คำโปรย
อยากรู้มั้ยว่าจริงๆแล้วซอมบี้เป็นยังไง?
อยากรู้มั้ยว่าพวกแม่มด แวมไพร์ใช้ชีวิตอย่างไร?
ติดตามหาคำตอบได้ในนิตยสารส่งท้ายผี เอ๊ย! ปี เล่มนี้!!!!
NGG: National G-host Graphic
ขอบคุณสำหรับคอมเมนท์ของตอนแรกมากๆเลยค่า มาต่อตอนที่สองนะคะ
ตอน 1
https://ppantip.com/topic/34905662
+++++++
เหนือเวิ้งทะเลกว้างใหญ่ไพศาล มีเพียงสีน้ำเงินครามฉาบฉายอยู่บนท้องนภาที่ไร้หมอกเมฆ วันนี้เป็นวันที่มีอากาศดี… ลมแรงพัดผ่านเรือใบ เราสองคนพี่น้องล่องเรือเพื่อดำน้ำและตกปลาในวันหยุด ทุกครั้งพวกเราจะแล่นเรือออกจากชายฝั่งเกาะช้างไม่ไกลนัก แต่คราวนี้ฉันนำเรือล่องไปเรื่อยๆจนเกือบถึงเกาะหมาก
“เจย์ นั่นเกาะอะไร”เน็กถามด้วยความสงสัย
“เกาะกระดาษล่ะมั้ง”
“ไม่ใช่ เกาะกระดาษอยู่ใกล้เกาะหมาก ส่วนเกาะนี้ไม่มีระบุไว้ในแผนที่นะ”เน็กกล่าวตอบอย่างมั่นใจ ในมือถือ GPS เอาไว้
“มันคงเป็น... เกาะธรรมดาที่ไม่มีอะไรน่าค้นหาสักเท่าไหร่”
“ทุกสถานที่น่าค้นหา มันมีความหมายซ่อนอยู่”เน็กก็ตอบแบบเน็กวันยังค่ำ ไอ้คำพูดแฝงปรัชญาเหมือนตัวเอกในละครนี่ต้องยกให้เขา
“รวมทั้งอาบอบนวดด้วยใช่ไหม”
“แกอย่าพูดอย่างนี้ต่อหน้าลูกเมียฉันเชียว เดี๋ยวพวกเขาจะเข้าใจผิด”
“กลัวไอ้นุชโกรธหรือไง”
“ตูกลัวเมียจะไม่ให้เข้าบ้าน” เน็กเป็นคนที่แหย่สนุก “เจย์ เข้าไปดูเกาะหน่อยสิ”
“คร้าบ กัปตัน”
เน็กเป็นคนขี้สงสัยตามประสาอาจารย์ภาควิชาโบราณคดีที่หล่อสู้น้องชายไม่ได้ ความอยากรู้อยากเห็นของเขาทำให้ฉันต้องแล่นเรือไปยังเกาะปริศนาซึ่งไม่มีอยู่ในแผนที่
“เกาะใหญ่โตขนาดนี้อาจจะเป็นเกาะเกิดใหม่จากการระเบิดของภูเขาไฟก็ได้นะเน็ก”
“ไม่มีทาง แถวนี้ไม่มีรอยเลื่อน มันไม่ควรจะมีแผ่นดินไหวหรือภูเขาไฟใต้น้ำ”
ฉันยักไหล่ตอบ ไม่ค่อยใส่ใจกับคำพูดของเขาหรอก สิ่งที่ฉันอยากทำตอนนี้คือเดินสำรวจเกาะ จากนั้นก็กลับไปดำน้ำ แล้วก็นอนอาบแดดเท่ๆจนตัวเกรียมอยู่บนดาดฟ้าเรือ “เน็ก นั่นถ้ำ”ว่าพลางชี้นิ้วบอกพี่ชาย ฉันลอบสายตามองผ่านแว่นกันแดดสังเกตปากถ้ำที่แลดูคล้ายอุโมงค์ขนาดยักษ์ มีหินย้อยลงมาจากเพดานถ้ำเต็มไปหมดเมื่อแล่นเรือใกล้เข้าไป ฉันก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่ของเกาะแห่งนี้ เทือกเขาเขียวเข้มสูงสง่าดั่งกำแพงยักษ์ล้อมรอบเกาะไว้ทุกทิศทาง มีประตูบานเล็กเป็นปากถ้ำสีสนิม พอให้เรือใบลำเล็กรอดผ่านไปได้
“ในเมื่อมีถ้ำอยู่แค่ช่องทางเดียวล่ะก็ ข้างในอาจจะเป็นลากูน”ฉันออกความเห็น
“น่าสนใจ ลองเข้าไปดูไหมล่ะ”เน็กว่า
ในตอนนั้นเองที่ฉันและเน็กเริ่มรู้สึกถึงกลิ่นสาบและบรรยากาศเย็นเฉียบ ผิดแปลกแตกต่างจากความรู้สึกสดชื่นภายนอกเกาะอย่างสิ้นเชิง พวกเราต่างได้ยินเสียงร้องของค้างคาวบนเพดานถ้ำ ค้างคาวทักทายพวกเราด้วยการฝากมูลทิ้งลงมาบนดาดฟ้าเรือ เน็กหัวเราะลั่นตอนที่ฉันเอี้ยวตัวหลบอึค้างคาว นับเป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิดที่สุดตลอดการเดินทางในครั้งนี้
