิต

ฉันรู้สึกเสียววาบไปถึงสันหลังเมื่อไอเย็นเยียบจากริมฝีปากเขาแผ่ซ่านไหลมาตามแขน

“ยินดีที่ได้รู้จักสุภาพสตรีแสนสวยครับ ชื่อคุณไพเราะนัก หยาดฝน อ่อนหวานเย็นชุ่มฉ่ำและชื่นใจ” สุชาติพูดพล่ามโดยยังไม่ปล่อยมือง่ายๆ ฉันพยายามกระตุกมือเบาๆเพื่อดึงกลับมา แต่ถูกอีกฝ่ายจับยึดไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

“อะแฮ่ม.. เราควรไปกันได้แล้วนะ ผมเกรงว่าฝนจะเทลงมาก่อน”

สุชาติจำต้องปล่อยมือฉันแต่โดยดี เมื่อเห็นสายตาแสดงความไม่พอใจเจิดจรัสอยู่ในดวงตาคมดุคู่นั้น

“เชิญครับทางนี้” เจ้าถิ่นเดินนำพวกเราเข้าไปในป่าสน

“ที่นี่ฝนตกบ่อยครับท้องฟ้ามืดมิดทุกช่วงเวลา แล้วนี่ถ้าฝนตกหนักมากๆพวกคุณคงได้ติดอยู่เกาะนี้ล่ะนะ ฝนตกแล้วเอาเรือออกทะเลไม่ได้แน่นอนครับ อันตรายมากๆเลยถ้าคิดจะทำเช่นนั้น แต่ไม่ต้องห่วงนะครับทางเราได้จัดเตรียมห้องพักไว้ให้พวกคุณแล้ว”

สุชาติทั้งเดินทั้งพูดไปด้วย ก่อนจะมาหยุดอยู่ข้างรถม้าโบราณ ถึงแม้จะโบราณแต่ดูจากสภาพแล้วคงได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี

“พวกเราไม่คิดมาจะพักค้างแรมที่นี่ครับ ขอบคุณสำหรับความกรุณา” นักกำจัดรักนัมเบอร์วันเอ่ยกล่าวปฏิเสธ

“ก็แล้วแต่พวกคุณ” สุชาติเอ่ยน้ำเสียงเย็นชา เขาไหวไหล่เล็กน้อยและพูดต่อ

“ตามจริงผมว่าจะเอารถจิ๊ปมารับพวกคุณ แต่เห็นว่าเพิ่งเคยมาที่เกาะนี้ครั้งแรก เลยเปลี่ยนเป็นรถม้าแทน พวกคุณจะได้ชมวิวทิวทัศน์ข้างทางด้วย รถม้าคันนี้เหลืออยู่คันเดียวบนเกาะแล้วนะคุณ หวังว่าพวกคุณคงชอบ แต่โชคร้ายหน่อยนะ วันนี้ฟ้าฝนไม่เป็นใจพวกคุณอาจมองอะไรไม่เห็นมากนัก”

“คิดจะถ่วงเวลาล่ะสิ” นักกำจัดรักนัมเบอร์วันเอ่ยขึ้นเบาๆ แต่ฉันได้ยินถนัดชัดเจนจึงต้องใช้นิ้วหยิกแขนเขา เป็นการเตือนให้สงบปากสงบคำเสีย  เขาหันมาสบตาฉัน นัยน์ตาคมดุลุกวาวด้วยความไม่พอใจ ฉันแสร้งทำเป็นไม่เห็นแล้วหันไปยิ้มให้สุชาติแทน

ชายในเสื้อโค้ตสีดำส่งเสียงฮึดฮัดในลำคอก่อนจะก้าวขึ้นไปนั่งบนรถม้า

“หวังว่าพวกคุณคงช่วยเลดี้สตาร์ให้หายขาดจากความทุกข์ตรอมได้นะครับ” สุชาติหันมาพูดกับฉัน และจับมือ ช่วยฉันให้ทรงตัวได้มั่งคงเมื่อก้าวเหยียบลงบนที่พักเท้าเพื่อขึ้นไปนั่งบนรถม้า

“แน่นอนค่ะ ทางเราจะรักษาเลดี้สตาร์อย่างสุดความสามารถ ไม่นานเธอจะกลับมายิ้มและหัวเราะได้ดังเดิม” ฉันตอบสุชาติด้วยท่าทางมั่นอกมั่นใจเกินหน้าเกินตา ทั้งที่ตัวเองไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าจะช่วยเลดี้สตาร์ได้ยังไง

