ทุกผู้คนคิดว่า...ข้านั้นโชคดีเหนือผู้ใด ข้ามีทุกอย่างอยู่รอบกาย...เงินทอง อำนาจจากพระบิดานั้น แผ่ไปทั่วทุกสารทิศ
...แต่เหตุใดในหัวใจข้าถึงยังรู้สึกว่างเปล่า อิสระเสรีภาพ นั้นตีเป็นราคาสูงสักเท่าไร ข้าต้องการเพียงแค่นั้น เสรีภาพที่ข้าจะได้เลือกเองในทุกๆสิ่ง
...รวมถึง อิสระแห่งหัวใจ ข้าจะไม่ยอมเข้าพิธีวิวาห์โดยที่ข้า ถูกบังคับดั่ง อาชา ที่ถูกสวมบังเหียนจะให้ทำตามใจ ข้าจะไม่มีวันยอมแต่งกับชายแปลกหน้า ข้าจะ... '
" อาเฝิ่น อาเฝิ่น เจ้าอยู่ข้างในหรือไม่? " เสียงคนร้องเรียกชื่อ ของนางเข้ามาแทรกความคิดที่กำลังพลุ่งพล่านให้ต้องระงับไปก่อนชั่วขณะ
นางวางแผนที่ ที่ถืออยู่ลงบนโต๊ะ ใช้มือคู่งามรวบผมไปด้านหลังเป็นพวง ก่อนใช้ปิ่นมุก แทงมัดผมให้แน่น เรียบร้อยดีแล้ว จึงหมุนตัวไปที่ประตู ชุดคลุมที่ทอจากผ้าแพรผืนสีแดง ปลิวไปตามก้าวย่าง ตามเจ้าของอาภรณ์สวยชิ้นนั้น
" พี่จินเย่ว์ ท่านมีเรื่องอันใด รีบร้อนมาตั้งแต่เช้าเช่นนี้ ?"
เฝิ่นลู่ ใช้มือเรียวคู่งามแหวกม่านบังสายตา รีบก้าวเท้าออกมาจากห้อง เห็นเจ้เจ๊(พี่สาว) ของนางในชุดสง่าสีเขียว ยืนโบกพัด อยู่ที่ หน้าประตู
" ข้ามิเห็นเจ้า ออกมานอกหมู่ตึก หลายวันแล้ว เจ้าไม่สบายหรือไม่? ข้าเป็นห่วงจึง รอต่อไปไม่ไหว "
น้ำเสียงจริงใจแฝงความห่วงใย ไต่ถามถึงน้องสาว
" เจ้เจ๊...ข้านั้นไม่ได้ป่วยไข้ ขอท่านอย่าได้วิตกไปเลย เพียงแต่ หมู่นี้ข้าพเจ้ามีเรื่องคิดอยู่หลายสิ่ง เลยไม่ได้ไปหาท่าน... ท่านเข้ามาข้างในก่อน ข้าจะเตรียมน้ำชาให้ท่าน "
เฝิ่นลู่ จับกุมมือพี่สาว ที่อายุมากกว่านางสามปี เข้ามาด้านใน ห้อง นางจัดแจง รินชาร้อนๆส่งกลิ่นหอมไปทั่วบริเวณ ยื่นให้พี่สาวที่นั้งรออยู่บนเก้าอี้ นางรับไปหาได้ยกขึ้นจิบไม่ แต่โพล่งคำถามขึ้นทันควัน
" เจ้ากำลังคิดวิตก ในเรื่องที่ เจ้าต้องเข้าพิธีแต่งงานกับบุตรของเจ้าเมืองเว่ยอัน ใช่หรือไม่? น้องข้า.."
จินเย่ว์ นั้นล่วงรู้นิสัยใจคอของน้อง ดี หามีสิ่งใดในตอนนี้ ที่จะรบกวนใจได้เท่าการที่ ต้องเข้าหอลงโรง กับชายที่ไม่รู้จักเพื่อเหตุผลแห่งการเป็นกระชับความสัมพันธ์แห่งสองแคว้น
นางเป็นสตรีเด็ดเดี่ยว กล้าหาญ เยี่ยงบิดา นับว่าได้เลือดของพ่อมาเต็มตัว ส่วนความงดงามนั้น ถอดแบบจากมารดา ดวงตากลมโตสีดำ ผมยาวสีดำขลับ หน้ารูปไข่ แบบหมดจดไร้ที่ติ
" ข้าพเจ้าเป็นเพียงผู้เยาว์ ความคิดแม้นไม่เฉียบแหลม เท่าผู้ใหญ่ แต่ ข้าพเจ้าไม่อาจยอมรับการบังคับจิตใจที่ บิดาจะให้ข้าไปแต่งงานกับใครก็ได้ ข้าเห็นแก่ตัวมากใช่ไหมท่านพี่!!"