ไม่นานนักแสงสว่างอีกฟากก็ปรากฏขึ้น เรือใบแล่นผ่านกำแพงภูเขาสูงชันเข้าไปยังบริเวณลากูน น้ำสีฟ้าสดสวยราวกับเฉดสีของเพชรน้ำดี เราสองคนพิงกราบเรือก้มมองก้นทะเลผ่านน้ำสะอาดใสแจ๋ว
“ไม่มีกลิ่นกำมะถัน น้ำสะอาดและไม่น่าจะเป็นพิษ ทำไมไม่มีสัตว์น้ำอาศัยอยู่เลยสักตัว”
“มันก็แค่ว่ายเข้ามาในนี้ไม่ได้ล่ะมั้ง”
“ทำไมล่ะ”
“เพราะปลามองไม่เห็นทางเข้า”ฉันบอกพี่ชาย
“เออ ตอบได้ดี ขอบใจ”
ถึงแม้ฉันจะไม่ใช่คนฉลาดแบบเขา แต่เหตุผลของฉันมักจะทำให้เขาแย้งไม่ออก ไม่รู้เป็นเพราะคำตอบนั้นสมเหตุสมผลเกินไปหรืองี่เง่าเกินไป
สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดไม่ใช่เรื่องปลาหากแต่เป็นความเงียบที่โรยตัวลงมาอย่างช้าๆจนพวกเราไม่ได้ยินเสียงซ่าๆของคลื่นในทะเลจากปากทางเข้าอีก
ทุกอย่างนิ่งสนิทปราศจากสิ่งมีชีวิต สองพี่น้องกระโดดออกจากเรือเดินฝ่าดงไม้เริ่มต้นการสำรวจ
“ฝนกำลังจะตก”ฉันบอก
“แปลกจริงๆ เมื่อตะกี้นี้ท้องฟ้ายังสว่างสดใสไม่มีเมฆสักก้อน”
“แล้วไง” ฉันไม่ใส่ใจนัก หน้าที่นักสืบคือพี่ชายส่วนหน้าที่ของฉันคือสนุกกับการผจญภัยในวันหยุด “พี่พกปืนมาด้วยเหรอ”
“ฉันพกปืนทุกครั้งเวลาออกสำรวจ”เน็กสอดปืนพกกลับลงไปในซอง สวมหมวกลายพลาง แลดูเหมือนเขาเหมาะจะทำงานอาชีพนายพรานล่าสัตว์มากกว่าเป็นอาจารย์สอนวิชาประวัติศาสตร์
“นี่พี่กำลังจะทำตัวเป็นอินเดียน่า โจนส์หรือยังไง... วันนี้พวกเราจะออกตามล่าหาขุมทรัพย์สำรวจเกาะปริศนา และตะลุยฝ่าดินแดนลี้ลับใช่ไหม”ฉันหัวเราะ
“นักโบราณคดีค้นหาสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ไม่ได้ตามล่าขุมทรัพย์”เน็กรีบแย้ง “ถ้าหากที่นี่เป็นเกาะที่ไม่เคยมีการค้นพบ ฉันก็อยากจะส่งทีมสำรวจเข้ามาเก็บข้อมูล ก่อนอื่นเราต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าที่นี่เป็นเกาะที่ค้นพบใหม่”
“เฮ้ยยยย ฉันจะได้ลงข่าวหน้าหนึ่งกับพี่ ฟังดูดีนะ”
เน็กส่ายหน้ายิ้มบาง เขาไม่พูดอะไร สิ่งที่เขาสนใจคือต้นไม้และใบหญ้าซึ่งมีค่ามากกว่าคำพูดของฉันในการตีความเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นบนเกาะ นักประวัติศาสตร์อย่างเขาสามารถวิเคราะห์เรื่องราวในอดีตได้ราวกับเคยอยู่ในเหตุการณ์ เน็กเคยทำให้ฉันทึ่งมาแล้วจากการค้นพบปะติมากรรมสมัยสุโขทัยและบอกเล่าเรื่องราวการใช้ชีวิตของคนในยุคนั้นได้เป็นฉากๆ
“เจย์”จู่ๆเน็กก็ดึงไหล่ไว้ เขาขมวดคิ้วทำหน้าย่นด้วยความสงสัย
เราสองคนเงียบไปครู่ใหญ่จนกระทั่งพี่ชายส่งเสียงกระซิบ “ฉันได้ยินเสียง”
“เสียงอะไร”ฉันกระซิบตอบ
“เสียงเดิน”
ฉันหันมองรอบกาย ไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งสิ้น คนหูดีอย่างเน็กยังคงนิ่ง อีกครู่หนึ่งก็หยิบปืนออกมา “พี่จะทำอะไรน่ะ”
