เรื่องสั้น : คฤหาสน์แสงจันทร์ แห่งเกาะรัตติกาล ตอนจบ

.

เห็นนิยายหลายท่านวางบนถนน แต่ไม่มีเวลาได้เข้ามาอ่าน ช่วงนี้ยุ่งๆมากมายหลายเรื่องค่ะ ต้องขออภัยด้วยนะคะ และนี่ก็ตั้งใจมาบอกลา (ลาพักร้อนสักพักค่ะ แหะ.. มีลาพักร้อนด้วย) มีภารกิจยุ่งๆให้จัดการหลายเรื่อง อาจไม่มีเวลามาอ่านงานทุกท่านบ่อยๆเหมือนก่อนค่ะ

ขอวางเรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้ายก่อนลาพักร้อนเด้อค่ะ ... พรุ่งนี้ต้องเดินทางไปกรุงเทพฯ
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านและให้กำลังใจกันค่ะ ขอให้ทุกท่านมีความสุข สุขภาพร่างกายแข็ง หัวใจสดชื่นแจ่มใสทุกวันค่ะ

====================

ประตูห้องนอนถูกเปิดออก ขนาดห้องนอนกว้างขวางใหญ่โตแต่ไม่มีเครื่องประดับตกแต่งอะไรเลยนอกจากเตียงนอนสีขาวซึ่งตั้งอยู่กลางห้อง

หญิงสาวรูปร่างผอมสูงยืนอยู่ริมหน้าต่าง หันหน้าเหม่อมองออกไปข้างนอก เธอสวมใส่เสื้อคลุมสีแดงมีหมวก ชายเสื้อยาวปกคลุมถึงข้อเท้า กำลังยกฝ่ามือลูบกระจกใส เมื่อเม็ดฝนโปรยปรายลงมาตกกระทบกระจกหน้าต่าง

ไม่มีท่าทีสนใจเราสามคนที่ยืนอยู่หน้าประตู ไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของคนอื่นเลยด้วยซ้ำ

ฉันมองไปที่เธอ ความสงสารก่อตัวขึ้นจับใจ ก่อนจะหันมาสบตานักกำจัดรักนัมเบอร์วัน อยากรู้เหมือนกันว่าเขาจะช่วยเหลือผู้หญิงคนนี้ยังไง ฉันเพิ่งออกงานภาคสนามครั้งแรกยังนึกไม่ออกเลยจริงๆ

เขาผงกศีรษะให้ฉันนิดหนึ่ง เดาว่านั้นคงเป็นสัญญาณบ่งบอกว่ารับมือได้ จึงหันกลับไปมองเลดี้สตาร์อีกครั้ง เธอมีผมสีทองเหยียดตรงยาวประบ่า ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ฉันมองเห็นเธอจากด้านหลัง

สายตาเลื่อนลงมามองข้อเท้าเพื่อหาโซ่ตรวน ตามที่ท่านเคาน์แฮนรี่เขียนบอกไว้ในจดหมาย แต่ไม่พบโซ่มีเพียงรอยแดงคล้ำรอบข้อเท้า และดูเหมือนท่านเคาน์แฮนรี่จะเข้าใจในสิ่งที่ฉันคิด เมื่อท่านหันมาสบสายตาฉัน ขณะกำลังจ้องมองข้อเท้าบุตรสาวตน

“ผมเพิ่งปลดโซ่ออกจากข้อเท้าเธอเมื่อวานนี้เอง เธอรู้ว่าพวกคุณจะมาและอยากให้เอาโซ่ออก เธอรับปากว่าจะไม่ทำร้ายตัวเองและรอที่จะพูดคุยกับคุณอยู่นะ” ประโยคสุดท้ายหันไปพูดกับนักกำจัดรักนัมเบอร์วัน

“เธออยากคุยกับผมหรือครับ”

“ครับ..เธอรู้ว่าพวกคุณจะมา..ผมเป็นคนบอกเธอเอง”

นักกำจัดรักนัมเบอร์วันพยักหน้ารับรู้ ฉันหันไปยิ้มให้ท่านเคาน์เพื่อให้กำลังใจ

“เอาล่ะ ผมจะปล่อยให้พวกคุณคุยกับเธอเพียงลำพัง”

นั่นเป็นคำประโยคสุดท้ายที่ท่านเคาน์พูดกับเราสองคน ก่อนจะเดินหายไปอีกมุมหนึ่งของคฤหาสน์