พูดจบคำ เฝิ่นลู่โผตัว ร่างน้อยๆเข้าไปสะอื้นกอดกันกับพี่สาว น้ำตาไหลเป็นทาง สองคนพี่น้อง สนิทสนมกันแต่วัยเยาว์ ยามนี้เหลือกันแค่สองคน หลังมารดาอายุสั้นด้วยโรคปัจจุบัน ลาโลกไปแล้วหลายปี
บิดาของนางคือ เจ้าเฟยหรง ผู้นำกองกำลังที่เข้มแข็ง รวบรวมกำลังคนหลายแสนนาย ปราบปรามความไม่สงบในแผ่นดินที่สะสมมายาวนาน ตั้งตนเป็นเจ้าเมือง ครองแคว้น หนานเป่ย นับเป็นยอดคนคู่แผ่นดิน
ยามนี้เจ้าเฟยหรง ได้รับราชทูตจากแคว้นเว่ยอัน ที่เข้ามาขอผูกไมตรี ขอบุตรสาวของตนให้ได้เข้าพิธีวิวาห์กับลูกชาย ของเจ้าเมือง เพื่อดำรงความเป็นปึกแผ่นแห่งสองแคว้นสืบต่อไป
บุตรีของ เขา คนแรกคือจินเย่ว์ ที่ได้แต่งงานไปแล้วเมื่อปีก่อน กับทายาทแห่งแคว้นลู่
เหลือเพียงแต่ บุตรีคนสุดท้อง วัย18 ปี เฝิ่นลู่โฉมงามไม่แพ้ ลูกคนโต
เจ้าเฟยหรง ได้ขอให้เฝิ่นลู่ เห็นแก่บ้านเมือง เข้าพิธี แต่งงานกับ จิวชี่ บุตรแห่ง เจ้าจิวจื่อ แคว้นเว่ยอันในอีกสามเดือนข้างหน้า แม้จะมีความลำบากใจและเข้าใจความรู้สึกลูกสาวก็ตาม เจ้าเฟยหรงไม่เคยบังคับจิตใจของลูกมาก่อน แต่ครานี้เพื่อบ้านเมืองที่จะอยู่รอดนั้นจำเป็นต้องกระทำ
" ท่านพี่ ข้าคิดดีแล้ว เฝิ่นลู่จะขอลาท่าน ข้าขอออกไปจากวังหลวงแห่งหนายเป่ย.. จะมิมีใครบังคับข้าได้ ... แผ่นดินกว้างใหญ่ ข้าจะเป็นเพียงสตรีธรรมดานางหนึ่ง ไม่ใช่คนที่จะเป็นองค์หญิงสูงส่ง ที่จะถูกส่งไปกำนัล แก่ข้าต่างด้าว แก่เจ้าต่างเมือง "
คนพูดสะอื้นพลางใช้นิ้วเรียวเช็ดคราบน้ำตาที่อาบสองแก้มนวลขาว เผยความในใจที่อัดอั้นมานาน มีแต่เพียงพี่สาวในสายเลือด ที่นางไว้ใจที่สุด
ทั้งสองผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาด้วยกัน ก่อนจะได้อยู่ในตำแหน่งองค์หญิงสูงสุดของแผ่นดินเช่นนี้ ทั้งสองนาง เป็นชาวเมืองธรรมดาเช่นเดียวกับทุกคน ที่ต้องหาทางรอดจากภัยสงคราม ที่รุมล้อมหนานเป่ย
ทั้งสงครามกับแคว้นฉี ที่ข้าศึกล้อมเมืองอยู่นับปี จนได้ บิดาของนางที่เป็น ขุนทหารเข้ามาเป็นผู้นำ ขับไล่ผู้รุกรานออกไปนำความสงบกลับมาสู่แผ่นดิน
" เจ้าจะไปที่ไหน เฝิ่นลู่ ข้าขอร้องต่อเจ้า มีสิ่งใดค่อยพูดค่อยคิดอ่านต่อบิดา ข้าจะช่วยเจ้า ขออย่าตัดสินใจหุนหันพลันแล่น"
นางจ้องมองเข้าไปในแววตาน้องสาว ทราบแก่ใจว่า ยากจะหักห้าม ได้แต่พูดคุย ให้กำลังใจ
พูดคุยอยู่ได้ไม่นาน นางต้องไปดูลูกอ่อน ที่รออยู่ที่ตึก ก่อนแยกจาก จินเย่ว์ยังคงย้ำเตือนให้คิดให้มากก่อนลงมือทำสิ่งใดๆ
เฝิ่นลู่เดินมาส่งพี่สาว ที่หน้าหมู่ตึก ท่าที่อ่อนลงแต่ในใจ นึกถึงมารดา ที่ไม่อยู่แล้ว
'หากท่านยังอยู่ท่านจะเห็นด้วยกับข้าไหม ท่านแม่ ?'
