.
ฉันจำไม่ได้แล้วว่าตกหลุมรักเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ จำได้แค่ว่าครั้งแรกที่ได้รู้จักก็ไม่ชอบหน้าเขาเอาเสียเลย คนอะไรขี้เก๊ก วางท่าอวดเก่ง และยังพูดจายียวนกวนประสาทอีก นึกแล้วยังรู้สึกหมั่นไส้ไม่หาย
ฉันเพิ่งเข้ามาทำงานใน ‘บริษัทกำจัดรัก’ ฟังดูไม่ค่อยน่าเข้ามาทำงานสักเท่าไหร่นัก แต่ฉันก็ยื่นใบสมัครมาที่นี่ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ธุรการและพบว่างานไม่ได้หนักหนาอะไรแถมเงินเดือนยังสูงถึงสี่หมื่นบูทาเลยทีเดียว ก็นี่ละคือแรงจูงใจที่ทำให้อยากเข้ามาทำงานในบริษัทที่ไม่มีชื่อเสียงอะไรเลย บอกใครก็ไม่มีใครรู้จักจนคร้านจะบอกให้เสียเวลา
และในวันนี้คือเช้าวันที่สองของการทำงาน ฉันนำเอกสารลูกค้ารายสำคัญมาให้เขา เขา..ผู้เป็น ‘นักกำจัดรัก’ คนในบริษัทต่างเรียกเขาว่า
‘มารดำ’ ฉันไม่แน่ใจว่านั้นเป็นชื่อจริงของเขาหรือแค่ฉายาที่คนในบริษัทตั้งให้กันแน่
แต่ก็ไม่คิดที่จะถามให้มากความ..หน้าที่ของฉันเพียงแค่จัดเรียงรายชื่อลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการกับบริษัท นำข้อมูลของลูกค้าส่งต่อมาให้นักกำจัดรัก ... พวกเขานักกำจัดรัก(ซึ่งมีหลายคนพอสมควรเท่าที่ฉันรู้ในเวลานี้)จะศึกษาข้อมูลรายละเอียดของลูกค้าจนครบถ้วน ก่อนจะเดินทางไปหาเป้าหมาย
และเริ่มปฏิบัติการเยียวยารักษาหัวใจช้ำรักของลูกค้าให้ลบเลือนหายออกไปจากความรู้สึก ไม่ให้ก่อเกิดความรู้สึกรักใครได้อีก ฟังดูโหดร้ายอยู่เหมือนกัน แต่นี่ละงานของบริษัท หาทางกำจัดความรักออกจากหัวใจคนให้ได้ ไม่ยากจนเกินไปและไม่ง่ายเช่นกัน
ฉันเองเกิดมาอายุยี่สิบเจ็ดปีเพิ่งเคยรู้ว่ามีงานแบบนี้อยู่บนโลกด้วย จากการตกงานมาหลายเดือน สมัครงงานที่ไหนมักได้คำตอบว่า ‘แล้วจะติดต่อกลับมา’ รอแล้วรอเล่าไม่เห็นมีวี่แววติดต่อกลับมาเลยสักที่ จนท้อแท้และสิ้นหวัง
กระทั่งในค่ำคืนหนึ่งเป็นคืนเดือนมืด ดวงดาวเปล่งประกายระยิบระยับ สายลมเย็นเยียบพัดผ่านผิวกาย แสงไฟนีออนส่องสว่างอยู่ริมทาง ถนนสายเปลี่ยว ฉันเดินกลับห้องพักด้วยหัวใจห่อเหี่ยว จะทำอย่างไรดีเมื่อไม่มีงานทำมาสามเดือนแล้ว ถ้าเดือนนี้ยังหางานไม่ได้ คงไม่มีเงินจ่ายค่าห้องเช่า จะหอบเสื้อผ้ากลับบ้านนา ก็หวนนึกถึงพ่อแม่และน้องชายที่กำลังจะขึ้นม.4 พวกเขาทั้งสามจะมีเงินที่ไหนไว้ใช้ในแต่ละวัน
ฉันผู้เป็นเสาหลักให้ครอบครัว ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด เงินเก็บที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดก็ส่งไปให้พ่อกับแม่หมดแล้ว นี่ยังไม่กล้าบอกท่านทั้งสองว่าตัวเองตกงาน
เดินกลับห้องพักในซอยเปลี่ยวไร้ผู้คน ความคิดเลื่อนลอยจนไปสะดุดกับใบปลิวประกาศรับสมัครพนักงานติดไว้ตรงเสาไฟฟ้า
บริษัทกำจัดรักจำกัด
รับสมัครตำแหน่งเจ้าหน้าที่ธุรการ อายุ 25 ปีขึ้นไป เพศหญิง
วุฒิการศึกษา ไม่ระบุ
เงินเดือน 40,000 บูทา
สมัครได้ทางโทรศัพท์ ช่องทางเดียวเท่านั้น