“เราอาจจะเจอกับสัตว์ป่า เราต้องระวังตัวนะเจย์”เขาโยนปืนให้ฉันอีกกระบอกแล้วก็เดินนำหน้าไป เน็กสดับฟังเสียงและได้กลิ่นบางเบาในป่าเป็นอย่างดี เขาค่อยๆเดินตามสิ่งที่ฉันไม่รู้ว่ามันคืออะไรไปเรื่อยๆผ่านพงหญ้ารก บางครั้งฉันก็ไม่แน่ใจว่าพี่ชายเป็นคนหรือเป็นสุนัขล่าเนื้อกันแน่
ในตอนนั้นเองที่ฉันเริ่มได้ยินเสียงแหบพร่าของสิ่งมีชีวิตปริศนา เราสองพี่น้องซ่อนตัวอยู่ในพงหญ้าเงยหน้าลอยสายตามองผ่านใบไม้สังเกตการเคลื่อนไหวของบางสิ่งบางอย่างใต้ต้นไม้ถัดออกไปไม่กี่เมตร
ฉันกุมปืนไว้แน่น มือสั่นเสียอย่างนั้น... อันที่จริงฉันและพี่ชายซ้อมยิงปืนด้วยกันอาทิตย์ละครั้งยามเลิกงาน แต่ฉันเป็นฝ่ายที่ไม่เคยจับปืนลั่นไกใส่ตัวอะไรทั้งนั้นนอกจากเป้านิ่ง ยามที่อยู่ในสถานการณ์จริงกลับมีความกดดันบางอย่างที่ทำให้ขวัญกระเจิงกว่าในยามอยู่ในสนามฝึกซ้อม
“แฮ่ แฮ่”
ฟังดูเหมือนเสียงของแมวหรืองูที่กำลังขู่ฟ่อใส่ศัตรู หากแต่เมื่อเลื่อนใบไม้ออกและสังเกตเต็มตา สิ่งที่เราสองคนเห็นคือคนสูงอายุสองคนที่สวมเสื้อผ้าขาดวิ่นยืนหันหลังให้พวกเรา ผมเผ้าสีขาวซีดกระเซอะกระเซิง พวกเขายืนคู้ตัว แขนผอมลีบติดกระดูก ยามที่มือแกว่งแลดูเหมือนตัวกำลังสั่นระเทิ้มด้วยความหนาวเย็น
เราสองคนออกจากที่ซ่อน รีบก้าวย่ำแหวกพงหญ้าตรงไปหาคนแปลกหน้าทั้งสอง
“คุณตา คุณยาย”เน็กตะโกน น้ำเสียงของเขาเหมือนพระเอกละครช่องสาม เขาเก็บปืนเดินเข้าไปหาร่างงองุ้มหลังค่อมสูงเทียมอก ฉันเดินทอดน่องเข้าไปหา จังหวะนั้นก็หยุดเดินนิดหนึ่งเพราะกลิ่นตัวสาบสางของพวกเขาเหมือนหนูตายโชยเตะจมูก“เกิดอะไรขึ้นครับ ทำไมทั้งสองคนถึงมาอยู่ที่นี่ตามลำพัง”
ฉันเดาว่าติดเกาะ ไม่รู้ว่าติดได้ยังไงหรอกเพราะไม่เห็นเรือสักลำแต่เชื่อว่านั่นเป็นคำตอบที่ดีที่สุด
คนชราทั้งสองไม่ตอบ
“เดี๋ยวพวกเราจะพาคุณตาคุณยายกลับไปที่เกาะช้างด้วยกันนะครับ”ฉันดึงไหล่คุณตา มองหน้าแวบหนึ่งของอีกฝ่าย สายตาของสองเราจดจ้องกัน วินาทีนั้นฉันก็รู้สึกได้ว่าหัวใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม
ใบหน้าของตาเฒ่าเละเน่า ลูกตาข้างหนึ่งถลนออกมาจากเบ้า เศษเนื้อหลุดออกมาเป็นแผ่นๆแลดูสกปรกและน่าขยะแขยง เลือดชโลมท่วมริมฝีปากที่ขาดแหว่ง เผยให้เห็นกระดูกฟันเรียงกันเป็นตับ ดวงตาสีเหลืองสว่างวาวโรจน์และเสียงแหบพร่าอันน่าขนลุกทำให้ฉันตกใจสุดขีดกรีดร้องเสียงหลง เขยิบถอยออกมาพร้อมกับเน็ก
“เหี้-!!!! ผี!!!!!“เน็กตะโกนชื่อสัตว์โลกน่ารักออกไปหนึ่งตัวก่อนจะกระโดดหนีห่างจากคุณยาย
“ซอมบี้!!!!!!!”เราสบตามองศพเดินได้ด้วยความตื่นกลัว
ในตอนนั้นเองคุณตาและคุณยายก็หันกลับมามองพวกเรา แล้วก็เดินย่ำช้าๆตรงเข้ามาหา แขนผอมลีบยกขึ้นไขว่คว้าหาร่างของพวกเรา ยิ่งเห็นท่าทางเชิญชวนอันน่าสยดสยองนั้นแล้วสองพี่น้องก็ไม่คิดอะไรอีกนอกจากร้องเสียงดังก้องป่าแล้วก็โกยแน่บ วิ่งเตลิดอย่างไม่รู้ทิศทาง