ทันทีที่ท่านเคาน์เดินลับสายตา ประตูห้องบานใหญ่ปิดดังโครม ฉันสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ ดวงตาเบิกกว้าง เหลียวสบตานักจำกัดรักนัมเบอร์วันเพื่อขอคำอธิบายหรือคำพูดอะไรก็ได้สำหรับปลอบขวัญเล็กๆน้อยๆ

แต่ไม่มีสิ่งนั้น..เขาดูสงบนิ่งและเครียดขึงขึ้นมาอย่างน่าตกใจ ทว่าในความเงียบงันภายใต้นัยน์ตาคมดุคู่นั่น กลับแฝงความรู้สึกปลอดภัยอยู่ในนั่นด้วย มือแข็งกระด้างเลื่อนมาบีบมือฉันเบาๆ แค่เพียงเสี้ยวเวลาสั้นๆและปล่อย ไม่มีคำพูดใดแต่เท่านี้ก็ทำให้ฉันรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

เขาเดินไปหาเลดี้สตาร์ บรู๊ด ยืนห่างจากเธอเพียงสามก้าวเท่านั้น ฉันเดินตามมาหยุดข้างๆเขา

“เลดี้บรู๊ด คุณรู้ใช่ไหมว่าผมมาที่นี่ทำไม” และเขาเป็นผู้เปิดประเด็นการสนทนา

ความเงียบก่อตัวขึ้นแช่มช้า ไม่มีเสียงตอบโต้ตอบกลับมา ผู้ถูกถามยังยืนเอานิ้วมือลูบไล้เม็ดฝนที่เกาะติดอยู่ตามกระจกอย่างไม่รู้สึกเบื่อหน่ายและไม่สนใจใครอื่น

“วันนั้นแจ๊คมาพร้อมกับสายฝน คุณมองดูเขาจากตรงนี้ใช่ไหมครับ” และยังเป็นนักกำจัดรักนัมเบอร์วันเป็นผู้เอ่ยถาม

ฉันยืนลุ้นระทึกแทบหยุดหายใจ สายตาจับจ้องหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า และเห็นว่าเธอหยุดลูบกระจก นิ่งไปราวสามนาที

“แจ๊ค สแปโรวาเรนติโน นั่นชื่อจริงของเขา มันถูกจารึกไว้ในใจฉัน” เลดี้สตาร์เอ่ยขึ้นโดยไม่ได้หันหน้ามามองเรา

“คุณยังไม่ลืมเขา”

ฉันยืนฟังนักกำจัดรักนัมเบอร์วันสนทนากับเลดี้สตาร์อย่างสงบนิ่ง และรอคอยที่จะทำหน้าที่ผู้ช่วยเมื่อเขาต้องการ

“ไม่มีทางลืม ไม่อย่างแน่นอน.. คุณไม่สามารถกำจัดรักออกไปจากหัวใจฉันได้ ..และคุณไม่สามารถทำให้ฉันลืมเขาได้ คิดยังไงถึงมาทำเรื่องงี่เง่าแบบนี้ กลับไปซะ”

เลดี้สตาร์พูดขึ้นเสียงดังน้ำเสียงห้วนแสดงความไม่พอใจอยู่ในที และยังไม่ยอมหันหน้ามามองเรา

ฉันหันไปมองหน้าชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ อยากรู้เหมือนกันว่า เขาจะทำอย่างไรต่อไปดี เมื่อโดยขับไล่แบบนี้

ราวกับจับได้ว่าฉันกำลังมอง เขาหันมายิ้มให้ เป็นรอยยิ้มที่น่ารักเหลือเกิน ก่อนจะผงกศีรษะเล็กน้อย นั่นก็คงเป็นการบอกว่าไม่เป็นไรอีกแน่ๆ ฉันเริ่มอ่านภาษากายของเขาออกบ้างแล้ว

“ไม่ครับ ผมไม่คิดจะทำเช่นนั้น การกำจัดรักออกจากหัวใจคนเป็นเรื่องที่ยากนัก และการทำให้ลืมคนรักก็ยิ่งยากหลายเท่า สิ่งที่ทางบริษัทเราทำ คือหาทางรักษาคุณให้หายจากอาการเศร้าซึมและทุกข์ใจ”

เลดี้สตาร์หันขวับมามองคนพูด ฉันจึงได้เห็นดวงตาสีฟ้า ใบหน้าเรียวเล็ก แก้มตอบ ช่างดูซีดเซียวไร้ชีวิตชีวา เธอดูเหมือนดอกไม้งามที่ขาดการรดน้ำพรวนดินมาเนิ่นนาน