ฉันขึ้นมานั่งบนรถม้าฝั่งตรงข้ามกับเขา เหลียวมองดวงตาคมดุคู่นั่นที่กำลังเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง และรถม้าก็ค่อยๆเคลื่อนตัววิ่งไปตามถนนลาดยางทอดยาวไกล ทิวทัศน์สองข้างทางคือป่าสนสลับกับพุ่มไม้น้อยใหญ่

“ที่นี่มีอะไรแปลกๆ ระวังตัวหน่อยนะคุณ”

เขาบอกฉันน้ำเสียงแผ่วเบา ฉันสังเกตเห็นรอยเหี่ยวย่นปรากฏขึ้นบนใบหน้า หัวคิ้วขมวดมุ่นราวมีเรื่องกลุ้มใจให้คิดมากมาย

“ถึงคุณไม่บอกฉันก็ระวังตัวอยู่แล้วค่ะ” พูดจบฉันขยับตัวนั่งหลังตรงใบหน้าเชิดขึ้นเล็กน้อย เป็นการประกาศในผู้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามเข้าใจว่าฉันดูแลตัวเองได้ อย่าได้กังวล

นัยน์ตาคมดุเหลียวขวับมาสบตาฉัน อ่านไม่ออกจริงๆแววตาคู่นั้นต้องการสื่ออะไร แต่หัวใจฉันกลับเต้นรัวราวตกอยู่ภายใต้มนตร์สะกด

“ผมไม่น่าพาคุณมาด้วยเลย ไม่น่าเลยจริงๆ ที่นี่ดูไม่ปลอดภัยเอาซะเลย”

“ฉันเต็มใจมาช่วยคุณค่ะ แล้วอะไรที่คุณคิดว่ามันไม่ปลอดภัยคะ”

เขาไม่ตอบคำถามฉันในทันที แต่ก้มลงดูเวลานาฬิกาบนข้อมือ และล้วงมือถือออกมาจากกระเป๋าเสื้อ กดดูอะไรนิดหน่อยก็เก็บไว้ที่เดิม

“ตอนนี้เที่ยงตรงแต่ดูรอบตัวเราสิ มืดมิดราวเป็นเวลากลางคืน สัญญาณโทรศัพท์ดับสนิท ถ้าเราเป็นอะไรขึ้นมา จะติดต่อขอความช่วยเหลือจากใครได้ล่ะ ผมน่าจะลุยเดี่ยว”

และเขาก็สรุปจบประโยค ด้วยความคิดที่ว่าการพาฉันมาด้วยในครั้งนี้เป็นความคิดที่ผิดมหันต์  ฉันยังคงนั่งนิ่งหลังตั้งตรง รอฟังเขาพูดต่อ

“เด็กใหม่ไม่ควรเจอเรื่องเสี่ยงภัย คุณคงเข้าใจนะ  ผมน่าจะลุยเดี่ยว หรือไม่ก็ส่งคุณกลับขึ้นเรือออกจากเกาะไปตอนนี้เลย อ้างกับนายหน้าจืดนั้นว่าคุณมีธุระสำคัญ”

ไม่..ฉันไม่เข้าใจหรอก แค่จะบอกว่าเป็นห่วงฉันเขายังพูดยากลำบาก ทำไมต้องพูดอ้อมโลกไปเรื่อยก็ไม่รู้ แต่ก็นี่ล่ะอีกอย่างหนึ่งในตัวเขาที่ฉันเริ่มจะชอบแล้ว เขาไม่บอกอะไรตรงๆหรอก คำพูดของเขามักชวนให้คิดตามได้เสมอ

“คุณต้องการผู้ช่วยและฉันจะอยู่ช่วยคุณค่ะ อย่าห่วงเลยค่ะ ฉันดูแลตัวเองได้”

ฉันบอกเขาด้วยความมั่นอกมั่นใจ ทั้งที่ตัวเองรู้สึกหนาวยะเยือกหวาดกลัวไปถึงขั้วหัวใจ กลัวจะเป็นตามคำล่ำลือว่าเกาะแห่งนี้คือที่อยู่ของผีดูดเลือด ประกอบกับเห็นขวดโหลบรรจุน้ำสีแดง มั่นใจเหลือเกินว่ามันคือเลือดแน่นอน

ฉันขยับตัวเล็กน้อยเพื่อผ่อนคลาย และเอ่ยถามเขา

“ตามประวัติศาสตร์ที่คุณเล่าให้ฉันฟังว่าคฤหาสน์แสงจันทร์คือที่อยู่ของผีดูดเลือด มันน่าเชื่อถือได้จริงไหมคะ เอ่อ .. ฉันไม่ได้จะเชื่อเรื่องพวกนี้หรอกนะคะ แค่ถามดู”