พวกเราไม่หันกลับไปมองด้านหลัง ได้ยินเพียงเสียงกรีดร้องของตัวเองก้องดังจนขวัญหนีดีฝ่อ เน็กวิ่งสะดุดขอนไม้ หน้าคะมำลงข้างทาง เขาจุกเจ็บและสติวูบไปหลายวินาที
“ลุกขึ้นเน็ก!”ฉันกล่าวด้วยความตื่นกลัว รีบกระชากแขนพี่ชาย สายตาหันหลังกลับไปมองสองตายายที่เดินฝ่าพงหญ้าตรงมาหาก็ยิ่งตกใจเข้าไปใหญ่ “มันมาแล้ว!” ฉันฉวยปืนของเน็กจากกองใบไม้ กดโกร่งไกเสียกระสุนไปหลายนัดให้กับร่างของศพเดินได้ เศษเนื้อเศษกระดูกแตกกระจาย หากแต่พวกมันก็ยังเดินได้ ส่งเสียงร้องสะท้อนกลับมา ถลาตัวเข้าหาด้วยใบหน้าเปื้อนเลือด แลดูยิ่งน่าพรั่นพรึ่งหวาดผวาจนฉันไม่กล้าลั่นกระสุนนัดสุดท้าย
เน็กพลิกตัวตะเกียกตะกายลุกแล้ววิ่งติดตามฉันไปจนถึงชายฝั่ง เราสองคนกระโดดลงไปในน้ำ ว่ายท่าฟรีสไตล์กลับไปที่เรือใบได้เร็วกว่าไมเคิล เฟลป์ - นักกีฬาว่ายน้ำเหรียญทองโอลิมปิก
“เอาเรือออก!”ไม่ต้องบอกก็รู้ ฉันไม่รอช้ารีบสตาร์ทเครื่องยนต์แล่นเรือออกจากชายฝั่งในทันที
ในตอนนั้นฝนตกปอยๆ เสียงครืนๆและเมฆสีเทาทำให้บรรยากาศยิ่งน่ากลัว เน็กแทบสะดุ้งในยามที่ซอมบี้สองตัวเดินมาส่งพวกเรา(เหรอ?)ถึงชายฝั่ง ดวงตาสว่างวาบราวกับแสงไฟนีออนจดจ้องมองพวกเรานิ่งๆ พวกมันเอียงคอมองพวกเราช้าๆ เสียงแหบพร่าเลือนหายไปในสายฝนพรำ
เรือใบแล่นผ่านถ้ำ บรรดาค้างคาวบินว่อน ส่งเสียงร้องดังกังวานก้อง พวกมันโฉบเฉี่ยวไปมาเหนือศีรษะราวกับต้องการจะข่มขู่พวกเรา โชคดีที่สองพี่น้องไม่ได้รับบาดเจ็บ พวกเราสามารถหลบหลีกฝูงค้างคาวกระหายเลือดนั่นออกมาจากลากูนได้ในที่สุด
ภายนอกท้องฟ้ายังคงสว่างไสวไร้หมอกเมฆ เสียงคลื่นซัดซ่าทำให้ใจชื้นขึ้นอีกครั้ง เราสองคนถอนหายใจอย่างโลกอก
“ผีจริงรึเปล่าวะ”ฉันยังคงตั้งคำถามด้วยความสงสัย หากแต่สิ่งที่เราสองเห็นพิสูจน์ด้วยตาว่าใช่ ไม่มีทางเป็นคนที่หลงทางแล้วแต่งตัวเลียนแบบซอมบี้กลางเกาะร้างแบบนี้หรอก เรื่องแบบนั้นมีแค่ในการ์ตูน
“แกไม่เห็นเหรอว่าสภาพของพวกมันเป็นยังไง นี่เลือดยังเปื้อนเสื้ออยู่เลย”เน็กบ่นพลางดึงแขนเสื้อ “สองคนนั่นคงตายสักพักแล้วล่ะ”
“ถ้าหากตายไปแล้วพวกมันเดินได้ยังไง”
“พวกมันเป็นผี แกบอกเองว่าพวกมันเป็นซอมบี้”
ฉันไม่อยากให้สิ่งที่ฉันพูดไปตอนตกใจสุดขีดเป็นความจริง พวกเราหยุดคิดไปครู่หนึ่ง นึกทบทวนภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ “จะเอายังไงต่อ”
“กลับ!”เน็กตระเบ็งเสียงเข้ม ออกคำสั่งราวกับโจรสลัด คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ฉันไม่แปลกใจหรอกหากพี่ชายจะเปลี่ยนใจเร็วถึงเพียงนี้
“พี่จะกลับมาสำรวจเกาะนี้อีกหรือเปล่า”
“ไม่มีทาง!”
\\\\\\\\\
เดี๋ยวมาต่อตอนหน้านะจ๊ะ ช่วงนี้ปั่น 2 เรื่อง 55
ม้วฟ ม้วฟ
Pakkie Davie
National G-host-graphic: สารคดีสุดเฮี้ยน! [ตอน 2]
คำโปรย
อยากรู้มั้ยว่าจริงๆแล้วซอมบี้เป็นยังไง?