เหม่อลอยได้ชั่วครู่ หวนนึกถึง สิ่งที่ต้องกระทำ เร่งรุดกลับเข้าไปในห้องของตน สั่งบ่าวให้เตรียมอาหารเมื่อถึงเวลา และห้ามรบกวน ปิดประตู
' เราจะเอาของไปไม่มาก เอาเท่าที่จำเป็น ไปไหนจะได้ไม่ต้องเป็นภาระแก่เรา'
คิดได้ดังนี้ รื้อค้นหาห่อผ้าเปิด เตรียมบรรจุ ข้าวของจำเป็น คืนนี้ นางจะลอบออกจากวังหลวง แฝงตัวเป็นสามัญชนธรรมดา ไม่ยินดีในลาภเกียรติยศอันใดไม่ ขอเพียงแต่ไม่ถูกคับข่มขืนจิตใจ ที่ไหนก็ย่อมไปได้ บิดานางย่อมหาทางออกผ่อนผันกับเจ้าแห่งเว่ยอันได้
ตระเตรียมของได้ครบถ้วน นางเลือกเสื้อผ้าที่ไม่ประดับประดามากมาย เลือกตามแบบสามัญที่สุดที่มีแต่ก็ยังดูมีราคา กับเตรียมเงินทองไปติดตัว มีดสั้นหนึ่งเล่มไว้ป้องกันตัว
เฝิ่นลู่เคยเรียนวิชาป้องกันตัวจากบิดา ฝีมือของนางยังมีเหนือกว่าชนชั้นธรรมดา นางปิดประตู ใช้ทางลับออกจากเขตวังหลวง
ทางลับนี้ มีแค่ไม่กี่คนที่ล่วงรู้ เป็นทางซับซ้อนใต้พื้นดิน ผนังเป็นศิลา อากาศไม่อับชื้น เพราะมีรูระบายอากาศ เป็นระยะๆให้ลมพัดเข้าออกตลอดเวลา เดินไปตามทางได้สักพัก ก็มาถึงทางออกขึ้นมาถึงชั้นพื้นดิน เป็นบริเวณหลังวังหลวง เนินดินสูงจากพื้นที่รอบเนินนี้ หามีผู้ใดล่วงรู้ว่า บริเวณด้านล่างมีทางออกที่ทำไว้อย่างแนบเนียน
เฝิ่นลู่เปิดประตูเล็กออกมา ต้องใช้แรงอยู่บ้าง แต่บานพับไม่ติดขัด แต่อย่างใด นั่นเป็นเพราะ มีการหยอดน้ำมันบำรุงไว้สม่ำเสมอไม่ให้สนิมจับ
เวลาเลยเข้าเที่ยงคืน นางออกมาพ้นวังหลวงแล้ว อดหันกลับไปมองทิศที่นางจากมาไม่ได้ เห็นยอดหลังคา ประดับไฟสว่างไสวอยู่ไกลๆ
นึกถึงบิดา และพี่สาว ที่ต้องจากมา หนทางข้างหน้าจะเป็นเช่นไร นางจะไม่หวั่นกลัว ให้สัญญากับตัวเอง นางกระชับห่อผ้าเข้ากับตัว รีบก้าวเดินออกจาก เนินสูงเปลี่ยว มุ่งหน้าเข้าไปในตัวเมือง เผื่อยังมีเรือข้ามแม่น้ำให้บริการ นางจะรีบไปให้ไกลที่สุดก่อนใครจะล่วงรู้ว่า นางได้หายตัวไป.
------------------------------------------------------
" เป็นอย่างไรบ้าง อาซา เที่ยวนี้เจ้าจะแก้ตัวได้สำเร็จหรือไม่ ฮ่าๆ"
เสียงหัวเราะดังลั่น จากบุรุษร่างเตี้ย ที่นั่งกินเหล้า อยู่ใกล้ท่าเรือริมน้ำ ทักทายคนรู้จัก ที่กำลังสาละวน สั่งการผู้คน เตรียมออกเรือเดินทาง
" จะสำเร็จหรือไม่ นะหรือ? ดูนี่สิ !"
