องครักษ์พ่ายรัก .... บทที่ 3

กระทู้สนทนา
.


บทที่  1  https://ppantip.com/topic/36518377
บทที่  2  https://ppantip.com/topic/36525959

บทนี้มีตัวละครเพิ่มมาสองคนค่ะคือจิ้นป้านกับมี่เค่อ สองคนนี้คือตัวฮาเลยค่ะ

บทที่  3

ลู่เสียนยกหม้อข้าวออกจากเตาเมื่อเห็นว่าข้าวสุกได้ที่แล้ว พลันได้ยินเสียงคนสองคนพูดคุยกัน
จำได้ทันทีว่าเป็นท่านลุงกับท่านป้า รีบลุกพรวดพราดมาหน้ากระท่อมอย่างรวดเร็ว

“ท่านทั้งสองปลอดภัยดี ข้าเป็นห่วงพวกท่านใจจะขาดแล้ว เหตุใดกลับมาป่านนี้ จัดการบุรุษผู้นั้นเรียบร้อยแล้วใช่ไหมเจ้าคะ” เสียงดังเจื้อยแจ้วจากสาวน้อยวัยสิบหกปี ตะโกนร้องถามตั้งแต่ร่างยังไม่โผล่พ้นตัวกระท่อม เสียงใสราวระฆังเงินของสาวน้อยเรียกรอยยิ้มจากผู้สูงวัยทั้งสองคนได้ทันที

เยว่ฉีและซืนเซินแต่งงานกันมาจวบจนสามสิบปีทว่าไม่มีลูกไว้สืบสกุล สร้างความเจ็บปวดทุกข์ใจให้คู่สามีภรรยาเป็นอย่างมาก ทั้งสองสรรหายาบำรุงหลายชนิดมาดื่มกินทว่าไม่เป็นผล

วันเวลาล่วงเลยไปจนอายุมากขึ้น สองสามีภรรยาจึงล้มเลิกที่จะมีบุตร ยอมรับชะตาฟ้าลิขิตคงไม่มีใครฝืนลิขิตจากฟ้าได้ ฟ้าบันดาลให้คนทั้งสองไร้บุตรสืบสกุลจึงทำได้เพียงก้มหน้ายอมรับชะตา

สองสามีภรรยาใช้ชีวิตปกติเรื่อยมาจนกระทั่งได้มาพบเจอลู่เสียน ทารกน้อยที่ล่องลอยมากับสายน้ำ ณ ขณะนั้นเป็นเวลาพลบค่ำ ตะวันกำลังลาลับฟ้า สามีภรรยาหว่านแหจับปลาไว้ทำอาหารเย็น

แพลำไม้ไผ่ไหลเอื่อยเฉื่อยมาตามสายน้ำ บนแพไม้ไผ่มีหญิงสาวผู้หนึ่งในอ้อมแขนโอบกอดทารกน้อย เมื่อเห็นเช่นนั้นต่างรีบรุดเข้าไปช่วยเหลือสองแม่ลูก

เจียวเหมยผู้เป็นแม่ของทารกน้อย ถ่ายทอดเรื่องราวทั้งหมดให้สามีภรรยาฟัง เกี่ยวกับการหนีตายจากทหารของซงซื่อ และเรื่องราวที่ผู้คนต่างเข้าใจว่าลู่เสียนเป็นเด็กผู้ชาย นั่นก็เพราะหมอตำแยซึ่งทำคลอดเจียวเหมย ต้องรีบรุดไปทำคลอดหญิงสาวอีกคน

แม่หมอชราเหนื่อยล้าสติฟั่นเฟือนจึงจำสลับกัน และยิ่งมีคนจากวังหลวงมาสอบถามรบเร้าขู่เข็ญ ยิ่งสร้างแรงกดดันจนหลงลืมจึงบอกกล่าวว่าบุตรของเจียวเหมยคือผู้ชาย