เบอร์โทรศัพท์ 082-01010101 สามารถโทรสมัครได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ฉันตาลุกวาวเมื่อเห็นจำนวนเงินเดือนที่สูงกว่างานเก่าหลายเท่าตัว ตัดสินใจได้โดยเร็วด้วยโทรศัพท์ไปสมัครงาน ในใบปลิวระบุว่าสมัครได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่ยังหวั่นใจกลัวจะไม่มีใครรับสาย เพราะในเวลานี้สามทุ่มครึ่งแล้ว
ทว่ารอสายเพียงไม่นาน มีเสียงผู้หญิงพูดกรอกมาตามสาย น้ำเสียงของเธอนุ่มนวล สดใสและสุภาพ
‘สวัสดีค่ะบริษัทกำจัดรักค่ะ’
‘เอ่อ สวัสดีค่ะ’ ฉันตอบกลับตะกุกตะกักตื่นเต้นจนนึกคำพูดตัวเองไม่ออกก็เพราะน้ำเสียงหวานซึ้งไพเราะทางปลายสายนี่แหละ
‘ต้องการสมัครงานกับทางบริษัทใช่ไหมคะ’
‘คุณรู้ได้ยังกันคะว่าฉันต้องการสมัครงาน’ ฉันโพล่งถามออกไปด้วยความตกใจเพราะยังไม่ได้บอกรายละเอียดกับคนที่พูดคุยด้วยสักคำ
‘เบอร์โทรศัพท์หมายเลขนี้ ทางบริษัทมีไว้สำหรับให้โทรมาสมัครงานเท่านั้นค่ะ ว่าแต่คุณจะ สมัครงานกับทางบริษัทเราใช่ไหมคะ’
‘ค่ะ’ ฉันตอบทันที
‘ขอทราบชื่อสกุลผู้สมัครงานด้วยค่ะ’
‘หยาดฝน แสงสุริยาค่ะ’
เธอให้ที่ตั้งบริษัทแก่ฉันและบอกให้เดินทางมารายงานตัวที่บริษัทในวันพรุ่งนี้ ได้งานง่ายๆแบบนี้เลย ฉันกระโดดโลดเต้นด้วยความดีอกดีใจ
“เพิ่งเข้ามาทำงานใหม่เหรอ” เสียงทุ้มห้าว ฟังดูแข็งกระด้างอยู่ในทีเอ่ยถามฉันโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง สายตาจับจ้องอยู่กับแฟ้มเอกสารที่ฉันเพิ่งยื่นให้เขา
“ค่ะ” ฉันตอบเพียงสั้นๆ
“ชอบที่นี่ไหม” เขาเอ่ยถามอีกครั้ง แต่ยังไม่เงยหน้ามองผู้ถูกถาม
“ค่ะ”
“คุณชื่ออะไร” คราวนี้เหลือบสายตาขึ้นมามองหน้าฉันเพียงเล็กน้อยก่อนจะก้มลงไปอ่านเอกสารบนโต๊ะอีกครั้ง
“หยาดฝนค่ะ”
“ชื่อเพราะดี”
“ขอบคุณค่ะ”
“มีแฟนหรือยัง” เขาถามต่อ แต่ฉันคิดว่าเป็นคำถามที่ล้ำเส้นความเป็นส่วนตัวเกินไป
“ฉันคิดว่า เรื่องนี้ฉันไม่จำเป็นต้องบอกคุณ”
เขาเหลือบหางตาขึ้นมามองฉันอีกครั้ง ก่อนจะก้มมองเอกสารบนโต๊ะ
“คุณอ่านรายละเอียดของลูกค้ารายนี้แล้วใช่ไหม” น้ำเสียงจริงจังขึ้นเมื่อเข้าประเด็นของงานที่ต้องทำ เขาฉลาดพอที่จะไม่ถามต่อและเลี่ยงไปเรื่องอื่นเสีย
เขาเลื่อนแฟ้มเอกสารบนโต๊ะออกห่างตัว เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ มือสองข้างประสานกันอยู่บนโต๊ะ และเงยหน้าจ้องมองพนักงานน้องใหม่
“ค่ะ”
“งั้นเล่าให้ผมฟังเกี่ยวกับลูกค้ารายนี้หน่อย”
ฉันนึกไม่ชอบใจขึ้นมา ไหนบอกแค่ให้นำเอกสารลูกค้ามาให้เฉยๆไงล่ะและที่เหลือ นักจำกัดรักจะเป็นผู้อ่านรายละเอียดเอง แล้วนี้อะไร จะอ่านเองอยู่แล้วต้องให้ฉันบอกเกี่ยวกับลูกค้าอีก จนอดคิดไม่ได้ว่า นายมารดำต้องการแกล้งฉันแน่ๆ
“ลูกค้ารายนี้ชื่อ
เลดี้สตาร์ บรู๊ด อายุ สามสิบปี เป็นบุตรสาวคนเดียวของ
ท่านเคาน์แฮนรี่ บรู๊ด ผู้ปกครองคฤหาสน์แสงจันทร์บนเกาะรัตติกาล เลดี้สตาร์คบหากับ
แจ๊ค สแปโรวาเรนติโน โจรสลัดแห่งมหาสมุทร ว่ากันว่าสแปโรวาเรนติโนเป็นบุคคลใครๆหาตัวจับได้ยากมาก บางคนถึงกับเล่าลือกันว่า แจ๊คคือปิศาจร้ายแห่งท้องทะเล
ในค่ำคืนพายุโหมกระหน่ำบนเกาะรัตติกาล เลดี้สตาร์นั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง เหลียวมองเห็นแจ๊คเดินฝ่าพายุฝนตรงมายังปราสาท ทว่าเดินมาถึงเพียงลานหญ้าหน้าปราสาท ร่างเปียกโชกก็ล้มลง เลดี้สตาร์วิ่งลงมาจากชั้นสอง เรียกคนรับใช้ติดตามไปด้วยสองคนเพื่อมาช่วยชายแปลกหน้า