“ฉันคิดว่าคุณจะสะกดจิตเพื่อลบเลือนความทรงจำ” เลดี้สตาร์หันไปพูดกับนักกำจัดรักนัมเบอร์วัน เหลียวมามองฉันนิดหนึ่ง และกลับไปมองคนที่กำลังพูดด้วยตามเดิม

“ถ้าคุณต้องการ ผมจะทำเช่นนั้น แต่ไม่ใช่วิธีการที่ผมชอบใช้นัก การสะกดจิตเพื่อทำให้ลืม เป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเท่านั้น ผมต้องการช่วยคุณให้หลุดพ้น โดยไม่สูญเสียความทรงจำ ที่ควรมี”

“คุณไม่ใช่มนุษย์”

คำพูดที่หลุดออกมาจากปากเลดี้สตาร์ ทำให้ฉันตื่นตระหนก ดวงตาเบิกโพลง รู้สึกถึงเลือดกำลังสูบฉีดวิ่งพล่านตัวทั่ว หันไปเหลือบมองคนที่ยืนอยู่ข้างๆด้วยความประหวั่นพรั่งพรึง หากเขาไม่ใช่มนุษย์แล้วเขาเป็นอะไร

และนี่เขายังไม่มีการตอบปฏิเสธเมื่อถูกกล่าวหาว่าไม่ใช่มนุษย์ คิดได้แบบนี้จึงค่อยๆเขยิบถอยห่างจากเขาออกมาเล็กน้อย

ส่วนเขายังคงยืนสงบนิ่ง มือสองข้างประสานอยู่ด้านหน้า

“หากว่าไปตามจริง อาจจะใช่ครับ” และเขาก็ตอบ .. คำตอบของเขาทำให้ฉันหันไปมองเขาอีกรอบ

“แล้วคุณเป็นอะไร” ฉันทนความอยากรู้ไม่ไหวจึงเอ่ยถามเขาออกไปตรงๆ

“เดี๋ยวคุณก็จะรู้เอง”

และนี้คือสิ่งที่เขาตอบกลับมา

ฉันรู้สึกว่าสมองกำลังทำงานอย่างหนัก ราวกับว่ามันกำลังหนุมติ้วๆเป็นวงกลมแบบไร้ทิศทาง คนที่ฉันติดตามมาด้วยตลอดทางไม่ใช่มนุษย์ แล้วไหนจะคฤหาสน์เก่าๆหลังนี้ที่ลือกันว่าคือที่อยู่ของผีดูดเลือด แถมคนที่นี่ยังดูน่าสงสัย จนอดคิดไม่ได้ว่าอาจจะเป็นผีดูดเลือดจริงๆเสียด้วย

อะไรๆรอบตัวดูไม่ปลอดภัยสำหรับฉันเลย พยายามทำใจดีสู้เสือ ข่มใจตัวเองไม่ให้หวาดกลัวแต่ทำได้ยากเย็นเหลือเกิน ตอนนี้รับรู้ได้เลยว่าขาตัวเองกำลังสั่น ..

“หึหึ”

เสียงหัวเราะแผ่วเล็ดลอดออกมาจากริมผีปากเลดี้สตาร์ ดึงฉันให้ตื่นจากความคิดของตัวเอง เหลียวไปมองเธอ พลันได้เห็นรอยยิ้มปรากฏขึ้นมุมปากของเลดี้สตาร์ ก่อนจะฮุบลงทันทีที่นักกำจัดรักนัมเบอร์วันพูดขึ้น

“งานของผมคือทำให้คุณยอมรับความจริงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ความทุกข์มักเกิดขึ้นเมื่อจิตใจไม่ยอมรับความจริงที่ต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รัก การจมปลักกับอดีตและพยายามหลีกหนีความเศร้าเสียใจด้วยการฆ่าตัวตายไม่ใช่การแก้ปัญหา”

“หยุดพล่ามเถอะ คุณจะรู้อะไร .. คุณทำให้ฉันเลิกรักเขาไม่ได้หรอก”

“คุณทำได้แต่คุณไม่ยอมทำ นึกถึงคนที่รักคุณสิ ท่านเคาน์แฮนรี่พ่อของคุณ คุณคิดว่าเขาจะทรมานแค่ไหนที่เห็นลูกสาวอยู่ในสภาพนี้”