เยว่ฉีและซือเซินให้การช่วยเหลือเลี้ยงดูสองแม่ลูกเสมือนญาติ ชุบเลี้ยงปกป้อง ดูแลเอาใจใส่ลู่เสียนเฉกเช่นบุตรตัวเอง หลายครั้งหลายหนต้องพากันย้ายถิ่นฐานหลีกหนีการไล่ล่าจากทหารที่ถูกส่งมาสังหารสองแม่ลูก

จวบจนมาวันนี้สามารถตั้งถิ่นฐานอยู่ดินแดนบ้านป่าเมืองเถื่อนแห่งนี้ได้ ที่ที่ห่างไกลผู้คน ทว่ามากมายไปด้วยโจรผู้ร้าย ทหารของซงซื่อคงคิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะหลบมาอยู่ในที่แห่งนี้ได้

พวกเขาปลอดภัยจากทหาร เพียงแต่ต้องคอยระวังพวกนักเลงอันธพาลเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ซือเซินจึงสอนวิชาการต่อสู้ให้ลู่เสียนไว้ป้องกันตัว เยว่ฉีสอนวิธีปรุงยา

คนทั้งสองรักใคร่เอ็นดูลู่เสียนยิ่งนัก และเพียงได้ยินเสียงสดใสของนางก็สร้างความสุขให้พวกตนแล้ว

“ข้าดีใจที่ท่านลุงท่านป้าปลอดภัย” ลู่เสียนกล่าวขึ้นอีกครั้งเมื่อเดินมาหยุดอยู่หน้าคนทั้งสอง โผเข้ากอดเยว่ฉีและซือเซินด้วยความดีอกดีใจ ใบหน้ามลฉีกยิ้มแป้น

“แม่เจ้าไปไหน” เยว่ฉีเป็นผู้กล่าวถาม

“ท่านแม่ไปเก็บไข่เป็ดค่ะท่านป้า ท่านป้าเล่าให้ข้าฟังได้ไหมว่าเมื่อคืนเกิดอะไร พวกท่านได้พบบุรุษผู้นั้นหรือไม่เจ้าคะ” ลู่เสียนลากแขนเยว่ฉีมานั่งหน้ากระท่อม โดยมีซือเซินเดินตามมานั่งสมทบอีกคน

“เจอ”

“แล้วไงคะ คนผู้นั้นต้องการเจอแม่ข้าทำไม หรือต้องการจะมาฆ่าท่านแม่กับข้าใช่ไหม” ลู่เสียนกล่าวถามร้อนรน ใบหน้าบูดบึ้ง เจ็บแค้นใจที่ต้องหลบหนีการตามล่าไม่หยุดหย่อน

“คนผู้นั้นไม่ได้มาตามฆ่าเจ้ากับแม่ แต่จะมาพาเจ้ากับแม่กับวังหลวง” เยว่ฉีกล่าวบอกน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าใจหายวูบเมื่อนึกขึ้นว่าจะไม่ได้พบเจอสองแม่ลูกนี้อีกแล้ว

“หมายความว่ายังไง ข้าไม่เข้าใจ”

“รอแม่เจ้ากลับมาก่อนข้าจะได้เล่าให้ฟังพร้อมกันทีเดียว”

ลู่เสียนเมื่อได้ฟังเช่นนี้ก็ลุกพรวดขึ้น วิ่งกระโดดข้ามสิ่งกีดขวางทุกอย่างที่ขวางทางเพื่อไปตามมารดา วิ่งไปปากตะโกนร้องท่านแม่ๆไปพร้อมกัน ท่านลุงท่านป้านั่งมองสาวน้อยได้แต่ส่ายหน้าอย่างเหนื่อยอ่อน กับความดื้อซนและไม่เรียบร้อยเอาเสียเลย

อดคิดไปไม่ได้ว่า หรือเพราะแต่งตัวเป็นผู้ชายมาตลอดจนทำตัวเฉกเช่นบุรุษ หลงลืมไปแล้วว่าตนเป็นผู้หญิง สามีภรรยาก็ได้แต่ทอดถอนลมหายใจ  