คนพูดพลางเปิด ม่านให้เห็น ด้านใน
ลึกเข้าไปในตัวเรือด้านใน แสงจากตะเกียงเผยให้เห็น เป็นไม้ไผ่ที่เหลาเป็นกรง แบบแน่นหนา มีหญิงสาว นับสิบคน บ้างนอนหลับไม่รู้ตัว บ้างสะลึมสะลือ นอนกองกันไม่ต่างจากกรงเป็ดไก่ในตลาด จากนั้นจึงรีบปิดม่าน หันหน้าออกมายิ้มให้
"เห็นทีจะถูกใจพี่ใหญ่ อาซา จะได้คำชมบ้างในครานี้ ฮ่าๆ "
อาซาหัวเราะลั่น หาได้มองเห็นหญิงสาวเหล่านั้นเป็นเพื่อนมนุษย์ที่มีจิตใจไม่ คนเหล่านั้น ไม่ต่างจากเป็ดไก่ ที่ต้องหาไปเป็นข้าไพร่ ให้นายทุน เอาไว้ใช้งาน
" พี่ใหญ่ อาซ้ง ไม่อยู่บนเรือ ข้าหาดูทั่วแล้วแถวนี้ก็ไม่เจอเลย! เห็นว่าจะไปหาเหยื่อเพิ่มตั้งแต่ช่วงเย็น ตั้งแต่นั้น ก็ไม่มีใครเห็นอีกเลยขอรับ.."
ลูกน้อง คนหนึ่ง รายงานว่าต่ออาซา นายเรือ ว่า ลูกชายของมัน ยังไม่กลับมา ถึงเวลาต้องไปแล้ว ป่านนี้ยังไม่มา นี่ถ้า ชักช้าจะเดินทางไม่ทัน อีกทั้งยังเสี่ยงถูก ทางการเข้าจับกุมอีก
"ข้าจะรอเพียงแค่ประเดี๋ยวเท่านั้น ถ้ามันยังไม่มา ก็ปล่อยมันไว้ที่นี่!"
อาซาออกคำสั่ง พลางก้าวขึ้นไปบนห้องพักชั้นบน ด้วยใจกระสับกระส่าย ไม่มีใครอยากรบกวนมัน เมื่อได้เห็นท่าทีเช่นนี้ ทุกคนแยกย้ายไปตามหน้าที่ของตน และรอรับคำสั่งออกเดินทาง
------------------------------------------------------
เฝิ่นลู่ รีบเดินมาตามทาง ผู้คนแทบไม่มีแล้วบนถนนในเวลานี้ แสงไฟจากโรงเตี๊ยม เล็ดลอดออกมา นานๆทีจะมีคนเดินสวนไปสักหน เธอกำลังเร่งฝีเท้า ไปทางท่าเรือ หมายจะไปหาเรือไปให้ไกลจากนครหลวง ยามนี้คงจะมีแค่เรือข้ามฟาก
ด้านหน้าไม่ไกล เธอเห็น ท่าเรือแล้ว ยังมีคนงานเดินไปมาอยู่ ยามวิกาลเช่นนี้ เธอระมัดระวังตัวตลอดเวลา
"นั่นเจ้าจะไปทางท่าเรือหรือ ? ให้ข้าเดินไปด้วยเถอะ ข้าก็จะไปทางนั้นเช่นกัน!"
เธอหันไปดู ทางด้านหลัง นึกแปลกใจ ที่นางไม่ได้ยินสุ้มเสียงฝีเท้าคน ด้านหลัง เลยแม้แต่น้อย บุรุษผู้นี้มาถึงด้านหลังเธอได้ตั้งแต่เมื่อไร
" ใช่... ข้าจะไปทางนั้น ดึกป่านนี้ ข้าไม่รู้ว่ายังจะมีเรืออีกไหม"
นางตอบพลางใช้สายตาสำรวจบุรุษแปลกหน้าอย่างระวัง และพยายามไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้นี้ โดยไม่ทราบความเป็นมา นางจะไม่ไว้ใจผู้ใด
"มีสิ บิดาข้าเป็นไต้ก๋ง เราเสร็จสิ้นการค้าแล้วกำลังจะกลับไปบ้านทางใต้...เจ้าจะไปที่ใด ท่าเรือก็มีเรือออกตลอดคืน อย่าได้กังวลไป"
บุรุษ ผู้นั้น แต่งตัวเหมือนเป็นพ่อค้าชั้นกลางทั่วไป ชุดสีขาวขลิบน้ำเงิน ดูสง่าผ่าเผย ผมยาวมัดไว้เรียบร้อย จมูกโด่งเป็นสันคมเห็นได้ชัดยามแสงจันทร์สาดส่องกระทบใบหน้า
" ข้าชื่อ อาซ้ง ยินดีที่ได้พบท่าน ...."
ซ้งฮุย เผยยิ้มออกมาบนใบหน้า พลาง คิดในใจ อย่าได้กังวลไปเลยแม่นาง เจ้าจะได้เดินทาง ไปกับข้า เป็นแน่ .....