ฉันเหลียวพวกเขาสองคนสลับกันไปมา และเมื่อพูดถึงท่านเคาน์แฮนรี่ เป็นผลให้เลดี้สตาร์ชะงักไปชั่วขณะ ฉันเห็นนิ้วมือเธอมีอาการสั่นเล็กน้อย

“ฉันหวังว่าสักวันหนึ่งจะได้เจอเขา” เลดี้ตาร์พูดขึ้น

“ผมคิดว่าคุณไม่ควรเจอเขาอีก ที่แน่ๆไม่ควรเจอในช่วงเวลานี้ ... วันนี้ผมมีเรื่องคุยกับคุณเพียงเท่านี้ พรุ่งนี้ผมจะแวะมาใหม่ ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือครับ เลดี้บรู๊ด”

นักกำจัดรักนัมเบอร์วันเอ่ยขึ้นและค้อมศีรษะให้เลดี้สตาร์ บรู๊ด

คำพูดของเขาทำฉันตกใจจึงต้องเอ่ยถาม

“จะกลับแล้วหรือคะ นี่ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลย แล้วมาแค่นี้หรือคะ” เขาไม่ตอบคำถาม แต่กลับฉุดกระชากลากแขนฉันเพื่อให้เดินตาม เราทั้งคู่หยุดอยู่หน้าประตูเมื่อมีเสียงทัดทานจากเจ้าบ้าน

“เดี๋ยวก่อนค่ะ เดี๋ยวก่อน .. ฉันจะทำตามที่คุณบอก ฉันจะไม่คิดถึงแจ๊คอีก บางที บางที มันคงถึงเวลาที่ฉันควรจะลืมเขาออกไปจากหัวใจ”

เลดี้สตาร์พูดขึ้นเสียงสั่นเครือ น้ำตาคลอเบ้า เธอเริ่มแสดงความอ่อนแอให้เห็นบ้างแล้ว หลังจากที่วางท่าแข็งกร้าวมาสักพัก

“คุณ” เธอหันมาพูดกับฉัน

“ช่วยอะไรฉันอย่างหนึ่งได้ไหมคะ”

“อะไรคะ คุณอยากให้ฉันช่วยอะไร” ฉันรีบตอบทันควัน หัวใจโลดแล่นอยากช่วยเธอเต็มแก่

“นั่นคือสมุดบันทึกที่ฉันเขียนถึงแจ๊ค ฉันอยากให้คุณพามันออกไปจากเกาะและเผาทำลายมันทิ้งซะ ฉันตั้งใจจะลืมเขาจริงๆและไม่อยากเก็บของสิ่งนี้ไว้อีกแล้วค่ะ”

เธอชี้นิ้วไปที่โต๊ะข้างเตียงนอน ซึ่งมีสมุดปกสีดำเล่มหนาวางอยู่บนโต๊ะ ฉันรีบตอบตกลงทันทีโดยไม่ขอความคิดเห็นจากคนข้างๆ

“ได้ค่ะ ฉันยินดีช่วย ถ้านั้นคือสิ่งที่คุณต้องการ”

ฉันเดินดุ่ยๆไปหยิบสมุดบันทึกเล่มนั้น ทันทีที่มือสัมผัสสมุด รู้สึกเหมือนมีคลื่นพลังงานความร้อนแผ่นซ่านไปทั่วตัว ลมเย็นเยือกพัดผ่านแผ่วเบา พลันรู้สึกหนาวสะท้านจนริมฝีปากสั่นระริก มีเสียงแหบแห้งฟังดูน่ากลัวล่องลอยมาพร้อมกับสายลม แว่วเข้าโสตประสาท

‘อย่าเอาไป วางมันไว้ที่เดิม’

ฉันสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ รู้สึกหวาดกลัวอะไรบางอย่างโดยไม่รู้สาเหตุ จนเผลอทำสมุดหลุดมือ ก้มลงไปหยิบมันขึ้น เพ่งพินิจมองสมุดขนาดเท่าไอแพด มีความหนาประมานสองนิ้ว

“ช่วยเอามันออกไปจากเกาะให้ด้วยนะคะ” เลดี้สตาร์พูดขึ้น ฉันหันไปมองเธอและพยักหน้าเป็นการตอบรับ

“แต่คุณแน่ใจนะคะว่า ต้องการเผามันทิ้ง” ฉันเอ่ยถามเพื่อขอคำยืนยันจากเจ้าของสมุด

“ค่ะ ฉันอยากให้คุณเผามันทิ้งซะ ช่วยหน่อยนะคะ ฉันยังใจไม่แข็งพอที่จะทำลายมัน แต่ตั้งใจไว้ว่าจะลืมแจ๊คให้ได้แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ คุณคงเข้าใจฉัน”