แจ๊คบาดเจ็บสาหัส ร่างกายบอบช้ำ มีบาดแผลเต็มตัว เลดี้สตาร์ให้การช่วยเหลือ ดูแลรักษาเขาเป็นเวลาหลายเดือน จนก่อเกิดเป็นความรักใคร่ พวกเขาปรารถนาที่จะครองคู่กัน ทว่าเมื่อท่านเคาน์แฮนรี่สืบรู้มาว่าแจ๊คเป็นเพียงโจรสลัดหมู่ชนชั้นต่ำไร้ค่า ไม่คู่ควรกับบุตรสาวตน จึงสั่งทหารให้จับแจ๊คไปแขวนคอ เลดี้สตาร์อ้อนวอนบิดา ร่ำไห้จนน้ำตาเป็นสายเลือดเพื่อขอชีวิตคนรัก ท่านเคาน์สงสารบุตรจับใจ จำต้องปล่อยแจ๊คไป และออกคำสั่งเด็ดขาดห้ามแจ๊คมาที่เกาะรัตติกาลอีก ถ้าเจอจะฆ่าทิ้งไม่มีการปรานีใดๆทั้งสิ้น
แจ๊ค สแปโรวาเรนตินา ถูกโยนลงทะเลพร้อมเรือพายลำเล็ก เลดี้สตาร์เสียใจอย่างหนัก ข้าวปลาอาหารไม่ยอมกินร่างกายซูบผอมอ่อนแรง จนเจ็บไข้ได้ป่วยจวนเกือบตายมาแล้ว ทว่าพอหายดีเลดี้สตาร์กลับคิดฆ่าตัวตาย ด้วยการเดินลงทะเลในช่วงที่เกิดพายุลมแรง โชคดีที่คนรับใช้เข้าไปเห็นจึงช่วยได้ทันเวลา แผนการครั้งนั้นไม่สำเร็จ จึงคิดแขวนคอตายในห้องนอนตัวเอง บิดาเข้ามาเห็นจึงช่วยได้ทันอีกคราว ท่านเคาน์ไม่ยอมให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก ท่านรู้ดีว่า หากการพยายามฆ่าตัวตายในสามครั้งแรกไม่สำเร็จ ครั้งที่สี่จะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน ท่านจึงขังบุตรสาวเอาไว้ในห้องด้วยการล่ามโซ่ตรวนไว้ที่ข้อเท้านาง”
ฉันหยุดเล่าเพียงเท่านี้ เพราะรู้สึกเศร้าและเห็นใจเลดี้สตาร์ บรู๊ดจนไม่อาจเล่าต่อ
ฝ่ายคนนั่งฟังขยับริมฝีปากคล้ายจะยิ้ม ฉันเหลือบไปเห็นพอดี เดาว่าเขาคงรู้สึกพอใจอยู่ไม่น้อยที่พนักงานน้องใหม่รู้รายละเอียดในเอกสาร นั่นแสดงให้เห็นเขาต้องการลองเชิงฉันแน่ๆ คงคิดว่าฉันจะไม่เตรียมตัวอ่านงานมาก่อนละสิ
“ท่านเคาน์แฮนรี่เขียนจดหมายถึงบริษัทให้เราเข้าไปรักษาเลดี้สตาร์ กำจัดรักออกไปจากหัวใจนาง ถึงเวลานั้นนางคงไม่เศร้าซึมเสียใจอีกต่อไป” ผู้ได้ฉายาว่ามารดำเป็นคนพูดต่อในขณะที่ฉันยกมือปาดน้ำตา
“แล้วคุณรู้อะไรเกี่ยวกับคฤหาสน์แสงจันทร์ไหม” อยู่ดีๆเขาก็เอ่ยถามฉันแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
“ไม่ทราบค่ะ” และฉันก็ตอบได้โดยพลันแบบไม่ต้องคิด
“ตามประวัติศาสตร์เมื่อร้อยปีก่อนได้จารึกไว้ว่าคฤหาสน์แสงจันทร์บนเกาะรัตติกาลคือที่อยู่ของผีดูดเลือด เป็นถิ่นที่อยู่ที่พวกเขาอยู่มายาวนานนับร้อยปี คุณว่าพวกที่เหลืออยู่ ณ ปัจจุบันนี้จะเป็นผีดูดเลือดไหม”
และเขาก็เอ่ยถามในสิ่งที่ฉันไม่รู้อีกครั้ง
“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ แต่ฉันคิดว่าเรื่องผีดูดเลือดหรือแวมไพร์คงมีแต่ในหนังหรือในนิยายเท่านั้นล่ะค่ะ”
“ก็ไม่แน่นะคุณ” เขาเอ่ยขึ้นอย่างมีเลศนัย นัยน์ตาเปล่งประกายคล้ายซ่อนเร้นอะไรอยู่ภายในนั้น
และเขาก็ปล่อยเสียงหัวเราะลั่นห้อง เมื่อฉันแปลงเปลี่ยนสีหน้าเหมือนจะเชื่อในสิ่งที่เขาพูด
“ผมล้อเล่นน่ะคุณ .. อ่อ พรุ่งนี้คุณเตรียมตัวให้พร้อมนะ คุณต้องไปคฤหาสน์แสงจันทร์กับผมด้วย”