เวลาบ่ายคล้อย ตะวันส่องแสงร้อนแรง อากาศร้อนอบอ้าว แต่วันนี้ตลาดดูคึกคักมากมายด้วยผู้คนออกมาจับจ่ายซื้อของ แตกต่างจากหลายๆวันที่มักจะร้างไร้ผู้คน สร้างความแปลกใจให้กับจิ้นป้านและมี่เค่อยิ่งนัก ไฉนผู้คนจึงปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตได้รวดเร็วถึงปานนี้

สามวันก่อนหมู่บ้านเงียบเหงาซึมเซา ผู้คนมีหน้าตาหวาดระแวงระคนหวาดกลัว ร้านค้าหลายร้านขึ้นป้ายปิดกิจการ ทว่ามาวันนี้กลับเปิดค้าขาย นึกแล้วก็แสนจะพิศวงงุนงงนัก

“ท่านว่ามันแปลกหรือไม่ ที่อยู่ดีๆชาวบ้านกลับดูคึกคักมีความสุขล้นพ้นเช่นนี้ วันก่อนข้ายังเห็นแต่ละคนล้วนเศร้าสร้อย น่าเวทนา นั่นๆ ตาเฒ่าผู้นั้นข้าจำได้เมื่อวานแต่งตัวราวขอทาน ทว่าวันนี้กลับใส่เสื้อผ้าแพรพรรณสวยสดงามนัก ประหลาดแท้”

จิ้นป้านกล่าวกับเพื่อนที่เดินเคียงข้าง พยักพเยิดหน้าไปทางผู้เฒ่าที่ยืนเลือกกำไลหยกจากแผงขายข้างทาง

จิ้นป้าน : ตำแหน่ง องครักษ์รักษานคร ลูกน้องคนสนิทของจางเฟยอวี่

อายุ : ยี่สิบแปดปี  

ลักษณะภายนอก : รูปร่างผอมสูงโปร่ง แข็งแรง

จุดเด่น : สำเร็จวิชากระบี่ทลายฟ้าเทพยดา ขั้นที่แปด อีกสองขั้นจะบรรลุขั้นสูงสุดไร้ผู้เทียมทาน

สิ่งที่รัก : หัวหน้าจางเฟยอวี่  จงรักภักดีต่อชาติและปกป้องพระราชวังหลวง

หญิงสาวที่ชอบ : พูดจาไพเราะเพราะพริ้งและรูปโฉมงดงามเป็นพอ

หมายเหตุ : รักหัวหน้าจางเฟยอวี่ยิ่งชีพ ตายเพื่อหัวหน้าได้ รับฟังคำสั่งจากหัวหน้าจางคนเดียวเท่านั้น




“ท่านถามข้าแล้วข้าจะรู้ไหม มาก็มาด้วยกันยังจะมาถามให้มากความ ข้าหิวข้าวจนท้องไส้บิดกันเป็นเกลียวแล้ว” มี่เค่อกล่าวตอบเพื่อนน้ำเสียงหงุดหงิดขุ่นเคือง สายตากวาดมองหาของกินเท่านั้น

มี่เค่อ : ตำแหน่ง องครักษ์รักษานคร ลูกน้องคนสนิทของจางเฟยอวี่

อายุ : ยี่สิบเจ็ดปี

ลักษณะภายนอก : รูปร่างสูงใหญ่ ลำตัวอวบแต่ไม่ถึงกับอ้วนมากนัก แขนขาใหญ่ ทว่าท่วงทางการก้าวเดินกลับคล่องแคล่วว่องไว

จุดเด่น : สำเร็จวิชาดาบสยบมารไต้เทียบ (เพลงดาบประจำตระกูล)

สิ่งที่รัก : หัวหน้าจางเฟยอวี่  จงรักภักดีต่อชาติและปกป้องพระราชวังหลวง

หญิงสาวที่ชอบ : ยังไม่มีใจนึกชื่นชอบหญิงสาว คิดเสมอว่าผู้หญิงคือตัวปัญหาหาหลีกหนีได้จะไม่นำตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้อง