------------------จบ ตอนแรก ---------------------
นิยายเบาสมอง : ~ข้าจะเป็น (องค์หญิง) คนที่ท่าน!!คู่ควร~ part1
...แต่เหตุใดในหัวใจข้าถึงยังรู้สึกว่างเปล่า อิสระเสรีภาพ นั้นตีเป็นราคาสูงสักเท่าไร ข้าต้องการเพียงแค่นั้น เสรีภาพที่ข้าจะได้เลือกเองในทุกๆสิ่ง
...รวมถึง อิสระแห่งหัวใจ ข้าจะไม่ยอมเข้าพิธีวิวาห์โดยที่ข้า ถูกบังคับดั่ง อาชา ที่ถูกสวมบังเหียนจะให้ทำตามใจ ข้าจะไม่มีวันยอมแต่งกับชายแปลกหน้า ข้าจะ... '
" อาเฝิ่น อาเฝิ่น เจ้าอยู่ข้างในหรือไม่? " เสียงคนร้องเรียกชื่อ ของนางเข้ามาแทรกความคิดที่กำลังพลุ่งพล่านให้ต้องระงับไปก่อนชั่วขณะ
นางวางแผนที่ ที่ถืออยู่ลงบนโต๊ะ ใช้มือคู่งามรวบผมไปด้านหลังเป็นพวง ก่อนใช้ปิ่นมุก แทงมัดผมให้แน่น เรียบร้อยดีแล้ว จึงหมุนตัวไปที่ประตู ชุดคลุมที่ทอจากผ้าแพรผืนสีแดง ปลิวไปตามก้าวย่าง ตามเจ้าของอาภรณ์สวยชิ้นนั้น
" พี่จินเย่ว์ ท่านมีเรื่องอันใด รีบร้อนมาตั้งแต่เช้าเช่นนี้ ?"
เฝิ่นลู่ ใช้มือเรียวคู่งามแหวกม่านบังสายตา รีบก้าวเท้าออกมาจากห้อง เห็นเจ้เจ๊(พี่สาว) ของนางในชุดสง่าสีเขียว ยืนโบกพัด อยู่ที่ หน้าประตู
" ข้ามิเห็นเจ้า ออกมานอกหมู่ตึก หลายวันแล้ว เจ้าไม่สบายหรือไม่? ข้าเป็นห่วงจึง รอต่อไปไม่ไหว "
น้ำเสียงจริงใจแฝงความห่วงใย ไต่ถามถึงน้องสาว
" เจ้เจ๊...ข้านั้นไม่ได้ป่วยไข้ ขอท่านอย่าได้วิตกไปเลย เพียงแต่ หมู่นี้ข้าพเจ้ามีเรื่องคิดอยู่หลายสิ่ง เลยไม่ได้ไปหาท่าน... ท่านเข้ามาข้างในก่อน ข้าจะเตรียมน้ำชาให้ท่าน "
เฝิ่นลู่ จับกุมมือพี่สาว ที่อายุมากกว่านางสามปี เข้ามาด้านใน ห้อง นางจัดแจง รินชาร้อนๆส่งกลิ่นหอมไปทั่วบริเวณ ยื่นให้พี่สาวที่นั้งรออยู่บนเก้าอี้ นางรับไปหาได้ยกขึ้นจิบไม่ แต่โพล่งคำถามขึ้นทันควัน
" เจ้ากำลังคิดวิตก ในเรื่องที่ เจ้าต้องเข้าพิธีแต่งงานกับบุตรของเจ้าเมืองเว่ยอัน ใช่หรือไม่? น้องข้า.."
จินเย่ว์ นั้นล่วงรู้นิสัยใจคอของน้อง ดี หามีสิ่งใดในตอนนี้ ที่จะรบกวนใจได้เท่าการที่ ต้องเข้าหอลงโรง กับชายที่ไม่รู้จักเพื่อเหตุผลแห่งการเป็นกระชับความสัมพันธ์แห่งสองแคว้น
นางเป็นสตรีเด็ดเดี่ยว กล้าหาญ เยี่ยงบิดา นับว่าได้เลือดของพ่อมาเต็มตัว ส่วนความงดงามนั้น ถอดแบบจากมารดา ดวงตากลมโตสีดำ ผมยาวสีดำขลับ หน้ารูปไข่ แบบหมดจดไร้ที่ติ
" ข้าพเจ้าเป็นเพียงผู้เยาว์ ความคิดแม้นไม่เฉียบแหลม เท่าผู้ใหญ่ แต่ ข้าพเจ้าไม่อาจยอมรับการบังคับจิตใจที่ บิดาจะให้ข้าไปแต่งงานกับใครก็ได้ ข้าเห็นแก่ตัวมากใช่ไหมท่านพี่!!"