“ฉันต้องไปด้วยหรือคะ ฉันคิดว่า นักกำจัดรักจะไปคนเดียวเสียอีก”
“ผมต้องการผู้ช่วยนะคุณ และทั้งบริษัทก็เห็นจะมีแต่คุณที่ว่างอยู่ เฟิร์นไปกับนักกำจัดรักหมายเลขสอง แววไปกับนักกำจัดรักหมายเลขห้า น้อยนิดไปกับนักกำจัดรักหมายเลขสี่ โอลิวาไปกับนักกำจัดรักหมายเลขแปด ยูจินไปกับนักกำจัดรักหมายเลขหก ทุกคนดูจะไม่มีใครว่างเลย”
“แล้วคุณ.. เอ่อ .. เป็นนักกำจัดรักหมายเลขเท่าไหร่คะ”
“นัมเบอร์วันจ๊ะสาวน้อย... เอาล่ะ คุณกลับไปทำงานเถอะ ผมจะอ่านอะไรต่ออีกสักหน่อย”
“ค่ะ” ฉันหมุนกายรีบเดินตรงมาที่ประตู
“หยาดฝน... พรุ่งนี้คุณพกไม้กางเขนติดตัวไปด้วยก็ดีนะ พวกผีดูดเลือดกลัวน่ะ” น้ำเสียงในตอนท้ายของเขาแผ่วเบากระซิบกระซาบ ฉันละนึกหมั่นไส้นัก ยังจะมาพูดเล่นอยู่ได้ จึงเปิดประตูรีบเดินออกจากห้องอย่างรวดเร็ว
อากาศยามเช้าเย็นจนเกือบหนาวจัด ฉันยืนกอดอกขบกรามแน่นเพราะความหนาวแทรกผ่านเนื้อผ้าเข้ามาถึงผิวหนัง วันนี้ฉันไม่ได้พกเสื้อกันหนาวติดตัวมาด้วย ใครจะคิดว่าอากาศจะหนาวเหน็บได้ถึงเพียงนี้ เดือนนี้ทั้งเดือนอากาศร้อนอบอ้าวทุกวัน อยู่ดีๆก็มีลมหนาวพัดผ่านมาในวันที่ต้องออกภาคสนามครั้งแรก นึกแล้วก็แสนประหลาดนัก
ฉันยืนรอนักกำจัดรักนัมเบอร์วันอยู่ที่ท่าเรือ เขาบอกเพียงว่าจะไปทำธุระนิดหน่อยแล้วบอกให้ฉันมารอตรงนี้
“หนาวล่ะสิ” น้ำเสียงทุ้มห้าวดังขึ้นข้างๆฉัน หันไปดูเห็นเขายืนกัดแซนวิชเข้าปากด้วยความเอร็ดอร่อยแลดูหิวโซร่วมด้วย และฉันเผลอกลืนน้ำลายลงคอเพราะความหิว เมื่อเช้าตื่นเต้นมากจึงรีบมายังจุดนัดหมายแล้วลืมทานข้าวเช้า ว่าจะขอเวลาเขาไปกินข้าวก่อนก็เกรงใจ เพิ่งเข้ามาทำงานได้สามวันยังไม่อยากสร้างปัญหาให้ใคร และยังไม่รู้เลยว่าเขาจะลงเรือไปเกาะรัตติกาลตอนไหนกลัวจะเสียเวลาเปล่าๆ
“ใส่เสื้อซะ ลงเรือไปจะหนาวและพอไปถึงเกาะรัตติกาลจะยิ่งหนาวกว่านี้อีก”
ฉันเพิ่งสังเกตเห็นว่าเขาถือเสื้อคลุมขนสัตว์มีหมวกมาด้วย ฉันรีบรับมาสวมใส่ เสื้อคลุมสีฟ้ายาวจนถึงหัวเข่า ส่วนเขาใส่เสื้อโค้ตสีดำยาวปกคลุมถึงข้อเท้า
“ขอบคุณค่ะ” ฉันเอ่ยขอบคุณและเขาพูดต่อ สายตาเหม่อมองไปยังท้องทะเลเบื้องหน้า
“ก็น่าแปลกอยู่เหมือนกัน ในแถบคาบมหาสมุทรมาซาร์ เห็นจะมีเกาะรัตติกาล แห่งเดียวที่อุณหภูมิลดฮวบหนาวเหน็บราวกับเป็นเมืองหิมะ แต่ดันไม่มีหิมะตกซะงั้น คุณว่ามันพิลึกดีไหม”
“ไม่ทราบค่ะ ฉันไม่เคยไปที่นั้นมาก่อน หรือคุณเคยไปมาแล้วคะ”
“ไม่อ่ะครั้งนี้ครั้งแรก ผมถามคนแถวๆนี้น่ะ .. อ่อนี่ มีแซนวิชมาฝาก มีหลายไส้ด้วยนะ ผมไม่รู้ว่าคุณชอบกินไส้อะไรบ้างเลยกวาดมาหมด มีทั้งไส้ทูน่า ไส้ปูอัด ไส้สาหร่าย ไส้กุ้ง ไส้หมูหยอง คุณชอบอะไรก็เลือกเอาแล้วกัน ในถุงมีนมหลายรสให้คุณเลือกด้วยเหมือนกัน ผมซื้อมาฝากกินซะ”
พูดจบเขาก็ยื่นถุงก๊อปแก๊ปขนาดใหญ่ทีเดียวในถุงบรรจุของกินซึ่งมีมากกว่าที่เขาบอกไว้ด้วยซ้ำ ฉันยื่นมือไปรับ รู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจ คิดไม่ถึงว่าคนแบบนี้จะคิดถึงคนอื่นเป็นด้วย ความประทับใจแรกเกิดขึ้นในหัวใจ บางทีฉันอาจมองเขาผิดไป
“ไปกันเถอะเรือมารับแล้ว”
..