ขากลับสุชาติขับรถจิ๊ปมาส่งเราสองคนที่ท่าเรือ เพราะฝนตก ถนนชื้นแฉะไม่เหมาะกับการนำรถม้าออกมาแล่นบนถนน

และแม้เจ้าบ้านจะรบเร้าให้เราพักค้างแรมที่คฤหาสน์แสงจันทร์ แต่..เขา..นักกำจัดรักนัมเบอร์วัน ตอบปฏิเสธเสียงแข็ง ยืนกรานว่าจะกลับท่าเดียว และรับปากว่าจะมาใหม่ในวันพรุ่งนี้

โชคดีหน่อยที่ฝนไม่ได้ตกรุนแรง เลยไม่เป็นปัญหาสำหรับการนำเรือออกทะเล คุณลุงคนขับเรือนั่งรอพวกเราอยู่ที่ซุ้มไม้ริมหาด ฉันเห็นแกมีใบหน้าสดชื่นขึ้น แถมยังส่งยิ้มให้ฉันนิดหนึ่ง แต่นั่นกลับทำให้ฉันรู้สึกประหม่าขึ้นมาเล็กน้อย มันผิดวิสัยคนที่ชอบทำหน้าบึ้งตึง หรืออาจจะเป็นเพราะแกได้นอนพักเต็มอิ่มก็อาจเป็นไปได้ จึงอารมณ์ดีขึ้นมาแบบผิดหูผิดตา

อยากลองถามคุณลุงดูว่า เอาอะไรมาขายที่เกาะรัตติกาลแต่ก็ต้องเหยียบคำถามไว้ใต้เท้าเสียก่อน บรรยากาศในตอนนี้ไม่เอื้ออำนวยให้เอ่ยคำถามใดๆเอาเสียเลย และเมื่อเห็นแกเดินไปพูดคุยกับสุชาติด้วยใบหน้ายิ้มแย้มดูสนิทสนมกันเป็นพิเศษยิ่งไม่กล้าจะถามไถ่ข้อที่สงสัย

ฉันเห็นสุชาติยื่นถุงกำมะหยี่สีดำแบบมีหูรูดให้คุณลุงคนขับเรือ สิ่งนั้นคงเป็นค่าสินค้าที่คุณลุงนำมาขายแน่ๆ

ฝนหยุดตก เมื่อนำเรือแล่นออกสู่ทะเล ตลอดทางที่นั่งอยู่บนเรือฉันอยากถามคำถามนักกำจัดรักนัมเบอร์วันหลายคำถาม แต่ถูกเขาดักทางไว้เสียก่อน ราวกับอ่านความคิดฉันออก

“ถ้าอยากรู้หรืออยากถามอะไร ไว้ถึงฝั่งก่อนคุณค่อยถาม แล้วผมจะตอบคุณทุกคำถาม ตกลงตามนี้นะ”

“ถามตอนนี้เลยไม่ได้หรือคะ” ความอยากรู้อยากเห็นก่อตัวแน่นอก ใครจะรอให้ถึงฝั่งได้ล่ะ

“ไม่ได้” ฝ่ายนั้นตอบกลับมาเสียงแข็ง

ฉันเบ้ปากใส่เขาแล้วหันหน้าหนีคนขี้เก๊กแถมยังหล่ออีก บ้าจริง คิดมาถึงตอนนี้หัวใจฉันเริ่มเต้นแรง

พยายามสลัดความคิดแปลกๆที่เกิดตรงหัวใจทิ้ง เหม่อมองน้ำทะเลสีฟ้าใส และเพิ่งสังเกตเห็นว่า เริ่มมีแสงแดดส่องประกายลงมากระทบผิวน้ำ อยู่บนเกาะรัตติกาลมืดมิดราวกลางคืน แต่พอพ้นเกาะออกมาไม่นานท้องฟ้ากลับโปร่งใส เมฆขาวลอยอ้อยอิ่ง สร้างความแปลกใจให้ฉันขึ้นมาอีกละ อยากหันไปถามคนที่นั่งอยู่ข้างๆ แต่ต้องเก็บงำคำถามไว้ในใจเพราะโดนดักไว้แล้วว่าห้ามถามบนเรือ

.
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  แต่งเรื่องสั้น เรื่องสั้น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่