พูดจบคำ เฝิ่นลู่โผตัว ร่างน้อยๆเข้าไปสะอื้นกอดกันกับพี่สาว น้ำตาไหลเป็นทาง สองคนพี่น้อง สนิทสนมกันแต่วัยเยาว์ ยามนี้เหลือกันแค่สองคน หลังมารดาอายุสั้นด้วยโรคปัจจุบัน ลาโลกไปแล้วหลายปี
บิดาของนางคือ เจ้าเฟยหรง ผู้นำกองกำลังที่เข้มแข็ง รวบรวมกำลังคนหลายแสนนาย ปราบปรามความไม่สงบในแผ่นดินที่สะสมมายาวนาน ตั้งตนเป็นเจ้าเมือง ครองแคว้น หนานเป่ย นับเป็นยอดคนคู่แผ่นดิน
ยามนี้เจ้าเฟยหรง ได้รับราชทูตจากแคว้นเว่ยอัน ที่เข้ามาขอผูกไมตรี ขอบุตรสาวของตนให้ได้เข้าพิธีวิวาห์กับลูกชาย ของเจ้าเมือง เพื่อดำรงความเป็นปึกแผ่นแห่งสองแคว้นสืบต่อไป
บุตรีของ เขา คนแรกคือจินเย่ว์ ที่ได้แต่งงานไปแล้วเมื่อปีก่อน กับทายาทแห่งแคว้นลู่
เหลือเพียงแต่ บุตรีคนสุดท้อง วัย18 ปี เฝิ่นลู่โฉมงามไม่แพ้ ลูกคนโต
เจ้าเฟยหรง ได้ขอให้เฝิ่นลู่ เห็นแก่บ้านเมือง เข้าพิธี แต่งงานกับ จิวชี่ บุตรแห่ง เจ้าจิวจื่อ แคว้นเว่ยอันในอีกสามเดือนข้างหน้า แม้จะมีความลำบากใจและเข้าใจความรู้สึกลูกสาวก็ตาม เจ้าเฟยหรงไม่เคยบังคับจิตใจของลูกมาก่อน แต่ครานี้เพื่อบ้านเมืองที่จะอยู่รอดนั้นจำเป็นต้องกระทำ
" ท่านพี่ ข้าคิดดีแล้ว เฝิ่นลู่จะขอลาท่าน ข้าขอออกไปจากวังหลวงแห่งหนายเป่ย.. จะมิมีใครบังคับข้าได้ ... แผ่นดินกว้างใหญ่ ข้าจะเป็นเพียงสตรีธรรมดานางหนึ่ง ไม่ใช่คนที่จะเป็นองค์หญิงสูงส่ง ที่จะถูกส่งไปกำนัล แก่ข้าต่างด้าว แก่เจ้าต่างเมือง "
คนพูดสะอื้นพลางใช้นิ้วเรียวเช็ดคราบน้ำตาที่อาบสองแก้มนวลขาว เผยความในใจที่อัดอั้นมานาน มีแต่เพียงพี่สาวในสายเลือด ที่นางไว้ใจที่สุด
ทั้งสองผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาด้วยกัน ก่อนจะได้อยู่ในตำแหน่งองค์หญิงสูงสุดของแผ่นดินเช่นนี้ ทั้งสองนาง เป็นชาวเมืองธรรมดาเช่นเดียวกับทุกคน ที่ต้องหาทางรอดจากภัยสงคราม ที่รุมล้อมหนานเป่ย
ทั้งสงครามกับแคว้นฉี ที่ข้าศึกล้อมเมืองอยู่นับปี จนได้ บิดาของนางที่เป็น ขุนทหารเข้ามาเป็นผู้นำ ขับไล่ผู้รุกรานออกไปนำความสงบกลับมาสู่แผ่นดิน
" เจ้าจะไปที่ไหน เฝิ่นลู่ ข้าขอร้องต่อเจ้า มีสิ่งใดค่อยพูดค่อยคิดอ่านต่อบิดา ข้าจะช่วยเจ้า ขออย่าตัดสินใจหุนหันพลันแล่น"
นางจ้องมองเข้าไปในแววตาน้องสาว ทราบแก่ใจว่า ยากจะหักห้าม ได้แต่พูดคุย ให้กำลังใจ
พูดคุยอยู่ได้ไม่นาน นางต้องไปดูลูกอ่อน ที่รออยู่ที่ตึก ก่อนแยกจาก จินเย่ว์ยังคงย้ำเตือนให้คิดให้มากก่อนลงมือทำสิ่งใดๆ
เฝิ่นลู่เดินมาส่งพี่สาว ที่หน้าหมู่ตึก ท่าที่อ่อนลงแต่ในใจ นึกถึงมารดา ที่ไม่อยู่แล้ว
'หากท่านยังอยู่ท่านจะเห็นด้วยกับข้าไหม ท่านแม่ ?'