เรื่องสั้น : คฤหาสน์แสงจันทร์ แห่งเกาะรัตติกาล
ฉันจำไม่ได้แล้วว่าตกหลุมรักเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ จำได้แค่ว่าครั้งแรกที่ได้รู้จักก็ไม่ชอบหน้าเขาเอาเสียเลย คนอะไรขี้เก๊ก วางท่าอวดเก่ง และยังพูดจายียวนกวนประสาทอีก นึกแล้วยังรู้สึกหมั่นไส้ไม่หาย
ฉันเพิ่งเข้ามาทำงานใน ‘บริษัทกำจัดรัก’ ฟังดูไม่ค่อยน่าเข้ามาทำงานสักเท่าไหร่นัก แต่ฉันก็ยื่นใบสมัครมาที่นี่ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ธุรการและพบว่างานไม่ได้หนักหนาอะไรแถมเงินเดือนยังสูงถึงสี่หมื่นบูทาเลยทีเดียว ก็นี่ละคือแรงจูงใจที่ทำให้อยากเข้ามาทำงานในบริษัทที่ไม่มีชื่อเสียงอะไรเลย บอกใครก็ไม่มีใครรู้จักจนคร้านจะบอกให้เสียเวลา
และในวันนี้คือเช้าวันที่สองของการทำงาน ฉันนำเอกสารลูกค้ารายสำคัญมาให้เขา เขา..ผู้เป็น ‘นักกำจัดรัก’ คนในบริษัทต่างเรียกเขาว่า ‘มารดำ’ ฉันไม่แน่ใจว่านั้นเป็นชื่อจริงของเขาหรือแค่ฉายาที่คนในบริษัทตั้งให้กันแน่
แต่ก็ไม่คิดที่จะถามให้มากความ..หน้าที่ของฉันเพียงแค่จัดเรียงรายชื่อลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการกับบริษัท นำข้อมูลของลูกค้าส่งต่อมาให้นักกำจัดรัก ... พวกเขานักกำจัดรัก(ซึ่งมีหลายคนพอสมควรเท่าที่ฉันรู้ในเวลานี้)จะศึกษาข้อมูลรายละเอียดของลูกค้าจนครบถ้วน ก่อนจะเดินทางไปหาเป้าหมาย
และเริ่มปฏิบัติการเยียวยารักษาหัวใจช้ำรักของลูกค้าให้ลบเลือนหายออกไปจากความรู้สึก ไม่ให้ก่อเกิดความรู้สึกรักใครได้อีก ฟังดูโหดร้ายอยู่เหมือนกัน แต่นี่ละงานของบริษัท หาทางกำจัดความรักออกจากหัวใจคนให้ได้ ไม่ยากจนเกินไปและไม่ง่ายเช่นกัน
ฉันเองเกิดมาอายุยี่สิบเจ็ดปีเพิ่งเคยรู้ว่ามีงานแบบนี้อยู่บนโลกด้วย จากการตกงานมาหลายเดือน สมัครงงานที่ไหนมักได้คำตอบว่า ‘แล้วจะติดต่อกลับมา’ รอแล้วรอเล่าไม่เห็นมีวี่แววติดต่อกลับมาเลยสักที่ จนท้อแท้และสิ้นหวัง
กระทั่งในค่ำคืนหนึ่งเป็นคืนเดือนมืด ดวงดาวเปล่งประกายระยิบระยับ สายลมเย็นเยียบพัดผ่านผิวกาย แสงไฟนีออนส่องสว่างอยู่ริมทาง ถนนสายเปลี่ยว ฉันเดินกลับห้องพักด้วยหัวใจห่อเหี่ยว จะทำอย่างไรดีเมื่อไม่มีงานทำมาสามเดือนแล้ว ถ้าเดือนนี้ยังหางานไม่ได้ คงไม่มีเงินจ่ายค่าห้องเช่า จะหอบเสื้อผ้ากลับบ้านนา ก็หวนนึกถึงพ่อแม่และน้องชายที่กำลังจะขึ้นม.4 พวกเขาทั้งสามจะมีเงินที่ไหนไว้ใช้ในแต่ละวัน
ฉันผู้เป็นเสาหลักให้ครอบครัว ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด เงินเก็บที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดก็ส่งไปให้พ่อกับแม่หมดแล้ว นี่ยังไม่กล้าบอกท่านทั้งสองว่าตัวเองตกงาน
เดินกลับห้องพักในซอยเปลี่ยวไร้ผู้คน ความคิดเลื่อนลอยจนไปสะดุดกับใบปลิวประกาศรับสมัครพนักงานติดไว้ตรงเสาไฟฟ้า
บริษัทกำจัดรักจำกัด
รับสมัครตำแหน่งเจ้าหน้าที่ธุรการ อายุ 25 ปีขึ้นไป เพศหญิง
วุฒิการศึกษา ไม่ระบุ
เงินเดือน 40,000 บูทา
สมัครได้ทางโทรศัพท์ ช่องทางเดียวเท่านั้น