เขาเลิกมองออกไปนอกหน้าต่าง ขยับตัวเล็กน้อยและหันมาจ้องหน้าฉันแบบตรงๆ

“ถามทำไมล่ะ ไหนบอกว่าไม่เชื่อผมไง แต่ก็ช่างเถอะมันก็แค่คำล่ำลือน่ะคุณ นิทานหลอกเด็กอย่าไปเชื่อเชียว”

เขาพูดจบแล้วขยิบตาให้ฉัน ทำเหมือนกับว่าฉันเป็นเด็กที่จะเชื่อเรื่องแบบนี้ง่ายๆ ทว่าในตอนนี้หลายสิ่งหลายอย่างบนเกาะรัตติกาลทำให้อดคิดไปไม่ได้ บางทีฉันควรบอกเขาเกี่ยวกับขวดโหลพวกนั้น

“เปล่านะคะ ฉันไม่ได้เชื่อว่าคำล่ำลือเกี่ยวกับเกาะนี้เป็นเรื่องจริง แต่ เพียง..เพียงแต่ ฉันเห็นขวดโหลบรรจุละ เลือด...”

และฉันยังพูดคำว่าเลือดไม่จบ เสียงของสุชาติแทรกขึ้นมาเสียก่อน และช่างแทรกได้ถูกช่วงจังหวะจะลงคำว่าเลือดพอเหมาะพอดี มันดูเหมาะเจาะจนเหมือนตั้งใจขัดขวางยังไงยังงั้น ฉันรู้สึกหงุดหงิดขึ้นเล็กน้อยเมื่อไม่อาจพูดสิ่งที่ต้องการได้สักที

“จะสิ้นสุดทางลาดยางแล้วนะครับ ทางข้างหน้าจะเริ่มขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ พวกคุณจะนั่งไม่สบายสักระยะนะครับ” เสียงตะโกนของสุชาติดังสะท้อนก้องเข้ามาภายในรถม้า


ฉันได้ยินเขาสะบัดแส้ลงหลังม้าเพื่อเพิ่มความเร็ว และไม่นานรถม้าก็โคลงเคลงกระเด้งกระดอนไปตลอดทาง ก้นฉันกระเด้งขึ้นจากที่นั่งและตกลงบนเก้าอี้ไม้ซ้ำไปมาหลายครั้ง เจ็บก้นก็เจ็บ หนำซ้ำยังรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วน ชวนให้อยากอาเจียนเอาแซนวิชที่กินเข้าไปออกมาให้หมด

เขาที่นั่งอยู่ตรงข้าม กลับไม่ได้รับผลกระทบอะไร ฉันเห็นเขายังคงนั่งนิ่งในท่าเดิม มือสองข้างประสานวางอยู่บนขา ช่างเป็นท่าที่สบายและผ่อนคลายเกินไปจนฉันอดแปลกใจไม่ได้

“คุณ..ทาม ได้ไง นั่งนิ่งๆแบบนั้น” ฉันเอ่ยถามเขาเสียงสั่นเมื่อก้นกระเด้งขึ้นจากที่นั่งพูดออกไปแล้วฟังออกจะผิดเพี้ยนไปบ้างเพราะแรงกระแทกเมื่อรถม้าตกลงไปในหลุมทำให้ไม่สามารถควบคุมโทนเสียงให้เป็นปกติได้

“ก็ไม่ได้ทำอะไรมากนิ แค่นั่งเฉยๆ ดูคนตรงหน้า ที่นั่งอยู่ไม่สุขเหมือนลูกปิงปองที่คนกำลังเดาะเล่น” เขาพูดจบแล้วยักไหล่ แถมยังฉีกยิ้มกว้าง เป็นรอยยิ้มที่น่าหมั่นไส้เหลือเกิน

ฉันก็พอรู้มาบ้างว่าพวกนักกำจัดรักมีพลังพิเศษเหนือคนปกติ นี่ก็คงใช้พลังพิเศษช่วยให้ตัวเองนั่งสบายๆไม่ทุลักทุเลเหมือนฉันสิท่า เชอะ คนอะไรแล้งน้ำใจซะมัดไม่คิดจะช่วยฉันบ้างเลยหรือไง

“ฉันไม่ใช่ลูกปิงปอง” ฉันแค่นเสียงตอบด้วยความไม่พอใจแบบสุดๆ คิดว่าเขาคงจับใจความไม่พอใจในน้ำเสียงได้ แต่เปล่าเลย

“กว่าจะถึงคฤหาสน์แสงจันทร์ก้นคุณคงช้ำเหมือนลูกแตงโมช้ำในแน่ๆ”

เขาพูดจบแล้วส่ายหน้า ทำราวกับเรื่องที่พูดไปเมื่อกี้เป็นการบอกเล่าเกี่ยวกับสภาพอากาศทั่วไปยังไงยังงั้น


.
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่