หมายเหตุ : รักหัวหน้าจางเฟยอวี่ยิ่งชีพ ตายเพื่อหัวหน้าได้ รับฟังคำสั่งจากหัวหน้าจางคนเดียวเท่านั้น



“ท่านยังมีแก่ใจนึกถึงแต่ของกิน หัวหน้าหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ คลาดกันจนได้ ข้าบอกให้ท่านเฝ้าให้ดี เป็นไงล่ะตื่นมาไม่เห็นแม้แต่เงาหัวหน้าจาง”  จิ้นป้านอดค้อนเพื่อนไม่ได้

เมื่อคืนจิ้นป้านส่งต่อหน้าที่เฝ้าหัวหน้าจางเฟยวี่ให้มี่เค่อ แต่มี่เค่อกลับหลับไม่รู้เรื่องราว ตื่นขึ้นมาอีกทีก็ไม่พบคนที่ตนมาเฝ้าเสียแล้ว

จิ้นป้านกับมี่เค่อ ลอบติดตามจางเฟยอวี่มาเงียบๆเพื่อปกป้องคุ้มครอง แม้จางเฟยอวี่จะสั่งเด็ดขาดว่าไม่ให้ตามมา ทว่าคำสั่งนี้คนทั้งสองมิอาจกระทำได้ เมื่อมิอาจกระทำได้จึงต้องตามมา ขอขัดคำสั่งสักคราแค่เพียงได้เฝ้าดูว่าหัวหน้าปลอดภัย ไม่มีใครเข้ามาทำร้ายเป็นพอ และหากแม้หัวหน้าจางเฟยอวี่เป็นอะไรไป คนทั้งสองจะไม่มีวันให้อภัยตัวเองไปตลอดชีวิตเป็นแน่

คนทั้งสองติดตามหัวหน้าจางเฟยอวี่ข้ามแม่น้ำข้ามทะเลมาหลายพันลี้ ไม่ย่อท้อเหน็ดเหนื่อย ขอเพียงได้อยู่ใกล้หัวจางเฟยอวี่ก็นับว่าสุขใจแล้ว หลายครั้งหลายคราคลาดกันกับหัวหน้าจาง

สืบเสาะหาจนทราบว่าหัวหน้าเดินทางมาเมืองนี้ จิ้นป้านและมี่เค่อจึงพักอาศัยอยู่ที่นี่ถึงสามคืนสามวันยังหาไม่พบ กระทั่งเมื่อคืน หลงทางไปเห็นการต่อสู้ของคนสามคนในป่าไผ่ จำได้แน่ชัดว่าหนึ่งในนั้นคือหัวหน้าจางเฟยอวี่

เฝ้าดูและลอบติดตามมาจนถึงโรงเตี๊ยม จึงได้เช่าห้องพักข้างๆหัวหน้าจาง

“กองทัพต้องเดินด้วยท้องนะจิ้นป้าน ตอนนี้เราสมควรทำให้ท้องอิ่มเสียก่อน จึงจักมีแรงตามหาหัวหน้า ถึงท่านดื้อด้านตามหาในเวลานี้อย่างไรเสียก็คว้าน้ำเหลว มาๆ กินก่อนเรื่องหัวหน้าค่อยมาคิดหนทางตามหาอีกที”

มี่เค่อฉุดกระชากลากแขนเพื่อนเข้าร้านขายเกี๊ยว ซาลาเปา และหมั่นโถว ซึ่งตนได้เล็งไว้นานแล้ว จับไหล่เพื่อนกดให้นั่งลงบนเก้าอี้ไม้ ก่อนจะกวักมือเรียกพ่อค้าเพื่อสั่งอาหาร