เบอร์โทรศัพท์ 082-01010101 สามารถโทรสมัครได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ฉันตาลุกวาวเมื่อเห็นจำนวนเงินเดือนที่สูงกว่างานเก่าหลายเท่าตัว ตัดสินใจได้โดยเร็วด้วยโทรศัพท์ไปสมัครงาน ในใบปลิวระบุว่าสมัครได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่ยังหวั่นใจกลัวจะไม่มีใครรับสาย เพราะในเวลานี้สามทุ่มครึ่งแล้ว
ทว่ารอสายเพียงไม่นาน มีเสียงผู้หญิงพูดกรอกมาตามสาย น้ำเสียงของเธอนุ่มนวล สดใสและสุภาพ
‘สวัสดีค่ะบริษัทกำจัดรักค่ะ’
‘เอ่อ สวัสดีค่ะ’ ฉันตอบกลับตะกุกตะกักตื่นเต้นจนนึกคำพูดตัวเองไม่ออกก็เพราะน้ำเสียงหวานซึ้งไพเราะทางปลายสายนี่แหละ
‘ต้องการสมัครงานกับทางบริษัทใช่ไหมคะ’
‘คุณรู้ได้ยังกันคะว่าฉันต้องการสมัครงาน’ ฉันโพล่งถามออกไปด้วยความตกใจเพราะยังไม่ได้บอกรายละเอียดกับคนที่พูดคุยด้วยสักคำ
‘เบอร์โทรศัพท์หมายเลขนี้ ทางบริษัทมีไว้สำหรับให้โทรมาสมัครงานเท่านั้นค่ะ ว่าแต่คุณจะ สมัครงานกับทางบริษัทเราใช่ไหมคะ’
‘ค่ะ’ ฉันตอบทันที
‘ขอทราบชื่อสกุลผู้สมัครงานด้วยค่ะ’
‘หยาดฝน แสงสุริยาค่ะ’
เธอให้ที่ตั้งบริษัทแก่ฉันและบอกให้เดินทางมารายงานตัวที่บริษัทในวันพรุ่งนี้ ได้งานง่ายๆแบบนี้เลย ฉันกระโดดโลดเต้นด้วยความดีอกดีใจ
“เพิ่งเข้ามาทำงานใหม่เหรอ” เสียงทุ้มห้าว ฟังดูแข็งกระด้างอยู่ในทีเอ่ยถามฉันโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง สายตาจับจ้องอยู่กับแฟ้มเอกสารที่ฉันเพิ่งยื่นให้เขา
“ค่ะ” ฉันตอบเพียงสั้นๆ
“ชอบที่นี่ไหม” เขาเอ่ยถามอีกครั้ง แต่ยังไม่เงยหน้ามองผู้ถูกถาม
“ค่ะ”
“คุณชื่ออะไร” คราวนี้เหลือบสายตาขึ้นมามองหน้าฉันเพียงเล็กน้อยก่อนจะก้มลงไปอ่านเอกสารบนโต๊ะอีกครั้ง
“หยาดฝนค่ะ”
“ชื่อเพราะดี”
“ขอบคุณค่ะ”
“มีแฟนหรือยัง” เขาถามต่อ แต่ฉันคิดว่าเป็นคำถามที่ล้ำเส้นความเป็นส่วนตัวเกินไป
“ฉันคิดว่า เรื่องนี้ฉันไม่จำเป็นต้องบอกคุณ”
เขาเหลือบหางตาขึ้นมามองฉันอีกครั้ง ก่อนจะก้มมองเอกสารบนโต๊ะ
“คุณอ่านรายละเอียดของลูกค้ารายนี้แล้วใช่ไหม” น้ำเสียงจริงจังขึ้นเมื่อเข้าประเด็นของงานที่ต้องทำ เขาฉลาดพอที่จะไม่ถามต่อและเลี่ยงไปเรื่องอื่นเสีย
เขาเลื่อนแฟ้มเอกสารบนโต๊ะออกห่างตัว เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ มือสองข้างประสานกันอยู่บนโต๊ะ และเงยหน้าจ้องมองพนักงานน้องใหม่
“ค่ะ”
“งั้นเล่าให้ผมฟังเกี่ยวกับลูกค้ารายนี้หน่อย”
ฉันนึกไม่ชอบใจขึ้นมา ไหนบอกแค่ให้นำเอกสารลูกค้ามาให้เฉยๆไงล่ะและที่เหลือ นักจำกัดรักจะเป็นผู้อ่านรายละเอียดเอง แล้วนี้อะไร จะอ่านเองอยู่แล้วต้องให้ฉันบอกเกี่ยวกับลูกค้าอีก จนอดคิดไม่ได้ว่า นายมารดำต้องการแกล้งฉันแน่ๆ
“ลูกค้ารายนี้ชื่อเลดี้สตาร์ บรู๊ด อายุ สามสิบปี เป็นบุตรสาวคนเดียวของท่านเคาน์แฮนรี่ บรู๊ด ผู้ปกครองคฤหาสน์แสงจันทร์บนเกาะรัตติกาล เลดี้สตาร์คบหากับแจ๊ค สแปโรวาเรนติโน โจรสลัดแห่งมหาสมุทร ว่ากันว่าสแปโรวาเรนติโนเป็นบุคคลใครๆหาตัวจับได้ยากมาก บางคนถึงกับเล่าลือกันว่า แจ๊คคือปิศาจร้ายแห่งท้องทะเล