อยากรู้มั้ยว่าพวกแม่มด แวมไพร์ใช้ชีวิตอย่างไร?
ติดตามหาคำตอบได้ในนิตยสารส่งท้ายผี เอ๊ย! ปี เล่มนี้!!!!
NGG: National G-host Graphic
ขอบคุณสำหรับคอมเมนท์ของตอนแรกมากๆเลยค่า มาต่อตอนที่สองนะคะ
ตอน 1
https://ppantip.com/topic/34905662
+++++++
เหนือเวิ้งทะเลกว้างใหญ่ไพศาล มีเพียงสีน้ำเงินครามฉาบฉายอยู่บนท้องนภาที่ไร้หมอกเมฆ วันนี้เป็นวันที่มีอากาศดี… ลมแรงพัดผ่านเรือใบ เราสองคนพี่น้องล่องเรือเพื่อดำน้ำและตกปลาในวันหยุด ทุกครั้งพวกเราจะแล่นเรือออกจากชายฝั่งเกาะช้างไม่ไกลนัก แต่คราวนี้ฉันนำเรือล่องไปเรื่อยๆจนเกือบถึงเกาะหมาก
“เจย์ นั่นเกาะอะไร”เน็กถามด้วยความสงสัย
“เกาะกระดาษล่ะมั้ง”
“ไม่ใช่ เกาะกระดาษอยู่ใกล้เกาะหมาก ส่วนเกาะนี้ไม่มีระบุไว้ในแผนที่นะ”เน็กกล่าวตอบอย่างมั่นใจ ในมือถือ GPS เอาไว้
“มันคงเป็น... เกาะธรรมดาที่ไม่มีอะไรน่าค้นหาสักเท่าไหร่”
“ทุกสถานที่น่าค้นหา มันมีความหมายซ่อนอยู่”เน็กก็ตอบแบบเน็กวันยังค่ำ ไอ้คำพูดแฝงปรัชญาเหมือนตัวเอกในละครนี่ต้องยกให้เขา
“รวมทั้งอาบอบนวดด้วยใช่ไหม”
“แกอย่าพูดอย่างนี้ต่อหน้าลูกเมียฉันเชียว เดี๋ยวพวกเขาจะเข้าใจผิด”
“กลัวไอ้นุชโกรธหรือไง”
“ตูกลัวเมียจะไม่ให้เข้าบ้าน” เน็กเป็นคนที่แหย่สนุก “เจย์ เข้าไปดูเกาะหน่อยสิ”
“คร้าบ กัปตัน”
เน็กเป็นคนขี้สงสัยตามประสาอาจารย์ภาควิชาโบราณคดีที่หล่อสู้น้องชายไม่ได้ ความอยากรู้อยากเห็นของเขาทำให้ฉันต้องแล่นเรือไปยังเกาะปริศนาซึ่งไม่มีอยู่ในแผนที่
“เกาะใหญ่โตขนาดนี้อาจจะเป็นเกาะเกิดใหม่จากการระเบิดของภูเขาไฟก็ได้นะเน็ก”
“ไม่มีทาง แถวนี้ไม่มีรอยเลื่อน มันไม่ควรจะมีแผ่นดินไหวหรือภูเขาไฟใต้น้ำ”
ฉันยักไหล่ตอบ ไม่ค่อยใส่ใจกับคำพูดของเขาหรอก สิ่งที่ฉันอยากทำตอนนี้คือเดินสำรวจเกาะ จากนั้นก็กลับไปดำน้ำ แล้วก็นอนอาบแดดเท่ๆจนตัวเกรียมอยู่บนดาดฟ้าเรือ “เน็ก นั่นถ้ำ”ว่าพลางชี้นิ้วบอกพี่ชาย ฉันลอบสายตามองผ่านแว่นกันแดดสังเกตปากถ้ำที่แลดูคล้ายอุโมงค์ขนาดยักษ์ มีหินย้อยลงมาจากเพดานถ้ำเต็มไปหมดเมื่อแล่นเรือใกล้เข้าไป ฉันก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่ของเกาะแห่งนี้ เทือกเขาเขียวเข้มสูงสง่าดั่งกำแพงยักษ์ล้อมรอบเกาะไว้ทุกทิศทาง มีประตูบานเล็กเป็นปากถ้ำสีสนิม พอให้เรือใบลำเล็กรอดผ่านไปได้
“ในเมื่อมีถ้ำอยู่แค่ช่องทางเดียวล่ะก็ ข้างในอาจจะเป็นลากูน”ฉันออกความเห็น
“น่าสนใจ ลองเข้าไปดูไหมล่ะ”เน็กว่า
ในตอนนั้นเองที่ฉันและเน็กเริ่มรู้สึกถึงกลิ่นสาบและบรรยากาศเย็นเฉียบ ผิดแปลกแตกต่างจากความรู้สึกสดชื่นภายนอกเกาะอย่างสิ้นเชิง พวกเราต่างได้ยินเสียงร้องของค้างคาวบนเพดานถ้ำ ค้างคาวทักทายพวกเราด้วยการฝากมูลทิ้งลงมาบนดาดฟ้าเรือ เน็กหัวเราะลั่นตอนที่ฉันเอี้ยวตัวหลบอึค้างคาว นับเป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิดที่สุดตลอดการเดินทางในครั้งนี้