เหม่อลอยได้ชั่วครู่ หวนนึกถึง สิ่งที่ต้องกระทำ เร่งรุดกลับเข้าไปในห้องของตน สั่งบ่าวให้เตรียมอาหารเมื่อถึงเวลา และห้ามรบกวน ปิดประตู
' เราจะเอาของไปไม่มาก เอาเท่าที่จำเป็น ไปไหนจะได้ไม่ต้องเป็นภาระแก่เรา'
คิดได้ดังนี้ รื้อค้นหาห่อผ้าเปิด เตรียมบรรจุ ข้าวของจำเป็น คืนนี้ นางจะลอบออกจากวังหลวง แฝงตัวเป็นสามัญชนธรรมดา ไม่ยินดีในลาภเกียรติยศอันใดไม่ ขอเพียงแต่ไม่ถูกคับข่มขืนจิตใจ ที่ไหนก็ย่อมไปได้ บิดานางย่อมหาทางออกผ่อนผันกับเจ้าแห่งเว่ยอันได้
ตระเตรียมของได้ครบถ้วน นางเลือกเสื้อผ้าที่ไม่ประดับประดามากมาย เลือกตามแบบสามัญที่สุดที่มีแต่ก็ยังดูมีราคา กับเตรียมเงินทองไปติดตัว มีดสั้นหนึ่งเล่มไว้ป้องกันตัว
เฝิ่นลู่เคยเรียนวิชาป้องกันตัวจากบิดา ฝีมือของนางยังมีเหนือกว่าชนชั้นธรรมดา นางปิดประตู ใช้ทางลับออกจากเขตวังหลวง
ทางลับนี้ มีแค่ไม่กี่คนที่ล่วงรู้ เป็นทางซับซ้อนใต้พื้นดิน ผนังเป็นศิลา อากาศไม่อับชื้น เพราะมีรูระบายอากาศ เป็นระยะๆให้ลมพัดเข้าออกตลอดเวลา เดินไปตามทางได้สักพัก ก็มาถึงทางออกขึ้นมาถึงชั้นพื้นดิน เป็นบริเวณหลังวังหลวง เนินดินสูงจากพื้นที่รอบเนินนี้ หามีผู้ใดล่วงรู้ว่า บริเวณด้านล่างมีทางออกที่ทำไว้อย่างแนบเนียน
เฝิ่นลู่เปิดประตูเล็กออกมา ต้องใช้แรงอยู่บ้าง แต่บานพับไม่ติดขัด แต่อย่างใด นั่นเป็นเพราะ มีการหยอดน้ำมันบำรุงไว้สม่ำเสมอไม่ให้สนิมจับ
เวลาเลยเข้าเที่ยงคืน นางออกมาพ้นวังหลวงแล้ว อดหันกลับไปมองทิศที่นางจากมาไม่ได้ เห็นยอดหลังคา ประดับไฟสว่างไสวอยู่ไกลๆ
นึกถึงบิดา และพี่สาว ที่ต้องจากมา หนทางข้างหน้าจะเป็นเช่นไร นางจะไม่หวั่นกลัว ให้สัญญากับตัวเอง นางกระชับห่อผ้าเข้ากับตัว รีบก้าวเดินออกจาก เนินสูงเปลี่ยว มุ่งหน้าเข้าไปในตัวเมือง เผื่อยังมีเรือข้ามแม่น้ำให้บริการ นางจะรีบไปให้ไกลที่สุดก่อนใครจะล่วงรู้ว่า นางได้หายตัวไป.
------------------------------------------------------
" เป็นอย่างไรบ้าง อาซา เที่ยวนี้เจ้าจะแก้ตัวได้สำเร็จหรือไม่ ฮ่าๆ"
เสียงหัวเราะดังลั่น จากบุรุษร่างเตี้ย ที่นั่งกินเหล้า อยู่ใกล้ท่าเรือริมน้ำ ทักทายคนรู้จัก ที่กำลังสาละวน สั่งการผู้คน เตรียมออกเรือเดินทาง
" จะสำเร็จหรือไม่ นะหรือ? ดูนี่สิ !"