ในค่ำคืนพายุโหมกระหน่ำบนเกาะรัตติกาล เลดี้สตาร์นั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง เหลียวมองเห็นแจ๊คเดินฝ่าพายุฝนตรงมายังปราสาท ทว่าเดินมาถึงเพียงลานหญ้าหน้าปราสาท ร่างเปียกโชกก็ล้มลง เลดี้สตาร์วิ่งลงมาจากชั้นสอง เรียกคนรับใช้ติดตามไปด้วยสองคนเพื่อมาช่วยชายแปลกหน้า
แจ๊คบาดเจ็บสาหัส ร่างกายบอบช้ำ มีบาดแผลเต็มตัว เลดี้สตาร์ให้การช่วยเหลือ ดูแลรักษาเขาเป็นเวลาหลายเดือน จนก่อเกิดเป็นความรักใคร่ พวกเขาปรารถนาที่จะครองคู่กัน ทว่าเมื่อท่านเคาน์แฮนรี่สืบรู้มาว่าแจ๊คเป็นเพียงโจรสลัดหมู่ชนชั้นต่ำไร้ค่า ไม่คู่ควรกับบุตรสาวตน จึงสั่งทหารให้จับแจ๊คไปแขวนคอ เลดี้สตาร์อ้อนวอนบิดา ร่ำไห้จนน้ำตาเป็นสายเลือดเพื่อขอชีวิตคนรัก ท่านเคาน์สงสารบุตรจับใจ จำต้องปล่อยแจ๊คไป และออกคำสั่งเด็ดขาดห้ามแจ๊คมาที่เกาะรัตติกาลอีก ถ้าเจอจะฆ่าทิ้งไม่มีการปรานีใดๆทั้งสิ้น
แจ๊ค สแปโรวาเรนตินา ถูกโยนลงทะเลพร้อมเรือพายลำเล็ก เลดี้สตาร์เสียใจอย่างหนัก ข้าวปลาอาหารไม่ยอมกินร่างกายซูบผอมอ่อนแรง จนเจ็บไข้ได้ป่วยจวนเกือบตายมาแล้ว ทว่าพอหายดีเลดี้สตาร์กลับคิดฆ่าตัวตาย ด้วยการเดินลงทะเลในช่วงที่เกิดพายุลมแรง โชคดีที่คนรับใช้เข้าไปเห็นจึงช่วยได้ทันเวลา แผนการครั้งนั้นไม่สำเร็จ จึงคิดแขวนคอตายในห้องนอนตัวเอง บิดาเข้ามาเห็นจึงช่วยได้ทันอีกคราว ท่านเคาน์ไม่ยอมให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก ท่านรู้ดีว่า หากการพยายามฆ่าตัวตายในสามครั้งแรกไม่สำเร็จ ครั้งที่สี่จะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน ท่านจึงขังบุตรสาวเอาไว้ในห้องด้วยการล่ามโซ่ตรวนไว้ที่ข้อเท้านาง”
ฉันหยุดเล่าเพียงเท่านี้ เพราะรู้สึกเศร้าและเห็นใจเลดี้สตาร์ บรู๊ดจนไม่อาจเล่าต่อ
ฝ่ายคนนั่งฟังขยับริมฝีปากคล้ายจะยิ้ม ฉันเหลือบไปเห็นพอดี เดาว่าเขาคงรู้สึกพอใจอยู่ไม่น้อยที่พนักงานน้องใหม่รู้รายละเอียดในเอกสาร นั่นแสดงให้เห็นเขาต้องการลองเชิงฉันแน่ๆ คงคิดว่าฉันจะไม่เตรียมตัวอ่านงานมาก่อนละสิ
“ท่านเคาน์แฮนรี่เขียนจดหมายถึงบริษัทให้เราเข้าไปรักษาเลดี้สตาร์ กำจัดรักออกไปจากหัวใจนาง ถึงเวลานั้นนางคงไม่เศร้าซึมเสียใจอีกต่อไป” ผู้ได้ฉายาว่ามารดำเป็นคนพูดต่อในขณะที่ฉันยกมือปาดน้ำตา
“แล้วคุณรู้อะไรเกี่ยวกับคฤหาสน์แสงจันทร์ไหม” อยู่ดีๆเขาก็เอ่ยถามฉันแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
“ไม่ทราบค่ะ” และฉันก็ตอบได้โดยพลันแบบไม่ต้องคิด
“ตามประวัติศาสตร์เมื่อร้อยปีก่อนได้จารึกไว้ว่าคฤหาสน์แสงจันทร์บนเกาะรัตติกาลคือที่อยู่ของผีดูดเลือด เป็นถิ่นที่อยู่ที่พวกเขาอยู่มายาวนานนับร้อยปี คุณว่าพวกที่เหลืออยู่ ณ ปัจจุบันนี้จะเป็นผีดูดเลือดไหม”
และเขาก็เอ่ยถามในสิ่งที่ฉันไม่รู้อีกครั้ง
“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ แต่ฉันคิดว่าเรื่องผีดูดเลือดหรือแวมไพร์คงมีแต่ในหนังหรือในนิยายเท่านั้นล่ะค่ะ”
“ก็ไม่แน่นะคุณ” เขาเอ่ยขึ้นอย่างมีเลศนัย นัยน์ตาเปล่งประกายคล้ายซ่อนเร้นอะไรอยู่ภายในนั้น
และเขาก็ปล่อยเสียงหัวเราะลั่นห้อง เมื่อฉันแปลงเปลี่ยนสีหน้าเหมือนจะเชื่อในสิ่งที่เขาพูด
“ผมล้อเล่นน่ะคุณ .. อ่อ พรุ่งนี้คุณเตรียมตัวให้พร้อมนะ คุณต้องไปคฤหาสน์แสงจันทร์กับผมด้วย”