“เมื่อคืนท่านได้ยินหรือไม่ว่าหัวหน้าจางคุยอะไรกับสองผู้เฒ่า ข้าฟังไม่ถนัดนัก” จิ้นป้านกล่าวถามเพื่อน

“แม้แต่ท่านยังไม่ได้ยินแล้วข้าเล่าจะได้ยินไหม พวกเราสองคนหลบอยู่บนหลังคาอีกฝั่งหนึ่ง ต่อให้มีหูทิพย์ก็ยากจะได้ยินว่าฟังทั้งสามพูดคุยอะไรกัน” มี่เค่อกล่าวตอบราบเรียบ มิได้เงยหน้ามองเพื่อน เพราะง่วงอยู่กับการตักเกี๊ยวกุ้งเข้าปาก

“ข้าหวั่นใจนัก คิดว่าสองผู้เฒ่านั้นหวังรุดมาทำร้ายหัวหน้าแน่ๆ อย่างไรเสียก็ยังไม่น่าไว้วางใจ ครั้งนี้อาจแค่มาปรากฏตัวเพื่อข่มขู่ครั้งต่อไปคง ไม่แคล้วได้ปะทะประมือกันแน่ๆ”

กล่าวจบพลันทุบกำปั้นลงบนโต๊ะ น้ำชาในถ้วยกระเด็นออกมา คนพูดมิได้โกรธแค้นผู้ใด ทว่าเจ็บใจตัวเองที่ปล่อยให้หัวหน้าจางหลุดลอดสายตาไปได้ หากรู้ว่าหัวหน้าจางอยู่ที่ใด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นตนยังพร้อมบุกเข้าไปช่วยได้ทัน

“ท่านอย่าได้คิดมาก หัวหน้าใช่ว่าใครจะทำอะไรได้ง่ายๆและสองผู้เฒ่านั้นดูท่าทางแล้วไม่ได้มาทำร้ายหัวหน้า ท่านเป็นห่วงหัวหน้าเกินไปแล้ว กินซะ ไม้งั้นข้าจะกินเกี๊ยวของท่านเสีย”

ทันทีที่มี่เค่อกล่าวจบ จิ้นป้านขยับนิ้วจิกจานเกี๊ยวของตัวลากเข้าหาตัว และใช้ตะเกียบคีบเกี๊ยวเข้าปาก มือหนึ่งคว้าหยิบซาลาเปามาถือไว้ ซาลาเปาสั่งมาห้าลูกทว่าตอนนี้เหลือเพียงสองลูกเท่านั้น หากไม่รีบกินเกรงว่าจะไม่มีอะไรเหลือให้กิน เมื่อตระหนักถึงข้อนี้ได้จึงต้องกินก่อนจะไม่ได้กิน

“ถึงอย่างไรข้าก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหมู่บ้าน ผู้คนดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาแบบผิดหูผิดตาเยี่ยงนี้ช่างน่าสงสัยนัก” จิ้นป้านกล่าวขึ้นหลังทานข้าวจนอิ่มเรียบร้อยแล้ว

    
“ท่านก็ช่างถามข้านัก ทุกอย่างที่ท่านถามข้าล้วนตอบไม่ได้ ไยไม่คิดไปถามคนที่พอจะให้คำตอบได้บ้างล่ะ”
    
“นั่นสินะ”
    
จิ้นป้านใช้ฝ่ามือตบฟาดลงบนโต๊ะอีกคราเมื่อนึกขึ้นได้ว่าควรถามใครสักคน ในหมู่บ้านแห่งนี้เพื่อไขข้อสงสัยในใจตน มี่เค่อรู้ทันนิสัยสหายต้องทำเช่นนี้แน่ รีบคว้าถ้วยน้ำชาสองใบยกขึ้นจากโต๊ะ เนื่องเพราะเกรงว่าน้ำชาจะหกกระเด็นออกอีก ทอดถอนลมหายใจ วางถ้วยชาลงที่เดิม เมื่อจิ้นป้านลุกขึ้นและเดินออกไปนอกร้าน


.
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่