คนพูดพลางเปิด ม่านให้เห็น ด้านใน
ลึกเข้าไปในตัวเรือด้านใน แสงจากตะเกียงเผยให้เห็น เป็นไม้ไผ่ที่เหลาเป็นกรง แบบแน่นหนา มีหญิงสาว นับสิบคน บ้างนอนหลับไม่รู้ตัว บ้างสะลึมสะลือ นอนกองกันไม่ต่างจากกรงเป็ดไก่ในตลาด จากนั้นจึงรีบปิดม่าน หันหน้าออกมายิ้มให้
"เห็นทีจะถูกใจพี่ใหญ่ อาซา จะได้คำชมบ้างในครานี้ ฮ่าๆ "
อาซาหัวเราะลั่น หาได้มองเห็นหญิงสาวเหล่านั้นเป็นเพื่อนมนุษย์ที่มีจิตใจไม่ คนเหล่านั้น ไม่ต่างจากเป็ดไก่ ที่ต้องหาไปเป็นข้าไพร่ ให้นายทุน เอาไว้ใช้งาน
" พี่ใหญ่ อาซ้ง ไม่อยู่บนเรือ ข้าหาดูทั่วแล้วแถวนี้ก็ไม่เจอเลย! เห็นว่าจะไปหาเหยื่อเพิ่มตั้งแต่ช่วงเย็น ตั้งแต่นั้น ก็ไม่มีใครเห็นอีกเลยขอรับ.."
ลูกน้อง คนหนึ่ง รายงานว่าต่ออาซา นายเรือ ว่า ลูกชายของมัน ยังไม่กลับมา ถึงเวลาต้องไปแล้ว ป่านนี้ยังไม่มา นี่ถ้า ชักช้าจะเดินทางไม่ทัน อีกทั้งยังเสี่ยงถูก ทางการเข้าจับกุมอีก
"ข้าจะรอเพียงแค่ประเดี๋ยวเท่านั้น ถ้ามันยังไม่มา ก็ปล่อยมันไว้ที่นี่!"
อาซาออกคำสั่ง พลางก้าวขึ้นไปบนห้องพักชั้นบน ด้วยใจกระสับกระส่าย ไม่มีใครอยากรบกวนมัน เมื่อได้เห็นท่าทีเช่นนี้ ทุกคนแยกย้ายไปตามหน้าที่ของตน และรอรับคำสั่งออกเดินทาง
------------------------------------------------------
เฝิ่นลู่ รีบเดินมาตามทาง ผู้คนแทบไม่มีแล้วบนถนนในเวลานี้ แสงไฟจากโรงเตี๊ยม เล็ดลอดออกมา นานๆทีจะมีคนเดินสวนไปสักหน เธอกำลังเร่งฝีเท้า ไปทางท่าเรือ หมายจะไปหาเรือไปให้ไกลจากนครหลวง ยามนี้คงจะมีแค่เรือข้ามฟาก
ด้านหน้าไม่ไกล เธอเห็น ท่าเรือแล้ว ยังมีคนงานเดินไปมาอยู่ ยามวิกาลเช่นนี้ เธอระมัดระวังตัวตลอดเวลา
"นั่นเจ้าจะไปทางท่าเรือหรือ ? ให้ข้าเดินไปด้วยเถอะ ข้าก็จะไปทางนั้นเช่นกัน!"
เธอหันไปดู ทางด้านหลัง นึกแปลกใจ ที่นางไม่ได้ยินสุ้มเสียงฝีเท้าคน ด้านหลัง เลยแม้แต่น้อย บุรุษผู้นี้มาถึงด้านหลังเธอได้ตั้งแต่เมื่อไร
" ใช่... ข้าจะไปทางนั้น ดึกป่านนี้ ข้าไม่รู้ว่ายังจะมีเรืออีกไหม"
นางตอบพลางใช้สายตาสำรวจบุรุษแปลกหน้าอย่างระวัง และพยายามไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้นี้ โดยไม่ทราบความเป็นมา นางจะไม่ไว้ใจผู้ใด
"มีสิ บิดาข้าเป็นไต้ก๋ง เราเสร็จสิ้นการค้าแล้วกำลังจะกลับไปบ้านทางใต้...เจ้าจะไปที่ใด ท่าเรือก็มีเรือออกตลอดคืน อย่าได้กังวลไป"
บุรุษ ผู้นั้น แต่งตัวเหมือนเป็นพ่อค้าชั้นกลางทั่วไป ชุดสีขาวขลิบน้ำเงิน ดูสง่าผ่าเผย ผมยาวมัดไว้เรียบร้อย จมูกโด่งเป็นสันคมเห็นได้ชัดยามแสงจันทร์สาดส่องกระทบใบหน้า
" ข้าชื่อ อาซ้ง ยินดีที่ได้พบท่าน ...."
ซ้งฮุย เผยยิ้มออกมาบนใบหน้า พลาง คิดในใจ อย่าได้กังวลไปเลยแม่นาง เจ้าจะได้เดินทาง ไปกับข้า เป็นแน่ .....
------------------จบ ตอนแรก ---------------------