ไม่นานนักแสงสว่างอีกฟากก็ปรากฏขึ้น เรือใบแล่นผ่านกำแพงภูเขาสูงชันเข้าไปยังบริเวณลากูน น้ำสีฟ้าสดสวยราวกับเฉดสีของเพชรน้ำดี เราสองคนพิงกราบเรือก้มมองก้นทะเลผ่านน้ำสะอาดใสแจ๋ว
“ไม่มีกลิ่นกำมะถัน น้ำสะอาดและไม่น่าจะเป็นพิษ ทำไมไม่มีสัตว์น้ำอาศัยอยู่เลยสักตัว”
“มันก็แค่ว่ายเข้ามาในนี้ไม่ได้ล่ะมั้ง”
“ทำไมล่ะ”
“เพราะปลามองไม่เห็นทางเข้า”ฉันบอกพี่ชาย
“เออ ตอบได้ดี ขอบใจ”
ถึงแม้ฉันจะไม่ใช่คนฉลาดแบบเขา แต่เหตุผลของฉันมักจะทำให้เขาแย้งไม่ออก ไม่รู้เป็นเพราะคำตอบนั้นสมเหตุสมผลเกินไปหรืองี่เง่าเกินไป
สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดไม่ใช่เรื่องปลาหากแต่เป็นความเงียบที่โรยตัวลงมาอย่างช้าๆจนพวกเราไม่ได้ยินเสียงซ่าๆของคลื่นในทะเลจากปากทางเข้าอีก
ทุกอย่างนิ่งสนิทปราศจากสิ่งมีชีวิต สองพี่น้องกระโดดออกจากเรือเดินฝ่าดงไม้เริ่มต้นการสำรวจ
“ฝนกำลังจะตก”ฉันบอก
“แปลกจริงๆ เมื่อตะกี้นี้ท้องฟ้ายังสว่างสดใสไม่มีเมฆสักก้อน”
“แล้วไง” ฉันไม่ใส่ใจนัก หน้าที่นักสืบคือพี่ชายส่วนหน้าที่ของฉันคือสนุกกับการผจญภัยในวันหยุด “พี่พกปืนมาด้วยเหรอ”
“ฉันพกปืนทุกครั้งเวลาออกสำรวจ”เน็กสอดปืนพกกลับลงไปในซอง สวมหมวกลายพลาง แลดูเหมือนเขาเหมาะจะทำงานอาชีพนายพรานล่าสัตว์มากกว่าเป็นอาจารย์สอนวิชาประวัติศาสตร์
“นี่พี่กำลังจะทำตัวเป็นอินเดียน่า โจนส์หรือยังไง... วันนี้พวกเราจะออกตามล่าหาขุมทรัพย์สำรวจเกาะปริศนา และตะลุยฝ่าดินแดนลี้ลับใช่ไหม”ฉันหัวเราะ
“นักโบราณคดีค้นหาสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ไม่ได้ตามล่าขุมทรัพย์”เน็กรีบแย้ง “ถ้าหากที่นี่เป็นเกาะที่ไม่เคยมีการค้นพบ ฉันก็อยากจะส่งทีมสำรวจเข้ามาเก็บข้อมูล ก่อนอื่นเราต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าที่นี่เป็นเกาะที่ค้นพบใหม่”
“เฮ้ยยยย ฉันจะได้ลงข่าวหน้าหนึ่งกับพี่ ฟังดูดีนะ”
เน็กส่ายหน้ายิ้มบาง เขาไม่พูดอะไร สิ่งที่เขาสนใจคือต้นไม้และใบหญ้าซึ่งมีค่ามากกว่าคำพูดของฉันในการตีความเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นบนเกาะ นักประวัติศาสตร์อย่างเขาสามารถวิเคราะห์เรื่องราวในอดีตได้ราวกับเคยอยู่ในเหตุการณ์ เน็กเคยทำให้ฉันทึ่งมาแล้วจากการค้นพบปะติมากรรมสมัยสุโขทัยและบอกเล่าเรื่องราวการใช้ชีวิตของคนในยุคนั้นได้เป็นฉากๆ
“เจย์”จู่ๆเน็กก็ดึงไหล่ไว้ เขาขมวดคิ้วทำหน้าย่นด้วยความสงสัย
เราสองคนเงียบไปครู่ใหญ่จนกระทั่งพี่ชายส่งเสียงกระซิบ “ฉันได้ยินเสียง”
“เสียงอะไร”ฉันกระซิบตอบ
“เสียงเดิน”
ฉันหันมองรอบกาย ไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งสิ้น คนหูดีอย่างเน็กยังคงนิ่ง อีกครู่หนึ่งก็หยิบปืนออกมา “พี่จะทำอะไรน่ะ”