“ฉันต้องไปด้วยหรือคะ ฉันคิดว่า นักกำจัดรักจะไปคนเดียวเสียอีก”
“ผมต้องการผู้ช่วยนะคุณ และทั้งบริษัทก็เห็นจะมีแต่คุณที่ว่างอยู่ เฟิร์นไปกับนักกำจัดรักหมายเลขสอง แววไปกับนักกำจัดรักหมายเลขห้า น้อยนิดไปกับนักกำจัดรักหมายเลขสี่ โอลิวาไปกับนักกำจัดรักหมายเลขแปด ยูจินไปกับนักกำจัดรักหมายเลขหก ทุกคนดูจะไม่มีใครว่างเลย”
“แล้วคุณ.. เอ่อ .. เป็นนักกำจัดรักหมายเลขเท่าไหร่คะ”
“นัมเบอร์วันจ๊ะสาวน้อย... เอาล่ะ คุณกลับไปทำงานเถอะ ผมจะอ่านอะไรต่ออีกสักหน่อย”
“ค่ะ” ฉันหมุนกายรีบเดินตรงมาที่ประตู
“หยาดฝน... พรุ่งนี้คุณพกไม้กางเขนติดตัวไปด้วยก็ดีนะ พวกผีดูดเลือดกลัวน่ะ” น้ำเสียงในตอนท้ายของเขาแผ่วเบากระซิบกระซาบ ฉันละนึกหมั่นไส้นัก ยังจะมาพูดเล่นอยู่ได้ จึงเปิดประตูรีบเดินออกจากห้องอย่างรวดเร็ว
อากาศยามเช้าเย็นจนเกือบหนาวจัด ฉันยืนกอดอกขบกรามแน่นเพราะความหนาวแทรกผ่านเนื้อผ้าเข้ามาถึงผิวหนัง วันนี้ฉันไม่ได้พกเสื้อกันหนาวติดตัวมาด้วย ใครจะคิดว่าอากาศจะหนาวเหน็บได้ถึงเพียงนี้ เดือนนี้ทั้งเดือนอากาศร้อนอบอ้าวทุกวัน อยู่ดีๆก็มีลมหนาวพัดผ่านมาในวันที่ต้องออกภาคสนามครั้งแรก นึกแล้วก็แสนประหลาดนัก
ฉันยืนรอนักกำจัดรักนัมเบอร์วันอยู่ที่ท่าเรือ เขาบอกเพียงว่าจะไปทำธุระนิดหน่อยแล้วบอกให้ฉันมารอตรงนี้
“หนาวล่ะสิ” น้ำเสียงทุ้มห้าวดังขึ้นข้างๆฉัน หันไปดูเห็นเขายืนกัดแซนวิชเข้าปากด้วยความเอร็ดอร่อยแลดูหิวโซร่วมด้วย และฉันเผลอกลืนน้ำลายลงคอเพราะความหิว เมื่อเช้าตื่นเต้นมากจึงรีบมายังจุดนัดหมายแล้วลืมทานข้าวเช้า ว่าจะขอเวลาเขาไปกินข้าวก่อนก็เกรงใจ เพิ่งเข้ามาทำงานได้สามวันยังไม่อยากสร้างปัญหาให้ใคร และยังไม่รู้เลยว่าเขาจะลงเรือไปเกาะรัตติกาลตอนไหนกลัวจะเสียเวลาเปล่าๆ
“ใส่เสื้อซะ ลงเรือไปจะหนาวและพอไปถึงเกาะรัตติกาลจะยิ่งหนาวกว่านี้อีก”
ฉันเพิ่งสังเกตเห็นว่าเขาถือเสื้อคลุมขนสัตว์มีหมวกมาด้วย ฉันรีบรับมาสวมใส่ เสื้อคลุมสีฟ้ายาวจนถึงหัวเข่า ส่วนเขาใส่เสื้อโค้ตสีดำยาวปกคลุมถึงข้อเท้า
“ขอบคุณค่ะ” ฉันเอ่ยขอบคุณและเขาพูดต่อ สายตาเหม่อมองไปยังท้องทะเลเบื้องหน้า
“ก็น่าแปลกอยู่เหมือนกัน ในแถบคาบมหาสมุทรมาซาร์ เห็นจะมีเกาะรัตติกาล แห่งเดียวที่อุณหภูมิลดฮวบหนาวเหน็บราวกับเป็นเมืองหิมะ แต่ดันไม่มีหิมะตกซะงั้น คุณว่ามันพิลึกดีไหม”
“ไม่ทราบค่ะ ฉันไม่เคยไปที่นั้นมาก่อน หรือคุณเคยไปมาแล้วคะ”
“ไม่อ่ะครั้งนี้ครั้งแรก ผมถามคนแถวๆนี้น่ะ .. อ่อนี่ มีแซนวิชมาฝาก มีหลายไส้ด้วยนะ ผมไม่รู้ว่าคุณชอบกินไส้อะไรบ้างเลยกวาดมาหมด มีทั้งไส้ทูน่า ไส้ปูอัด ไส้สาหร่าย ไส้กุ้ง ไส้หมูหยอง คุณชอบอะไรก็เลือกเอาแล้วกัน ในถุงมีนมหลายรสให้คุณเลือกด้วยเหมือนกัน ผมซื้อมาฝากกินซะ”
พูดจบเขาก็ยื่นถุงก๊อปแก๊ปขนาดใหญ่ทีเดียวในถุงบรรจุของกินซึ่งมีมากกว่าที่เขาบอกไว้ด้วยซ้ำ ฉันยื่นมือไปรับ รู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจ คิดไม่ถึงว่าคนแบบนี้จะคิดถึงคนอื่นเป็นด้วย ความประทับใจแรกเกิดขึ้นในหัวใจ บางทีฉันอาจมองเขาผิดไป
“ไปกันเถอะเรือมารับแล้ว”
..