“เราอาจจะเจอกับสัตว์ป่า เราต้องระวังตัวนะเจย์”เขาโยนปืนให้ฉันอีกกระบอกแล้วก็เดินนำหน้าไป เน็กสดับฟังเสียงและได้กลิ่นบางเบาในป่าเป็นอย่างดี เขาค่อยๆเดินตามสิ่งที่ฉันไม่รู้ว่ามันคืออะไรไปเรื่อยๆผ่านพงหญ้ารก บางครั้งฉันก็ไม่แน่ใจว่าพี่ชายเป็นคนหรือเป็นสุนัขล่าเนื้อกันแน่
ในตอนนั้นเองที่ฉันเริ่มได้ยินเสียงแหบพร่าของสิ่งมีชีวิตปริศนา เราสองพี่น้องซ่อนตัวอยู่ในพงหญ้าเงยหน้าลอยสายตามองผ่านใบไม้สังเกตการเคลื่อนไหวของบางสิ่งบางอย่างใต้ต้นไม้ถัดออกไปไม่กี่เมตร
ฉันกุมปืนไว้แน่น มือสั่นเสียอย่างนั้น... อันที่จริงฉันและพี่ชายซ้อมยิงปืนด้วยกันอาทิตย์ละครั้งยามเลิกงาน แต่ฉันเป็นฝ่ายที่ไม่เคยจับปืนลั่นไกใส่ตัวอะไรทั้งนั้นนอกจากเป้านิ่ง ยามที่อยู่ในสถานการณ์จริงกลับมีความกดดันบางอย่างที่ทำให้ขวัญกระเจิงกว่าในยามอยู่ในสนามฝึกซ้อม
“แฮ่ แฮ่”
ฟังดูเหมือนเสียงของแมวหรืองูที่กำลังขู่ฟ่อใส่ศัตรู หากแต่เมื่อเลื่อนใบไม้ออกและสังเกตเต็มตา สิ่งที่เราสองคนเห็นคือคนสูงอายุสองคนที่สวมเสื้อผ้าขาดวิ่นยืนหันหลังให้พวกเรา ผมเผ้าสีขาวซีดกระเซอะกระเซิง พวกเขายืนคู้ตัว แขนผอมลีบติดกระดูก ยามที่มือแกว่งแลดูเหมือนตัวกำลังสั่นระเทิ้มด้วยความหนาวเย็น
เราสองคนออกจากที่ซ่อน รีบก้าวย่ำแหวกพงหญ้าตรงไปหาคนแปลกหน้าทั้งสอง
“คุณตา คุณยาย”เน็กตะโกน น้ำเสียงของเขาเหมือนพระเอกละครช่องสาม เขาเก็บปืนเดินเข้าไปหาร่างงองุ้มหลังค่อมสูงเทียมอก ฉันเดินทอดน่องเข้าไปหา จังหวะนั้นก็หยุดเดินนิดหนึ่งเพราะกลิ่นตัวสาบสางของพวกเขาเหมือนหนูตายโชยเตะจมูก“เกิดอะไรขึ้นครับ ทำไมทั้งสองคนถึงมาอยู่ที่นี่ตามลำพัง”
ฉันเดาว่าติดเกาะ ไม่รู้ว่าติดได้ยังไงหรอกเพราะไม่เห็นเรือสักลำแต่เชื่อว่านั่นเป็นคำตอบที่ดีที่สุด
คนชราทั้งสองไม่ตอบ
“เดี๋ยวพวกเราจะพาคุณตาคุณยายกลับไปที่เกาะช้างด้วยกันนะครับ”ฉันดึงไหล่คุณตา มองหน้าแวบหนึ่งของอีกฝ่าย สายตาของสองเราจดจ้องกัน วินาทีนั้นฉันก็รู้สึกได้ว่าหัวใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม
ใบหน้าของตาเฒ่าเละเน่า ลูกตาข้างหนึ่งถลนออกมาจากเบ้า เศษเนื้อหลุดออกมาเป็นแผ่นๆแลดูสกปรกและน่าขยะแขยง เลือดชโลมท่วมริมฝีปากที่ขาดแหว่ง เผยให้เห็นกระดูกฟันเรียงกันเป็นตับ ดวงตาสีเหลืองสว่างวาวโรจน์และเสียงแหบพร่าอันน่าขนลุกทำให้ฉันตกใจสุดขีดกรีดร้องเสียงหลง เขยิบถอยออกมาพร้อมกับเน็ก
“เหี้-!!!! ผี!!!!!“เน็กตะโกนชื่อสัตว์โลกน่ารักออกไปหนึ่งตัวก่อนจะกระโดดหนีห่างจากคุณยาย
“ซอมบี้!!!!!!!”เราสบตามองศพเดินได้ด้วยความตื่นกลัว
ในตอนนั้นเองคุณตาและคุณยายก็หันกลับมามองพวกเรา แล้วก็เดินย่ำช้าๆตรงเข้ามาหา แขนผอมลีบยกขึ้นไขว่คว้าหาร่างของพวกเรา ยิ่งเห็นท่าทางเชิญชวนอันน่าสยดสยองนั้นแล้วสองพี่น้องก็ไม่คิดอะไรอีกนอกจากร้องเสียงดังก้องป่าแล้วก็โกยแน่บ วิ่งเตลิดอย่างไม่รู้ทิศทาง
พวกเราไม่หันกลับไปมองด้านหลัง ได้ยินเพียงเสียงกรีดร้องของตัวเองก้องดังจนขวัญหนีดีฝ่อ เน็กวิ่งสะดุดขอนไม้ หน้าคะมำลงข้างทาง เขาจุกเจ็บและสติวูบไปหลายวินาที
“ลุกขึ้นเน็ก!”ฉันกล่าวด้วยความตื่นกลัว รีบกระชากแขนพี่ชาย สายตาหันหลังกลับไปมองสองตายายที่เดินฝ่าพงหญ้าตรงมาหาก็ยิ่งตกใจเข้าไปใหญ่ “มันมาแล้ว!” ฉันฉวยปืนของเน็กจากกองใบไม้ กดโกร่งไกเสียกระสุนไปหลายนัดให้กับร่างของศพเดินได้ เศษเนื้อเศษกระดูกแตกกระจาย หากแต่พวกมันก็ยังเดินได้ ส่งเสียงร้องสะท้อนกลับมา ถลาตัวเข้าหาด้วยใบหน้าเปื้อนเลือด แลดูยิ่งน่าพรั่นพรึ่งหวาดผวาจนฉันไม่กล้าลั่นกระสุนนัดสุดท้าย
เน็กพลิกตัวตะเกียกตะกายลุกแล้ววิ่งติดตามฉันไปจนถึงชายฝั่ง เราสองคนกระโดดลงไปในน้ำ ว่ายท่าฟรีสไตล์กลับไปที่เรือใบได้เร็วกว่าไมเคิล เฟลป์ - นักกีฬาว่ายน้ำเหรียญทองโอลิมปิก
“เอาเรือออก!”ไม่ต้องบอกก็รู้ ฉันไม่รอช้ารีบสตาร์ทเครื่องยนต์แล่นเรือออกจากชายฝั่งในทันที
ในตอนนั้นฝนตกปอยๆ เสียงครืนๆและเมฆสีเทาทำให้บรรยากาศยิ่งน่ากลัว เน็กแทบสะดุ้งในยามที่ซอมบี้สองตัวเดินมาส่งพวกเรา(เหรอ?)ถึงชายฝั่ง ดวงตาสว่างวาบราวกับแสงไฟนีออนจดจ้องมองพวกเรานิ่งๆ พวกมันเอียงคอมองพวกเราช้าๆ เสียงแหบพร่าเลือนหายไปในสายฝนพรำ
เรือใบแล่นผ่านถ้ำ บรรดาค้างคาวบินว่อน ส่งเสียงร้องดังกังวานก้อง พวกมันโฉบเฉี่ยวไปมาเหนือศีรษะราวกับต้องการจะข่มขู่พวกเรา โชคดีที่สองพี่น้องไม่ได้รับบาดเจ็บ พวกเราสามารถหลบหลีกฝูงค้างคาวกระหายเลือดนั่นออกมาจากลากูนได้ในที่สุด
ภายนอกท้องฟ้ายังคงสว่างไสวไร้หมอกเมฆ เสียงคลื่นซัดซ่าทำให้ใจชื้นขึ้นอีกครั้ง เราสองคนถอนหายใจอย่างโลกอก
“ผีจริงรึเปล่าวะ”ฉันยังคงตั้งคำถามด้วยความสงสัย หากแต่สิ่งที่เราสองเห็นพิสูจน์ด้วยตาว่าใช่ ไม่มีทางเป็นคนที่หลงทางแล้วแต่งตัวเลียนแบบซอมบี้กลางเกาะร้างแบบนี้หรอก เรื่องแบบนั้นมีแค่ในการ์ตูน
“แกไม่เห็นเหรอว่าสภาพของพวกมันเป็นยังไง นี่เลือดยังเปื้อนเสื้ออยู่เลย”เน็กบ่นพลางดึงแขนเสื้อ “สองคนนั่นคงตายสักพักแล้วล่ะ”
“ถ้าหากตายไปแล้วพวกมันเดินได้ยังไง”
“พวกมันเป็นผี แกบอกเองว่าพวกมันเป็นซอมบี้”
ฉันไม่อยากให้สิ่งที่ฉันพูดไปตอนตกใจสุดขีดเป็นความจริง พวกเราหยุดคิดไปครู่หนึ่ง นึกทบทวนภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ “จะเอายังไงต่อ”
“กลับ!”เน็กตระเบ็งเสียงเข้ม ออกคำสั่งราวกับโจรสลัด คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ฉันไม่แปลกใจหรอกหากพี่ชายจะเปลี่ยนใจเร็วถึงเพียงนี้
“พี่จะกลับมาสำรวจเกาะนี้อีกหรือเปล่า”
“ไม่มีทาง!”
\\\\\\\\\
เดี๋ยวมาต่อตอนหน้านะจ๊ะ ช่วงนี้ปั่น 2 เรื่อง 55
ม้วฟ ม้วฟ
Pakkie Davie